ณ สุดปลายรัก (บทที่ 3)

ขอบคุณทุกๆ คนที่อ่านเรื่องนี้นะคะ
ขอบคุณ คุณ ถวิลหาถนนสายฝัน, น้องดาว Lady Star 919, คุณ PuPaKae, น้องแพรว thezircon, คุณ สมาชิกหมายเลข 3415748, คุณลิ ลายลิขิต, คุณ ป้าทุยบ้านทุ่ง
ขอบคุณทุกคะแนนโหวตด้วยค่ะ

บทที่ 1 - บทที่ 2  http://pantip.com/topic/35694173


บทที่ 3



    “ท่านกำลังมีประชุมสำคัญค่ะ ทิ้งข้อความไว้ได้ไหมคะ ท่านออกมาจากห้องประชุมแล้วจะได้โทรกลับ” เสียงที่ตอบมานั้นอ่อนหวานเสียนัก หากก็มิได้ลดดีกรีความร้อนอกร้อนใจของรัญญาลงแม้แต่น้อย

    “ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก”

    เธอตัดสายแล้วกดอีกหมายเลขซึ่งจำได้ขึ้นใจ เมื่อติดต่ออย่างเป็นทางการไม่ได้ก็ต้องใช้วิธีนี้แหละ

    มีเสียงเรียกเพียงครู่เดียว เสียงทุ้มลึกที่คุ้นเคยก็ตอบรับ

    “มีอะไรหรือรัญ หาเบอร์โทรศัพท์นี้ของผมเจอแล้วงั้นซี” สุ้มเสียงเขาฟังดูดีทีเดียว ไม่มีร่องรอยว่าขัดใจที่โทรเข้าเบอร์ส่วนตัว ทั้งยังขัดจังหวะการ 'ประชุมสำคัญ' อะไรก็แล้วแต่ของเขาเสียอีก

    หากน้ำเสียงที่เธอใช้กลับตรงข้าม ถ้าไม่คำนึงถึงเรื่องมารยาท เธอคงตวาดกลับไปแล้ว

    “มันเรื่องอะไรกัน ไมลส์ ทำไมต้องตรวจดีเอ็นเอกันด้วย หลานฉันเป็นลูกน้องสาวฉันคนเดียว คุณก็น่าจะรู้ นี่เรื่องณิชกับน้องชายคุณก็ยังไม่เรียบร้อย จะมาสร้างเรื่องใหม่ขึ้นอีกทำไม”

    อุบัติเหตุทางรถยนต์ที่น้องชายเขาเป็นคนขับนั้นมีท่าว่าจะไม่ใช่อุบัติเหตุเสียแล้วเมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจซากรถแล้วพบว่าเบรกล็อก จะเป็นข้อบกพร่องจากโรงงานหรือมีใครจงใจทำให้เป็นเช่นนั้น เวลานี้ยังหาข้อสรุปไม่ได้เพราะรถพังยับเยินจนแทบหาชิ้นดีไม่พบ หากรัญญาก็วางใจว่าอิทธิพลและความมีหน้ามีตาของครอบครัวเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีผู้ตายซึ่งเป็นลูกชายและน้องชายคนสำคัญของรัฐ ตำรวจจะไม่มีวันเพิกเฉยจนกว่าจะหาสาเหตุได้ ดีอยู่นิดที่ผลการชันสูตรศพไม่พบสารเสพติดหรือสิ่งมึนเมาใดๆ ในตัวผู้เสียชีวิตทั้งสองคน จึงไม่มีใครต้องเสียชื่อเพราะเหตุนั้น

    “ใจเย็นๆ รัญ มีเรื่องอะไรกัน ผมยังไม่เข้าใจ” น้ำเสียงเขาบ่งชัดว่าไม่เข้าใจจริงๆ ไม่มีร่องรอยว่าเสแสร้งเลยแม้แต่น้อย เธอรู้จักเขาดี รู้จักดีจนบางครั้งน่าตกใจ

    “ก็เรื่องตรวจดีเอ็นเอบ้าบอนี่ไง ทำไมต้องตรวจกันด้วย แม่คุณจะเอายังไงกันฮึไมลส์ เด็กตั้งสองขวบแล้ว เพิ่งจะรู้หรอกหรือว่าตัวมีหลาน ถ้าเพิ่งจะคิดได้ตอนนี้ก็เสียใจ สายไปแล้ว” เธอรัวความคับข้องกลับไปชนิดไม่ยั้ง

    “พูดช้าๆ หน่อยได้ไหม เอาอย่างนี้ดีกว่า คอยสักครู่นะ ให้ผมออกไปนอกห้องก่อน”

    มีเสียงสั่งอะไรยืดยาวลอดเข้ามาทางโทรศัพท์ รัญญาจับใจความได้บ้างไม่ได้บ้าง เพียงไม่นานก็เงียบไปครู่หนึ่ง แม้เป็นครู่สั้นๆ หากก็นานพอจะทำให้เธอได้คิด เขาคงยังไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ นั่นแหละ พอจัดการเรื่องงานศพของน้องชายเสร็จสิ้น เขาก็กลับไปทำงานต่อที่รัฐสภาในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ทันที และเขาก็อยู่ที่นั่นตลอดเวลา หมายศาลฉบับนี้ระบุชื่อแม่เขาเพียงคนเดียว

    เสียงทุ้มนุ่มนวลกลับมาตามสายอีกครั้ง และคราวนี้เธอสงบลงได้บ้างแล้ว

    “มีเรื่องอะไรหรือรัญ ตรวจดีเอ็นเออะไร”

    “แม่ได้หมายศาลให้พาหลานไปตรวจดีเอ็นเอ กำหนดวันมาด้วย แม่ของคุณเป็นคนร้องเรียน มันหมายความว่ายังไงกัน”

    มีเสียงถอนใจมาจากด้านเขา และเธอก็ได้ยิน แม้จะแผ่วเบาเพียงไรก็ตาม

    “หมายความว่ายังไงฮึ ไมลส์”

    นานทีเดียวกว่าเขาจะตอบกลับมาได้

    “ผมไม่รู้เรื่องเลยนะรัญ ให้ผมถามแม่ก่อนได้ไหม”

    อารมณ์เธอคุกรุ่นขึ้นมาอีก

    “ฉันรู้ว่าแม่คุณกำลังพยายามทำอะไร หลานฉันนะไมลส์ หลานของฉัน” เน้นทุกคำในประโยคหลัง

    “ตอนที่ณิชยังอยู่ แม่คุณไม่เห็นจะเคยสนใจหลานเลย ไม่เคยมีใครในครอบครัวคุณสนใจสักคน แม้แต่ตัวคุณเอง แล้วทำไมตอนนี้...”

    คราวเขาขัดขึ้นเสียก่อนเธอจะมีโอกาสจบประโยค รัญญาพอรู้หรอกว่าได้จี้จุดอะไรบางอย่างเข้าแล้วอย่างจัง

    “ใจเย็นๆ ก่อนรัญ อ่านหมายศาลให้ดีๆ เสียก่อน ผู้พิพากษาจะออกหมายให้พาเด็กไปตรวจดีเอ็นเอเลยโดยไม่ให้โอกาสอีกฝ่ายได้คัดค้านน่ะไม่ได้หรอกนะ หมายศาลอยู่ที่นั่นหรือเปล่า หรืออยู่ที่แม่ ตอนนี้รัญอยู่ไหน”

    เมื่อเขาใช้น้ำเสียงอ่อนโยนได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย เธอคิดได้ จะโหวกเหวกอยู่คนเดียวก็ใช่ที่

    “หมายศาลอยู่ที่แม่ แม่เพิ่งโทรศัพท์มาบอก”

    “เอาอย่างนี้นะรัญ บอกแม่ให้ใจเย็นๆ ก่อน ขั้นแรกนี่เป็นแค่หมายเรียกให้ไปศาลเท่านั้น ก็พาแม่ไปศาลตามวันนัด ไม่มีอะไรต้องห่วงหรอก หลานไม่ต้องไปด้วยก็ได้ แล้วตอนนี้หลานอยู่ที่ไหน”

    เมื่อเขาปลอบ เธอก็สงบลงได้อีกครั้ง ไม่ได้ตอบคำถามเขาหรอกเพราะมัวแต่กังวลอยู่กับอีกเรื่อง

    “ไปศาลเพราะเรื่องแบบนี้ต้องมีทนายไปด้วยหรือเปล่า”

    รัญญาไม่ทันได้คิดเลยว่ากำลังปรึกษาลูกชายของคนซึ่งในเวลานี้เรียกได้ว่าเป็นคู่กรณีของตัวเอง คิดเพียงว่าเขาเป็นทนายโดยอาชีพ เขาควรให้คำปรึกษาได้ดีไม่แพ้ใคร

    “มีทนายไปด้วยก็ดี หรือถ้าไม่คัดค้านก็ไม่ต้องใช้ทนาย ปล่อยให้วันนัดผ่านไป ทางนั้นก็จะกำหนดวันตรวจดีเอ็นเอมาอีกที ว่าแต่รัญรู้จักทนายที่ไว้ใจได้บ้างไหม”

    นั่นเป็นเรื่องน่าหนักใจ ถ้าต้องจ้างทนายก็หมายถึงต้องใช้เงิน จะเท่าไหร่ก็ไม่รู้

    “ทนายที่ไหนกันล่ะ ตั้งแต่เกิดมานอกจากถูกเรียกไปเป็นลูกขุนแล้วเคยไปศาลเรื่องอื่นเสียที่ไหน” ประโยคหลังบ่นพึมกับตัวเอง

    “ถ้างั้นเอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ผมจะติดต่อคนรู้จักให้ แล้วจะให้เขาโทรศัพท์มาหา ขอเจรจากับเขาก่อน”

    คราวนี้เธออ่อนยวบไปเลย เขาอยู่ข้างเธอ คิดไม่ถึงเลยว่าเขาอยู่ข้างเธอ

    “เป็นทนายหรือคะ”

    “เป็นทนาย เรียนจบก่อนผมหลายปี คนนี้เก่งมากเรื่องกฎหมายครอบครัว รัญวางใจได้ ตอนนี้ก็โทรศัพท์ไปบอกแม่ว่าอย่าเพิ่งตกใจ เรื่องตรวจดีเอ็นเอลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอก”

    นั่นทำให้เธอสงบลงได้จริงๆ

    “ขอบคุณนะไมลส์”

    “แล้วนี่ต้องไปศาลกันวันไหน”

    “วันที่ยี่สิบสี่นี้แหละ ไม่ไปดีไหม”

    เขาเงียบไปอึดใจเหมือนครุ่นคิด

    “ถ้ายอมให้ตรวจ ก็ไม่ต้องไป หรือถ้าจะใช้ทนาย ก็ให้ทนายส่งเรื่องไปว่าทางฝ่ายเรายอมให้ตรวจ ให้กำหนดวันมา ตอนนี้หลานอยู่ที่ไหน” เขายังไม่วายย้ำถามคำถามเดิม

    “อยู่ที่นี่ แม่กับก้ายุ่งมากเลย พอไม่มีณิชแล้วก็ไม่มีใครเลี้ยงหลาน ฉันก็เลยเอามาเลี้ยงเองที่นี่” เธอสารภาพตามตรง

    “รัญอยู่อพาร์ตเม้นท์หรือ”

    “ไม่ใช่หรอกค่ะ เป็นดูเพล็กซ์*น่ะ”

    “อยู่ตรงไหน”

    คราวนี้เสียงเธอแข็งขึ้นมาอีก จะว่าหวาดระแวงก็คงได้

    “หมายความว่ายังไง...อยู่ตรงไหน จะให้ใครมาเอาตัวหลานของฉันอย่างนั้นหรือ”

    “รัญ...” เขาลากเสียงเรียกชื่อเธอเสียยาวเหยียด “นี่ชีวิตจริงนะ ไม่ใช่หนัง จะได้ลักพาตัวเด็กกันได้ง่ายๆ บางทีผมอาจมาเยี่ยมหลานตัวเองบ้าง ไม่ได้หรือไง”

    เสียงเธออ่อนลงอีกครั้ง

    “ทำไมตอนหลานอยู่บ้านแม่กับณิช ไม่เห็นคุณหรือใครเคยสนใจจะไปดูเลย ตอนนี้เกิดอะไรขึ้น”

    “ก็หลานผมเหมือนกัน หรือว่าไม่ใช่”

    “ก็ใช่”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่