[กระทู้สนทนากลยุทธ์ฟุตบอล] แมนฯยูไนเต็ด (มูริญโญ่ – ตั้งรับแล้วโต้กลับ) vs แมนฯซิตี้ (กวาร์ดิโอล่า – ฟุตบอลสมัยใหม่)

เนื่องจากค่ำนี้แมนฯยูจะพบกับแมนฯซิตี้เป็นนัดที่ 4 ของ EPL ฤดูกาลนี้ ขอมาสนทนาเกี่ยวกับกลยุทธ์ฟุตบอล 2 แขนงกัน  โดยขอแบ่งเป็นหัวข้อดังนี้ :

1. ปรัชญาของฟุตบอลตั้งรับแล้วโต้กลับ
2. ประวัติของฟุตบอลตั้งรับแล้วโต้กลับ
3. ปรัชญาของฟุตบอลสมัยใหม่
4. ประวัติของฟุตบอลสมัยใหม่
5. ตย.ของความสำเร็จของฟุตบอลตั้งรับแล้วโต้กลับ
6. ตย.ของความสำเร็จของฟุตบอลสมัยใหม่
7. ตย.การพบกันระหว่างฟุตบอลสมัยใหม่ด้วยกันและกับฟุตบอลตั้งรับแล้วโต้กลับ
8. ปัจจัยที่ทำให้ทีมฟุตบอลชนะ, เสมอ หรือ แพ้
9. คาดการณ์ผลค่ำนี้

=============================================================================

1. ปรัชญาของการตั้งรับแล้วโต้กลับ : มักใช้การวาง ‘รถบัส’ ไว้ 2 แถว อาจเป็นหลัง 4 กลาง 5 หรือหลัง 5 กลาง 4 มีการตั้งรับอย่างอดทนและมีวินัยอย่างน้อย 60% ส่วนการโจมตี เมื่อคู่ต่อสู้เสียการครอบครองบอลแล้วจะโต้กลับเพียงไม่กี่จังหวะแล้วหาทางจบสกอร์ หรือ ใช้เซ็ทพีท (ลูกเตะมุมและลูกฟรีคิกส์) เป็นหลัก

2. ประวัติฟุตบอลตั้งรับแล้วโต้กลับ – ที่เด่นที่สุดคือ คาเตนัชโช่ ที่เกิดจากไอเดียของ Kalr Rappen โค้ชชาวออสเตรียในปี 1932 ที่เขาคุมสโมสร Sevette ในออสเตรีย  ส่วนในอิตาลี Nereo Rocco นำมาใช้ในสโมสรพาโดว่าในทศวรรษที่ 1950  
แต่คาเตนัชโช่ปัจจุบันไม่ได้เหมือนกับต้นตำรับเท่าไหร่นัก แต่ก็เน้นการตั้งรับอย่างเหนียวแน่นอย่างมีวินัยและอดทนเพื่อโต้กลับในขณะที่คู่ต่อสู้บุกเช่นกัน

=============================================================================

3. ปรัชญาของฟุตบอลสมัยใหม่ : ใช้การเพรสซิ่ง และ การครองบอลเป็นหลัก แต่ละส่วนจะใช้ไม่เกิน 70% แล้วแต่โค้ชและนักเตะ

การเพรสซิ่ง โดยเฉพาะการเข้าเพรสซิ่งตั้งแต่แดนหน้ามีแนวความคิดคือ การเข้ากดดันผู้เล่นที่ครองบอลอย่างรวดเร็วจะทำให้สูญเสียการครองบอลได้ง่าย  
อาจมีคนคิดว่าการแก้การเพรสซิ่งคือการจ่ายคืนประตูแล้วจ่ายยาวหรือผู้เล่นคนนั้นจ่ายยาว แต่การทำดังนี้จะลดความแม่นยำลงและโดนแย่งบอลไปได้ง่าย หรือใช้ความสามารถเฉพาะตัวก็แก้ไขยากเพราะโดน 2-3-4 คนรุม หรือจะเล่นชิ่งเป็นกลุ่มกับเพื่อนเพื่อแก้ไขก็ไม่ง่าย

แต่จุดอ่อนของระบบนี้คือไม่มีนักเตะคนไหนวิ่งได้ทั้ง 90 นาที จึงต้องอาศัยความเข้าใจกันอย่างดีของผู้เล่นในการที่จะเน้นเพรสซิ่งเมื่อเวลาใด

การครองบอล แนวความคิดคือ ถ้าครองบอลได้มากกว่าคู่แข่งก็จะมีโอกาสเข้าทำประตูมากกว่าและคู่แข่งก็จะมีโอกาสจบสกอร์น้อยกว่า
โดยการครองบอลนี้ มีให้เห็นชัดเจนจากทีมชาติเยอรมันตะวันตกในปี 1969 ที่เซอร์อเล็กซ์เคยไปดูการฝึกของพวกเขา โดยซ้อมกันแบบไม่มีผู้รักษาประตู แค่พยายามครองบอลให้ได้ เป็นรูปแบบการซ้อมที่ไม่ค่อยได้เห็นในยุคนั้น ที่โค้ชส่วนใหญ่เน้นการฝึกซ้อมที่ต้องมีการวิ่งระยะไกล

โดยการเข้าทำของฟุตบอลสมัยใหม่จะมีความหลากหลายแล้วแต่สไตล์ของโค้ช แต่ที่เน้นกันคือการชิ่งสามเหลี่ยมเข้าทำเป็นกลุ่ม

4. ประวัติฟุตบอลสมัยใหม่ มี 3 สาย ดังนี้

สายที่ 1. สโมสรบาเซโลน่า ที่วางรากฐานการเล่นบนพื้นและ total football โดยโยฮัน ครัฟฟ์ที่เริ่มคุมทีมในซีซั่น 1988-89  เป็ปเคยกล่าวไว้ว่า ‘ครัฟฟ์สร้างวิหาร งานของเราคือรักษาและ renovate’
กวาร์ดิโอล่าเลื่อนตำแหน่งจากโค้ชคุมบาซ่า B มาเป็นโค้ชชุดใหญ่ในซีซั่น 2008-09 ซึ่งเขาทำทีมได้แชมป์ลาลีกา, โคปาเดอเรย์ และ UCl รวมทั้งยูฟ่าซุปเปอร์คัพและฟีฟ่าคลับเวิร์ดคัพ  จากนั้นซีซั่น 2010-11 ก็ทำทีมได้แชมป์ลาลีกา, UCL, ยูฟ่าซุปเปอร์คัพ และฟีฟ่า คลับ เวิร์ดคัพ

สายที่ 2. ทีมชาติเยอรมัน จากความล้มเหลวในฟุตบอลยูโรฯ รอบสุดท้าย 2004 ทำให้เดเอฟเบ (สมาคมฟุตบอลเยอรมัน)ปฏิวัติด้วยการพาคลิ้นซ์มันน์เข้ามาคุมทีม  เขาเปลี่ยนระบบอินทรีเหล็กจากหลัง 3 เป็นหลัง 4 และนำโยอัคคิม เลิฟมาเป็นผู้ช่วยโค้ช  คลิ้นซ์มันน์ลาทีมไปหลังจากได้อันดับ 3 ในฟุตบอลโลก 2006 เลิฟเข้ามาคุมแทน  
ถึงตอนนั้น เดเอฟเบและเดเอฟแอลได้ตกลงกันว่าจะให้ทีมในบุนเดสลีกาใช้ระบบเดียวกันคือ 4-2-3-1 เพื่อให้ทีมชาตินำนักเตะไปต่อยอดได้ง่าย  โดยเลิฟได้นำทีมอินทรีเหล็กประสบความสำเร็จสูงสุดด้วยการเป็นแชมป์บอลโลก 2014

สายที่ 3. สโมสรดอร์ทมุนด์ที่คุมทีมโดยเจอร์เก้น คล็อปป์ได้แชมป์บุนเดสลีกาในซีซั่น 2010-11 เหนือบาเยิร์น มิวนิคขาประจำ และได้แชมป์บุนเดสลีกาเหนือบาเยิร์นอีกครั้งในซีซั่นต่อมา และยังได้แชมป์ดเอฟเบ โพคาลอีกด้วย

ในซีซั่นต่อมา (2012-13) บาเยิร์นที่คุมโดยจุ๊ปป์ ไฮเกซ สโมสรทุ่มเงินราว 80 ล้านยูโร คว้าตัวนักเตะใหม่ 7 คนเข้ามา และได้แชมป์บุนเดสลีกา, เดเอฟเบ โพคาลและแชมป์ UCL เป็นสโมสรของเยอรมันแรกและครั้งเดียวที่ได้ treble

เป็ปได้คุมทีมต่อจากไฮเกซที่หมดสัญญากับสโมสรและ retire  ระบบที่เป็ปใช้คือ 4-1-4-1 หรือ 4-1-3-2 โดยมีลาห์มเป็นมิดฟิลด์เชิงรับ (ตำแหน่งเดียวกับบุสเก็ตต์ในบาซ่า) กองหน้าคือเลวานดอฟสกี้ โดยมีมิดฟิลด์เชิงรุกเป็นมุลเลอร์ ทำทีมได้แชมป์บุนเดสลีกา 3 สมัย และเดเอฟเบโพคาล 2 สมัย

จะเห็นได้ว่าญี่ปุ่นที่เอาชนะไทยไปเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาก็ทำทีมด้วยปรัชญาฟุตบอลสมัยใหม่นี้

=============================================================================

5. ตัวอย่างความสำเร็จของฟุตบอลตั้งรับแล้วโต้กลับ

5.1 ระดับสโมสร : มูริญโญ่ตอนคุมเชลซีได้แชมป์พรีเมียร์ลีก 3 สมัย, เอฟเอคัพ 1 สมัย, ตอนคุมอินเตอร์ มิลาน ได้แชมป์ซีรีย์อา 1 สมัย, โคปาอิตาลี 1 สมัย, ตอนคุมรีล มาดริค ได้แชมป์โคปาเดอร์เรย์ 1 สมัยและลาลีกา 1 สมัย โดยในซีซั่น 2012-13 มูริญโญ่นำทีมรีลมาดริคชนะและแพ้บาซ่าของเป็ปในลาลีกาอย่างละครั้ง (โดยเป็น 2 ครั้งที่ไม่มีนักเตะของทีมโดนใบแดงเมื่อเจอกัน) ทำให้เป็นแชมป์ลาลีกา
      ดิมัทเธโอ้นำเชลซีได้แชมป์ UCL ในซีซั่น 2011-12

5.2 ระดับชาติ : กรีซได้แชมป์ยูโร 2004 ที่คุมโดยเรห์หาเกิ้ล  อิตาลีที่ได้แชมป์โลก 2006 โดยลิปปี้ (มีบุฟฟ่อน, มาเตรัซซี่และคันนาวาโร่ที่ได้บัลลงดอร์ในปีนั้น),

สเปนโดยหลุยส์ อราโกเนสแชมป์ยูโรปี 2008 และที่คุมโดยเดล บอสเก้ได้แชมป์โลก 2010 และยูโร 2012 อาจมีคนสงสัยว่าทำไมผมให้สเปนเป็นการตั้งรับแล้วโต้กลับ จริงๆ สเปนเน้นการครองบอลมาก 75% ขึ้นไป โดยมีกลางรับ 2 ตัวคือ อลองโซ่ (รีล มาดริค) และบุสเก็ต (บาซ่า) เน้นความสำเร็จมากกว่าสกอร์ สกอร์พิมพ์นิยมคือ 1-0 โดยที่ชนะมากกว่านั้นเป็นเพราะคู่แข่งเสียประตูเร็วและเร่งเกมทำให้โดนโต้กลับ

และโปรตุเกสแชมป์ยูโร 2016 คุมทีมโดยซานโตสที่เปลี่ยนปรัชญาของโปรตุเกสจากทีมที่เน้นเกมรุกมาตลอดเป็นการตั้งรับแล้วโต้กลับ

6. ตัวอย่างความสำเร็จของฟุตบอลสมัยใหม่

6.1 ระดับสโมสร
      เป็ปที่ได้แชมป์ลาลีกา 3 สมัย, แชมป์โคปาเดอเรย์ 2 สมัย, UCL 2 สมัย, แชมป์บุนเดสลีกา 3 สมัย, เดเอฟเบโพคาล 2 สมัย
      คล็อปป์ที่ได้แชมป์บุนเดสลีกา 2 สมัย, เดเอฟเบโพคาล 1 สมัย
      ไฮเกซได้ Treble champ (บุนเดสลีกา, เดเอฟเบ โพคาล, UCL) 1 ครั้ง
      หลุยส์ เอ็นริเก้ (คุมบาซ่า) ได้แชมป์ลาลีกา 2 สมัย, โคปาเดอเรย์ 2 สมัย, UCL 1 สมัย

6.2 ระดับชาติ : เยอรมันได้แชมป์บอลโลก 2014 1 สมัย

=============================================================================

7.  ตัวอย่างการพบกันระหว่างฟุตบอลสมัยใหม่ด้วยกันและกับฟุตบอลตั้งรับแล้วโต้กลับ

     ดอร์ทมุนด์ของคล็อปป์เอาชนะบาเยิร์นของไฮเกซในนัดชิงเดเอฟเบ โพคาลซีซั่น  2011-12 โดยถล่มไป 5-2 เป็นการต่อบอลและเข้าทำบนพื้นที่สวยงามและมีประสิทธิภาพสูง
     บาเยิร์นของไฮเกซเอาชนะดอร์ทมุนด์ของคล็อปป์ที่เกิทเซ่มีปัญหาบาดเจ็บลงไม่ได้ในนัดชิง UCL ซีซั่น 2012-13 โดยแพ้ไป 1-2 ในเกมที่บาเยิร์นทำเกมได้ดีกว่า
     ดอร์ทมุนด์ของคล็อปป์เอาชนะรีล มาดริคของมูริญโญ่ในรอบเซมิไฟแนลของ UCL ซีซั่น 2012-13 ไปได้ด้วยสกอร์รวม 4-3
     ดอร์ทมุนด์ของคล็อปป์ชนะบาเยิร์นของเป็ปในนัดรองชนะเลิศเดเอฟเบ โพคาล 2014-15 ได้ด้วยการยิงลูกจุดโทษหลังต่อเวลาแล้วเสมอกัน 1-1 โดยทั้งสองทีมมีนักเตะที่มีอาการบาดเจ็บลงเล่นไม่ได้หลายคน
     บาเยิร์นของไฮเกซเอาชนะบาซ่าที่ขาดเมสซี่ที่มีอาการบาดเจ็บในรอบเซมิไฟแนล UCL 2012-13 ด้วยสกอร์รวม 7-0
     บาซ่าของเอ็นริเก้เอาชนะบาเยิร์นของเป็ปไปใน UCL เซมิไฟน่อลด้วยสกอร์รวม 5-3 โดยใน leg แรก กองหลังบาเยิร์นเสียสมาธิเพียงเสี้ยววินาที ขณะที่เสมอกันอยู่ในนาทีที่ 75 เมสซี่อาศัยจังหวะนั้นลากผ่านบัวเต็งเข้าไปทำประตูนำและทำให้ทีมชนะไป 3-0  เป็นการชนะด้วยความสามารถของเมสซี่ที่เป็ปบอกว่า เป็นนักเตะคนเดียวที่เขาไม่ต้องออกคำสั่งว่าจะต้องทำอย่างไร
     รีล มาดริคของมูริญโญ่ชนะครั้งและแพ้อย่างละครั้งต่อบาซ่าของเป็ป (เป็นซีซั่นแรกที่นักเตะของรีลมาดริคไม่โดนใบแดง) และได้เป็นแชมป์ลาลีก้าในซีซั่น 2011-12 เหนือบาซ่า
     เชลซีของดิมัทเธโอเอาชนะบาเยิร์นของไฮเกซไปได้ด้วยการดวลจุดโทษใน UCL รอบชิงซีซั่น 2011-12

=============================================================================

8. การชนะในเกมฟุตบอลระดับสูง (คือบอลยูโร, บอลโลก และลีกชั้นนำของยุโรป)  ขึ้นกับปัจจัยต่อไปนี้ :

8.1 เฮ้ดโค้ช 40-60% แล้วแต่ว่าโค้ชคนนั้นมีอิทธิพลต่อทีมมากแค่ไหน การวางแผนในการเจอคู่แข่ง และการแก้เกมระหว่างแข่ง
8.2 ความสามารถของนักเตะ และการนำเอาปรัชญาของเฮ้ดโค้ชไปใช้ 40-60% ขึ้นกับว่า ความสามารถของนักเตะ 11 คนแต่ละตำแหน่ง และตัวสำรองข้างสนามมีมากแค่ไหน
8.3 อีก 5% ขึ้นกับปัจจัยอื่นๆ เช่น สถานการณ์ของทีมในขณะนั้นๆ, อาการบาดเจ็บของนักเตะตัวหลัก, การโดนแบนของนักเตะตัวหลัก, การเป็นเจ้าภาพหรือการตัดสินของกรรมการ, ความผิดพลาดของนักเตะบางคนในเกม

ถ้าดูจากข้อ 6. จะเห็นเหมือนกับว่า ถึงตอนนี้ ฟุตบอลตั้งรับแล้วโต้กลับประสบความสำเร็จในระดับชาติเหนือฟุตบอลสมัยใหม่ไปมากแล้ว (แต่ในระดับสโมสร ความสำเร็จยังใกล้เคียงกัน)

แต่ฟุตบอลปัจจุบันที่ชนะด้วยการน็อค (ยิงประตูมากกว่า) ไม่ใช่ชนะคะแนน (ไม่ว่าจะครองบอล, เตะมุม, เตะฟรีคิกส์, ยิงเข้ากรอบนอกกรอบเข้ามากกว่าคู่แข่งแค่ไหน ก็ไม่ชนะ) ฟุตบอลที่น่าเบื่อ (ugly football) ยังครองโลกอยู่

=============================================================================

9. ทำนายผลครั้งแรกใน EPL ของแมนฯยูของมูริญโญ่และแมนฯซิตี้ของเป็ป

   เป็นโค้ชที่เก่งและมีกึ๋นใกล้เคียกัน และเคยประมือกันเกือบ 10 ครั้ง  รู้ทางกันเป็นอย่างดี

   มีโอกาสมากกว่า 99% ที่มูริญโญ่จะใช้สไตล์ตั้งรับแล้วโต้กลับที่เขาทำอยู่เสนอเมื่อเจอทีมใหญ่มาใช้  ส่วนเป็ปมีโอกาสสูงที่จะใช้สไตล์เดิม เพราะเขาเน้นการทำทีมในแบบที่เขาถนัดไม่ว่าเจอกับทีมใดก็ตาม แต่อาจเน้นการครองบอลมากกว่าปกติ

   แถมนัดนี้เป็นนัดที่ 4 ใน EPL เท่านั้น ไม่มีความจำเป็นต้องแลกหมัดกันให้ถึงตายแต่อย่างไร โอกาสเสมอ 0:0 มีสูงมาก แต่อาจมีทีมใดทีมหนึ่งชนะถ้าเกิดปัจจัยบางอย่างในข้อ 8.3 เกิดขึ้น

=============================================================================

แล้วเพื่อนๆ หล่ะครับ มีความคิดเห็นยังไงกับเกมส์นี้บ้าง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่