จอมใจอเวจี.........บทที่ 13

กระทู้สนทนา

บทที่ 12
http://pantip.com/topic/35348825


========================
จอมใจอเวจี.........บทที่ 13
========================



             คนบ้า......ร้องในใจอย่างโมโห ทำไมต้องปิดประตูแน่นหนาแบบรักนวลสงวนตัวขนาดนั้นด้วย แถมยังเงียบกริบไม่สื่อสารอะไรมาสักอย่าง หลับเป็นตายเลยหรือ  ขุ่นเคืองจนต้องเอามือทุบผนังแรงๆเป็นการระบายอารมณ์ แต่แล้วก็อ้าปากค้าง

             ผลของการทุบโครมลงไปแรงๆ ผนังห้องด้านนั้นถึงกับแตกทะลุเป็นรูอย่างไม่น่าเชื่อ

             มันเรื่องบ้าอะไรกัน...มองมือตัวเอง มองผนังแล้วทำหน้างงๆ ไม่น่าเป็นไปได้......เรามีพลังแฝงมหาศาลหรือผนังห้องบอบบางเกินไปกันแน่
หรือว่าบางที ทฤษฏีสสาร-ปฎิสสาร ตามที่เคยเรียนมาจะมีส่วนถูก หรือเป็นเพราะว่าการเป็น”ชาวเบื้องบน”  จะมีพลังอำนาจพิเศษประหลาดอะไรบางอย่างทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาได้

             ถ้าอย่างนั้นต้องลองต่อไป...หญิงสาวคิดอย่างหมายมั่นปั้นมือก่อนจัดการงัดแงะทลายกำแพงออกเป็นชิ้นๆ เหมือนเด็กจอมซนได้ของเล่นใหม่สนุกดีเหมือนกันในการลุกขึ้นมางัดผนังบ้านห้องบ้านคนอื่นกลางดึก  ไม่นานผนังก็เป็นช่องพอจะมุดเข้าไปได้ รอบตัวของเธอมีแต่เศษอิฐดินกระจายเต็มไปหมด มอมแมมไปทั้งตัว แต่คนรื้อผนังขาวบ้านเล่นไม่สนใจสภาพเประเปื้อน ค่อยยืนศีรษะเข้าไปมองอย่างสนใจ

             ในห้องของไนท์ก็เปิดไฟทิ้งไว้เช่นกัน เจ้าของห้อง  นอนนิ่งอยู่ห่างออกไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น  ลองยื่นมือไปจับตัวดูก็ยังไม่ขยับเขยื้อนผิดปกติ แขนข้างนั้นเย็นเฉียบทำเอาใจหายวูบ หรือจะเป็นอะไรไปแล้ว

             “ไนท์”    ลองเรียกชื่อด้วยเสียงค่อนข้างดัง เขย่าแขน แต่อีกฝ่ายเงียบ

             เฟรี่กัดริมฝีปาก ก่อนลุกไปค้นหาอะไรบางอย่างบริเวณหัวเตียงแล้วกลับมาคุกเข่าก้มมุดหลุดโพรงเข้าไปยังห้องของคู่กรณีอย่างลำบากเพื่อจะได้ตรวจดูอาการ

             หญิงสาวเพิ่งสังเกตว่าห้องนอนของปีศาจหนุ่มไม่เหมือนห้องนอนธรรมดา เหมือนมีอุปกรณ์การแพทย์หลายอย่างวางอยู่รอบเตียง รวมทั้งเตียงเองก็เหมือนจะมีสายไปโยงไปเชื่อมต่อกับตู้อุปกรณ์วางบริเวณหัวเตียง เหมือนห้องในสถานพยาบาลมากกว่าจะเป็นห้องพักธรรมดา
คนไข้คนนี้ยังมีลมหายใจ แต่อ่อนล้าโรยแรงเหลือเกิน

             จะลากขึ้นไปนอนบนเตียงก็ยังไม่อยากทำ สิ่งแรกที่ต้องทำคือตรวจดูอาการขั้นแรก...แล้วก็ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ผ้าพันแผลก็คงทำเองจากเศษเสื้อผ้าเก่าๆแบบลวกๆ สุดท้ายก็มาลำบากเราเหมือนเดิม วิชาพยาบาลเบื้องต้นที่ร่ำเรียนมามีโอกาสใช้งานก็ตอนนี้ล่ะ..ตามมีตามเกิด ดึกๆแบบนี้จะไปหาใครมาช่วยได้   เมื่อจัดการปัญหาเบื้องต้นเรียบร้อยแบบตามมีตามเกิดก็ลากร่างของนักล่าผู้หมดสภาพขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างยากลำบาก หลังจากนั้นหยิบเอาซองเล็กๆที่ติดตัวมาด้วย ฉีกซองแล้วหยิบอุปกรณ์บางอย่างออกมา

             เข็มฉีดยารักษาอาการบาดเจ็บขนาดเล็กจิ๋ว   ด้วยความรอบคอบอันเป็นวิสัยของหญิงสาว ทำให้มีอุปกรณ์ฉุกเฉินติดตัวเสมอ

             “อยากเจ็บดีนัก ต้องเจอแบบนี้...”    หญิงสาวกระซิบอย่างเป็นต่อเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่รู้สึกตัว เหงื่อยังคงซึมตามใบหน้าขาวเนียนของพยาบาลจำเป็น จัดการถลกแขนเสื้อของคนไข้จำเป็นขึ้น ตรวจดูตำแหน่งเส้นเลือดแล้วปักเข็มเล็กๆลงไป ขณะปักเข็มแฟรี่หลับตาปี๋ด้วยความรู้สึกหวาดเสียว ชาตินี้คงเป็นพยาบาลกับเขาไม่ได้ เห็นเลือดนิดหน่อยก็จะเป็นลม..สลบ

             “พอดีมียาฉุกเฉินติดตัวมา ก็ไม่นึกหรอกว่าจะได้ใช้ พรุ่งนี้เจ้าต้องขอบคุณข้าล่ะ...”

             บอกกับคนไม่ได้สติอีกครั้ง ขณะตรวจดูผลงานอย่างค่อนข้างพอใจ สภาพทั่วไปของนักรบปีศาจดีขึ้นมาก ผ้าพันแผลเก่าถูกเปลี่ยนออกไปด้วยผ้าพันแผลใหม่ซึ่งวางอยู่บนหัวเตียงแต่เจ้าของห้องไม่ใส่ใจ

              “ยังกับห้องผีดิบคืนชีพ”

               เฟรี่ทำจมูกย่นบ่นกับตัวเองขณะมองสำรวจรอบๆ ห้องก่อนหันมามองหน้ากากเย็นชาอีกครั้ง  โอกาสทองอยู่ในมือแล้ว อยากจะแกะหน้ากากดูหน้าสักหน่อยว่าหน้าตาเป็นอยากไร แต่ติดไปคิดมาคงไม่ดีแน่  รู้ถึงไหนอายถึงนั่น ถึงจะอยากรู้อยากเห็นเพียงไรก็ต้องสะกดใจ

             “ไปล่ะนะ...”

             บอกพลางเอานิ้วชี้จิ้มหน้ากากโลหะหนึ่งที

             “นอนให้ดีๆล่ะ ตื่นขึ้นมาแล้วจะดีเอง แล้วไม่ต้องละเมอลุกขึ้นมาล็อคประตูนะ ไม่มีใครแอบบุกมาปล้ำหรอกหน้าตาแบบนี้”

             ว่าแล้วก็ก้มตัวลงทำท่าจะมุดโพรงกลับ แต่แล้วก็ยิ้มให้กับตัวเองเมื่อนึกได้ว่าแค่เดินออกทางประตูก็ได้แล้ว ทำไมจะต้องลำบากมุดโพรงผนังห้องกลับไปให้ทุลักทุเล

             หญิงสาวเดินยิ้มกริ่มเปิดประตูออกมาจากห้องของไนท์ ด้วยความมั่นใจในฝีมือพยาบาลของคนเอง แต่พอมาถึงประคูห้องของตัวเองก็ต้องยิ้มค้าง

             ประตูล็อคจากด้านใน!

             กรรมของเวร....พยาบาลจำเป็นส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ก็เธอเองเป็นคนรอบคอบเลยล็อคประตูจากด้านในเสมอ เมื่อครู่ตอนออกไปจากห้องครั้งแรก พอกลับมาก็กดล็อคแบบไม่ตั้งใจตามความเคยชินและเพื่อความปลอดภัย ลูกกุญแจก็ไม่มีติดตัวเพราะวางอยู่หัวเตียงในห้อง ตัวเองลอดผ่านโพรงผนังห้องของไนท์เข้าไปไม่ได้ออกมาทางประตูสัก เห็นท่าก็ต้องกลับเข้าไปห้องของไนท์แล้วลอดโพรงกลับห้องตัวเอง ลำบากนิดหน่อยไม่เป็นไร กลับห้องได้ก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้านอนให้สบายกายใจ

             แต่พอจับลูกบิดหน้าห้องของคนป่วยหนักหมุนดูก็ใจหายวาบ
             เปิดไม่ได้......
             กรรมของเวรอีกแล้ว

             เมื่อครู่เธอเผลอกดล็อคประตูห้องแบบไม่ตั้งใจตามความเคยชินความรอบคอบ ทั้งที่ตัวเองเป็นคนสอนไนท์ว่าไม่ต้องล็อค ไม่ต้องกลัวใครมาปล้ำ   เข้าห้องของปีศาจหนุ่มไม่ได้... เข้าห้องตัวเองก็ไม่ได้...  จะทำอย่างไรดี

             ทั้งโมโหทั้งขำตัวเอง คิดแล้วอ่อนใจ แต่อีกไม่นานคงสว่าง ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว เหนื่อยก็เหนื่อย เพลียก็เพลีย เลยเดินกลับมาหน้าห้องตัวเอง นั่งหลังพิงผนังเอามือกอดอกเพราะอากาศเย็น ผ้าห่มก็ไม่มี เฟรี่เอ๊ย...ทำไมถึงเฟอะฟะแบบนี้ ถ้าอยู่บ้านตนเองก็หลับสบายไปแล้ว แต่ก็โล่งใจไปอย่างหนึ่งล่ะ คนนำทางอาการคงดีขึ้นเองในไม่ช้า อีกไม่นานก็จะกลับถึงบ้านอันอบอุ่น  จะนอนจะเที่ยวจะกินชดเชยความลำบากให้สาสม อยู่ในโลกและสังคมสวยงามให้สาสม

             แม้ว่าจะรู้สึกอ่อนเพลียปานใด แต่ก็ยังข่มตาไม่หลับ ใจคิดอะไรเรื่อยเปื่อย  เราอยู่ในดินแดนภูตผีปีศาจ ทางเดินในอาคารดูเปล่าเปลี่ยววังเวงน่ากลัว แสงไฟก็สลัวราง ถ้าเกิดมีผีโผล่ออกมาเดินเล่นตามทางเดินสักสองสามตัวจะทำอย่างไร แล้วเกิดว่าผีพวกนี้อยากแวะมานั่งคุยด้วย!

             ไม่น่า...ไม่คิดแบบนี้ คิดอย่างอื่นสิ คิดถึงคนรักคงกำลังหลับอยู่จะคิดถึงเราบ้างไหม แล้วถ้าเกิดมีผีตัวหักค่อยโผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นเส้นผมยาวปรกหน้าขาวซีดตาเบิกโพลงคลานเข้ามาแบบผิดธรรมชาติเก้กังเก้งก้างน่าเกลียดน่ากลัว ถึงจะหลับตาแต่ถ้ามือเย็นๆเอื้อมมาแตะบ่าล่ะ
ยิ่งคิดยิ่งกลัว

            ไม่เอา...ไม่คิดถึงผี.....

            คิดถึงสมัยวัยเด็กหนังสือดีกว่า... มีเพื่อนมากมายในห้อง อาจารย์สอนก็ใจดี สอนก็เข้าใจง่าย สมัยนั้นมีหนุ่มๆมาชอบพอเป็นครั้งแรก เอ ชื่ออะไรนะ... แต่ถ้านั่งเรียนอยู่ดีๆ แล้วเพื่อนทุกคนเกิดนั่งตัวแข็งทื่อขึ้นมาต่อหน้าต่อตาแล้วค่อยบิดคอหันขวับมามองเป็นตาเดียวล่ะ

             ไม่ๆๆ...

             และถ้าผีผมยาวหน้าขาวโผล่ลงมาจากเพดานจะทำอย่างไรดี จะสู้หรือจะหนี ถ้าจะสู้จะสู้แบบไหน กระโดดใส่แบบบ้าเลือดหลับหูหลับตาบีบคอผีแก้ลำเลยดีไหม อยากหลอกดีนัก  ยิ่งคิดยิ่งขนลุกซู่ ทั้งที่ยังไม่มีอะไรโผล่มาทักทาย  ทำไมต้องคิดเรื่องน่ากลัวอย่างไม่มีเหตุผล เรื่องอื่นมีมากมายทำไมไม่คิด

             สุดท้ายก็ตัดสินใจลุกขึ้นย้ายที่ไปนั่งหน้าห้องของไนท์ดีกว่า เพราะรู้สึกว่าอย่างน้อยยังมีคนรู้จักอยู่ใกล้ๆ แม้จะอยู่ข้างในห้องก็ตาม   พอย้ายมานั่งอยู่หน้าห้องของนักรบปีศาจก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นแต่ก็ยังไม่วายจะหวาดกลัวอยู่ดี ใครล่ะจะไม่กลัว นั่งอยู่หน้าห้องคนเดียวในบ้านคนอื่นอันเงียบเชียบ  ถ้าผีโผล่มาจะทำอย่างไร ทางเดินถึงจะมีแสงสว่างจากก้อนหินเรืองแสงแต่ดูหม่นมัวลางเลือนวังเวงเหมือนทางเดินในสุสานไม่มีผิด

             “ไนท์.....”

             ร้องเรียกเบาๆแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยิน เอามือจับประตูเล่นไปมาน้ำตาคลอเบ้า

             “ถ้าผีมันมา เจ้าจะต้องออกมาช่วยข้านะ”

             “ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องมาช่วย

             “รู้นะ...ว่าข้าอยู่หน้าห้องนี่เอง”

             หญิงสาวกอดอกหลับตา พยายามคิดถึงนิทานที่คนในห้องเล่าให้ฟัง ทบทวนไปมาอยู่หลายรอบเพื่อไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่านหันไปคิดถึงบรรดาผีทั้งหลาย การควบคุมความคิดของตนเองเป็นเรื่องยากเหลือเกิน เวลาดูเหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า อากาศดูเหมือนจะเยือกเย็นลงทุกที


             “ว่างมากนักหรือไงถึงมานั่งอยู่หน้าห้องชาวบ้านเขา”

             เสียงเย็นชาไร้น้ำใจชวนตกใจ แต่เวลานี้ฟังดูอบอุ่นเหลือเกิน รีบเงยหน้าหันไปมอง ปีศาจหนุ่มนั่นเองไม่รู้ว่าออกมาจากห้องตอนไหน รู้แค่ว่าเขากำลังทรุดตัวลงนั่งข้างกาย

             “ไนท์”   หญิงสาวอุทานตาโตอย่างดีใจ จับแขนอีกฝ่ายเขย่าพลางบอกเสียงเร็วปรื๋อ   “รู้ไหมว่าข้าเข้าห้องไม่ได้”

             “ทำไมจะไม่รู้ แต่ไม่ต้องกังวลข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเพราะข้าเองก็เข้าห้องไม่ได้เหมือนกัน”

             “อะไรนะ..” น้ำเสียงมีแววตกใจและผิดหวัง

             “ก็คงเหมือนเจ้านั่นล่ะ ออกห้องแล้วกลับเข้าห้องไม่ได้ก็มีมากมายถมไป ไม่แปลก”

             “แล้วออกมาทำไม ออกมาได้ยังไงก็ข้าหลับพิงประตูอยู่”

             “ข้าตื่นขึ้นมาเห็นผนังห้องถูกเจาะ เลยจะออกมาดูความเรียบร้อยสักหน่อย จะเปิดประตูก็รู้สึกว่าว่าตัวอะไรนั่งขวางอยู่หน้าประตู เป็นเจ้านี่เอง และเจ้านอนขี้เซามาก ขนาดข้าดันประตูออกมาจนเจ้าหัวทิ่ม ยังหลับไม่รู้เรื่อง”

             “พูดให้ดีๆนะ ตัวอะไร”   น้ำเสียงเริ่มมีอารมณ์แต่ไนท์หัวเราะในลำคอเบาๆ นั่งด้วยท่าทางสบายใจอย่างไม่เคยเห็นมาก่อนมาเขาจะเป็นคนสบายใจเป็น เพราะมักเห็นแต่เคร่งเครียดหมกมุ่นทั้งวัน

             “ข้าล้อเล่นน่า ไม่ต้องทำเป็นดุหรอกน่า”

             “คนอย่างเจ้าล้อเล่นเป็นด้วยเหรอ สงสัยคำว่ายิ้มก็คงเขียนไม่เป็น”

             “มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์” คนข้างกายบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง    “คนเราบางทีก็ต้องทำตัวให้ถูกกับสถานการณ์ แต่ถ้าทำตัวไม่ถูกก็จะมานั่งหน้าห้องคนอื่นแบบนี้ล่ะ”

             “อย่าพูดมากน่า ออกมาแล้วกลับเข้าไปไม่ได้ก็นั่งอยู่เป็นเพื่อนข้าตรงนี้ล่ะ จะได้ทัดเทียมกัน”

             “ก็ได้..”   อีกฝ่ายรับคำง่ายๆ เฟรี่ยิ้มอย่างดีใจ มีเพื่อนแล้วสบายใจแล้วไม่ต้องกลัวอะไร ยังไงหมอนี่ก็น่ากลัวน้อยกว่าผี เอ๊ะ..หรือว่าจะน่ากลัวกว่าผี คิดแล้วก็รู้สึกขำจนอดยิ้มออกมาไม่ได้

             เจ้ายิ้มอะไร”  ปีศาจหนุ่มบังเอิญหันมามองแล้วถามอย่างสงสัย

             “เปล่า”  รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที

            “เปล่าอะไร อยู่ดีๆ ก็ยิ้มแบบไม่มีเหตุผล เจ้าต้องยิ้มเยาะข้าแน่เลยรับมาเสียดีๆ”

             “เปล่าๆๆ”

             “ผู้ร้ายปากแข็งเดี๋ยวก็ฆ่าทิ้งเสียหรอก”

            เฟรี่สะดุ้งหันหน้าไปมองหน้ากากเย็นชาไร้ความรู้สึกเหมือนจะถามว่าพูดจริงหรือเปล่า เพราะอย่างไรคืบก็ปีศาจศอกก็ปีศาจ

             “ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอกน่า”

             ไนท์พูดขึ้นราวกับว่ารู้ในความคิดของคู่สนทนา เฟรี่มองค้อนแล้วถือโอกาสตรวจดูท่าทางอาการของคนไข้ในความดูแลด้วยสายตาไปมาก่อนถามว่า

             “ทำไมอาการเจ้าดีขึ้นเร็วจัง ไม่น่าเป็นไปได้”

             “ก็ยังไม่หายดีเท่าไร ไม่แน่นะว่าที่เจ้ามองเห็นอยู่นี่อาจเป็นวิญญาณของข้า มาหลอกเจ้า”


              .................
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่