บทที่ 12
http://pantip.com/topic/35348825
========================
จอมใจอเวจี.........บทที่ 13
========================
คนบ้า......ร้องในใจอย่างโมโห ทำไมต้องปิดประตูแน่นหนาแบบรักนวลสงวนตัวขนาดนั้นด้วย แถมยังเงียบกริบไม่สื่อสารอะไรมาสักอย่าง หลับเป็นตายเลยหรือ ขุ่นเคืองจนต้องเอามือทุบผนังแรงๆเป็นการระบายอารมณ์ แต่แล้วก็อ้าปากค้าง
ผลของการทุบโครมลงไปแรงๆ ผนังห้องด้านนั้นถึงกับแตกทะลุเป็นรูอย่างไม่น่าเชื่อ
มันเรื่องบ้าอะไรกัน...มองมือตัวเอง มองผนังแล้วทำหน้างงๆ ไม่น่าเป็นไปได้......เรามีพลังแฝงมหาศาลหรือผนังห้องบอบบางเกินไปกันแน่
หรือว่าบางที ทฤษฏีสสาร-ปฎิสสาร ตามที่เคยเรียนมาจะมีส่วนถูก หรือเป็นเพราะว่าการเป็น”ชาวเบื้องบน” จะมีพลังอำนาจพิเศษประหลาดอะไรบางอย่างทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาได้
ถ้าอย่างนั้นต้องลองต่อไป...หญิงสาวคิดอย่างหมายมั่นปั้นมือก่อนจัดการงัดแงะทลายกำแพงออกเป็นชิ้นๆ เหมือนเด็กจอมซนได้ของเล่นใหม่สนุกดีเหมือนกันในการลุกขึ้นมางัดผนังบ้านห้องบ้านคนอื่นกลางดึก ไม่นานผนังก็เป็นช่องพอจะมุดเข้าไปได้ รอบตัวของเธอมีแต่เศษอิฐดินกระจายเต็มไปหมด มอมแมมไปทั้งตัว แต่คนรื้อผนังขาวบ้านเล่นไม่สนใจสภาพเประเปื้อน ค่อยยืนศีรษะเข้าไปมองอย่างสนใจ
ในห้องของไนท์ก็เปิดไฟทิ้งไว้เช่นกัน เจ้าของห้อง นอนนิ่งอยู่ห่างออกไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น ลองยื่นมือไปจับตัวดูก็ยังไม่ขยับเขยื้อนผิดปกติ แขนข้างนั้นเย็นเฉียบทำเอาใจหายวูบ หรือจะเป็นอะไรไปแล้ว
“ไนท์” ลองเรียกชื่อด้วยเสียงค่อนข้างดัง เขย่าแขน แต่อีกฝ่ายเงียบ
เฟรี่กัดริมฝีปาก ก่อนลุกไปค้นหาอะไรบางอย่างบริเวณหัวเตียงแล้วกลับมาคุกเข่าก้มมุดหลุดโพรงเข้าไปยังห้องของคู่กรณีอย่างลำบากเพื่อจะได้ตรวจดูอาการ
หญิงสาวเพิ่งสังเกตว่าห้องนอนของปีศาจหนุ่มไม่เหมือนห้องนอนธรรมดา เหมือนมีอุปกรณ์การแพทย์หลายอย่างวางอยู่รอบเตียง รวมทั้งเตียงเองก็เหมือนจะมีสายไปโยงไปเชื่อมต่อกับตู้อุปกรณ์วางบริเวณหัวเตียง เหมือนห้องในสถานพยาบาลมากกว่าจะเป็นห้องพักธรรมดา
คนไข้คนนี้ยังมีลมหายใจ แต่อ่อนล้าโรยแรงเหลือเกิน
จะลากขึ้นไปนอนบนเตียงก็ยังไม่อยากทำ สิ่งแรกที่ต้องทำคือตรวจดูอาการขั้นแรก...แล้วก็ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ผ้าพันแผลก็คงทำเองจากเศษเสื้อผ้าเก่าๆแบบลวกๆ สุดท้ายก็มาลำบากเราเหมือนเดิม วิชาพยาบาลเบื้องต้นที่ร่ำเรียนมามีโอกาสใช้งานก็ตอนนี้ล่ะ..ตามมีตามเกิด ดึกๆแบบนี้จะไปหาใครมาช่วยได้ เมื่อจัดการปัญหาเบื้องต้นเรียบร้อยแบบตามมีตามเกิดก็ลากร่างของนักล่าผู้หมดสภาพขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างยากลำบาก หลังจากนั้นหยิบเอาซองเล็กๆที่ติดตัวมาด้วย ฉีกซองแล้วหยิบอุปกรณ์บางอย่างออกมา
เข็มฉีดยารักษาอาการบาดเจ็บขนาดเล็กจิ๋ว ด้วยความรอบคอบอันเป็นวิสัยของหญิงสาว ทำให้มีอุปกรณ์ฉุกเฉินติดตัวเสมอ
“อยากเจ็บดีนัก ต้องเจอแบบนี้...” หญิงสาวกระซิบอย่างเป็นต่อเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่รู้สึกตัว เหงื่อยังคงซึมตามใบหน้าขาวเนียนของพยาบาลจำเป็น จัดการถลกแขนเสื้อของคนไข้จำเป็นขึ้น ตรวจดูตำแหน่งเส้นเลือดแล้วปักเข็มเล็กๆลงไป ขณะปักเข็มแฟรี่หลับตาปี๋ด้วยความรู้สึกหวาดเสียว ชาตินี้คงเป็นพยาบาลกับเขาไม่ได้ เห็นเลือดนิดหน่อยก็จะเป็นลม..สลบ
“พอดีมียาฉุกเฉินติดตัวมา ก็ไม่นึกหรอกว่าจะได้ใช้ พรุ่งนี้เจ้าต้องขอบคุณข้าล่ะ...”
บอกกับคนไม่ได้สติอีกครั้ง ขณะตรวจดูผลงานอย่างค่อนข้างพอใจ สภาพทั่วไปของนักรบปีศาจดีขึ้นมาก ผ้าพันแผลเก่าถูกเปลี่ยนออกไปด้วยผ้าพันแผลใหม่ซึ่งวางอยู่บนหัวเตียงแต่เจ้าของห้องไม่ใส่ใจ
“ยังกับห้องผีดิบคืนชีพ”
เฟรี่ทำจมูกย่นบ่นกับตัวเองขณะมองสำรวจรอบๆ ห้องก่อนหันมามองหน้ากากเย็นชาอีกครั้ง โอกาสทองอยู่ในมือแล้ว อยากจะแกะหน้ากากดูหน้าสักหน่อยว่าหน้าตาเป็นอยากไร แต่ติดไปคิดมาคงไม่ดีแน่ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น ถึงจะอยากรู้อยากเห็นเพียงไรก็ต้องสะกดใจ
“ไปล่ะนะ...”
บอกพลางเอานิ้วชี้จิ้มหน้ากากโลหะหนึ่งที
“นอนให้ดีๆล่ะ ตื่นขึ้นมาแล้วจะดีเอง แล้วไม่ต้องละเมอลุกขึ้นมาล็อคประตูนะ ไม่มีใครแอบบุกมาปล้ำหรอกหน้าตาแบบนี้”
ว่าแล้วก็ก้มตัวลงทำท่าจะมุดโพรงกลับ แต่แล้วก็ยิ้มให้กับตัวเองเมื่อนึกได้ว่าแค่เดินออกทางประตูก็ได้แล้ว ทำไมจะต้องลำบากมุดโพรงผนังห้องกลับไปให้ทุลักทุเล
หญิงสาวเดินยิ้มกริ่มเปิดประตูออกมาจากห้องของไนท์ ด้วยความมั่นใจในฝีมือพยาบาลของคนเอง แต่พอมาถึงประคูห้องของตัวเองก็ต้องยิ้มค้าง
ประตูล็อคจากด้านใน!
กรรมของเวร....พยาบาลจำเป็นส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ก็เธอเองเป็นคนรอบคอบเลยล็อคประตูจากด้านในเสมอ เมื่อครู่ตอนออกไปจากห้องครั้งแรก พอกลับมาก็กดล็อคแบบไม่ตั้งใจตามความเคยชินและเพื่อความปลอดภัย ลูกกุญแจก็ไม่มีติดตัวเพราะวางอยู่หัวเตียงในห้อง ตัวเองลอดผ่านโพรงผนังห้องของไนท์เข้าไปไม่ได้ออกมาทางประตูสัก เห็นท่าก็ต้องกลับเข้าไปห้องของไนท์แล้วลอดโพรงกลับห้องตัวเอง ลำบากนิดหน่อยไม่เป็นไร กลับห้องได้ก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้านอนให้สบายกายใจ
แต่พอจับลูกบิดหน้าห้องของคนป่วยหนักหมุนดูก็ใจหายวาบ
เปิดไม่ได้......
กรรมของเวรอีกแล้ว
เมื่อครู่เธอเผลอกดล็อคประตูห้องแบบไม่ตั้งใจตามความเคยชินความรอบคอบ ทั้งที่ตัวเองเป็นคนสอนไนท์ว่าไม่ต้องล็อค ไม่ต้องกลัวใครมาปล้ำ เข้าห้องของปีศาจหนุ่มไม่ได้... เข้าห้องตัวเองก็ไม่ได้... จะทำอย่างไรดี
ทั้งโมโหทั้งขำตัวเอง คิดแล้วอ่อนใจ แต่อีกไม่นานคงสว่าง ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว เหนื่อยก็เหนื่อย เพลียก็เพลีย เลยเดินกลับมาหน้าห้องตัวเอง นั่งหลังพิงผนังเอามือกอดอกเพราะอากาศเย็น ผ้าห่มก็ไม่มี เฟรี่เอ๊ย...ทำไมถึงเฟอะฟะแบบนี้ ถ้าอยู่บ้านตนเองก็หลับสบายไปแล้ว แต่ก็โล่งใจไปอย่างหนึ่งล่ะ คนนำทางอาการคงดีขึ้นเองในไม่ช้า อีกไม่นานก็จะกลับถึงบ้านอันอบอุ่น จะนอนจะเที่ยวจะกินชดเชยความลำบากให้สาสม อยู่ในโลกและสังคมสวยงามให้สาสม
แม้ว่าจะรู้สึกอ่อนเพลียปานใด แต่ก็ยังข่มตาไม่หลับ ใจคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เราอยู่ในดินแดนภูตผีปีศาจ ทางเดินในอาคารดูเปล่าเปลี่ยววังเวงน่ากลัว แสงไฟก็สลัวราง ถ้าเกิดมีผีโผล่ออกมาเดินเล่นตามทางเดินสักสองสามตัวจะทำอย่างไร แล้วเกิดว่าผีพวกนี้อยากแวะมานั่งคุยด้วย!
ไม่น่า...ไม่คิดแบบนี้ คิดอย่างอื่นสิ คิดถึงคนรักคงกำลังหลับอยู่จะคิดถึงเราบ้างไหม แล้วถ้าเกิดมีผีตัวหักค่อยโผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นเส้นผมยาวปรกหน้าขาวซีดตาเบิกโพลงคลานเข้ามาแบบผิดธรรมชาติเก้กังเก้งก้างน่าเกลียดน่ากลัว ถึงจะหลับตาแต่ถ้ามือเย็นๆเอื้อมมาแตะบ่าล่ะ
ยิ่งคิดยิ่งกลัว
ไม่เอา...ไม่คิดถึงผี.....
คิดถึงสมัยวัยเด็กหนังสือดีกว่า... มีเพื่อนมากมายในห้อง อาจารย์สอนก็ใจดี สอนก็เข้าใจง่าย สมัยนั้นมีหนุ่มๆมาชอบพอเป็นครั้งแรก เอ ชื่ออะไรนะ... แต่ถ้านั่งเรียนอยู่ดีๆ แล้วเพื่อนทุกคนเกิดนั่งตัวแข็งทื่อขึ้นมาต่อหน้าต่อตาแล้วค่อยบิดคอหันขวับมามองเป็นตาเดียวล่ะ
ไม่ๆๆ...
และถ้าผีผมยาวหน้าขาวโผล่ลงมาจากเพดานจะทำอย่างไรดี จะสู้หรือจะหนี ถ้าจะสู้จะสู้แบบไหน กระโดดใส่แบบบ้าเลือดหลับหูหลับตาบีบคอผีแก้ลำเลยดีไหม อยากหลอกดีนัก ยิ่งคิดยิ่งขนลุกซู่ ทั้งที่ยังไม่มีอะไรโผล่มาทักทาย ทำไมต้องคิดเรื่องน่ากลัวอย่างไม่มีเหตุผล เรื่องอื่นมีมากมายทำไมไม่คิด
สุดท้ายก็ตัดสินใจลุกขึ้นย้ายที่ไปนั่งหน้าห้องของไนท์ดีกว่า เพราะรู้สึกว่าอย่างน้อยยังมีคนรู้จักอยู่ใกล้ๆ แม้จะอยู่ข้างในห้องก็ตาม พอย้ายมานั่งอยู่หน้าห้องของนักรบปีศาจก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นแต่ก็ยังไม่วายจะหวาดกลัวอยู่ดี ใครล่ะจะไม่กลัว นั่งอยู่หน้าห้องคนเดียวในบ้านคนอื่นอันเงียบเชียบ ถ้าผีโผล่มาจะทำอย่างไร ทางเดินถึงจะมีแสงสว่างจากก้อนหินเรืองแสงแต่ดูหม่นมัวลางเลือนวังเวงเหมือนทางเดินในสุสานไม่มีผิด
“ไนท์.....”
ร้องเรียกเบาๆแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยิน เอามือจับประตูเล่นไปมาน้ำตาคลอเบ้า
“ถ้าผีมันมา เจ้าจะต้องออกมาช่วยข้านะ”
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องมาช่วย
“รู้นะ...ว่าข้าอยู่หน้าห้องนี่เอง”
หญิงสาวกอดอกหลับตา พยายามคิดถึงนิทานที่คนในห้องเล่าให้ฟัง ทบทวนไปมาอยู่หลายรอบเพื่อไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่านหันไปคิดถึงบรรดาผีทั้งหลาย การควบคุมความคิดของตนเองเป็นเรื่องยากเหลือเกิน เวลาดูเหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า อากาศดูเหมือนจะเยือกเย็นลงทุกที
“ว่างมากนักหรือไงถึงมานั่งอยู่หน้าห้องชาวบ้านเขา”
เสียงเย็นชาไร้น้ำใจชวนตกใจ แต่เวลานี้ฟังดูอบอุ่นเหลือเกิน รีบเงยหน้าหันไปมอง ปีศาจหนุ่มนั่นเองไม่รู้ว่าออกมาจากห้องตอนไหน รู้แค่ว่าเขากำลังทรุดตัวลงนั่งข้างกาย
“ไนท์” หญิงสาวอุทานตาโตอย่างดีใจ จับแขนอีกฝ่ายเขย่าพลางบอกเสียงเร็วปรื๋อ “รู้ไหมว่าข้าเข้าห้องไม่ได้”
“ทำไมจะไม่รู้ แต่ไม่ต้องกังวลข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเพราะข้าเองก็เข้าห้องไม่ได้เหมือนกัน”
“อะไรนะ..” น้ำเสียงมีแววตกใจและผิดหวัง
“ก็คงเหมือนเจ้านั่นล่ะ ออกห้องแล้วกลับเข้าห้องไม่ได้ก็มีมากมายถมไป ไม่แปลก”
“แล้วออกมาทำไม ออกมาได้ยังไงก็ข้าหลับพิงประตูอยู่”
“ข้าตื่นขึ้นมาเห็นผนังห้องถูกเจาะ เลยจะออกมาดูความเรียบร้อยสักหน่อย จะเปิดประตูก็รู้สึกว่าว่าตัวอะไรนั่งขวางอยู่หน้าประตู เป็นเจ้านี่เอง และเจ้านอนขี้เซามาก ขนาดข้าดันประตูออกมาจนเจ้าหัวทิ่ม ยังหลับไม่รู้เรื่อง”
“พูดให้ดีๆนะ ตัวอะไร” น้ำเสียงเริ่มมีอารมณ์แต่ไนท์หัวเราะในลำคอเบาๆ นั่งด้วยท่าทางสบายใจอย่างไม่เคยเห็นมาก่อนมาเขาจะเป็นคนสบายใจเป็น เพราะมักเห็นแต่เคร่งเครียดหมกมุ่นทั้งวัน
“ข้าล้อเล่นน่า ไม่ต้องทำเป็นดุหรอกน่า”
“คนอย่างเจ้าล้อเล่นเป็นด้วยเหรอ สงสัยคำว่ายิ้มก็คงเขียนไม่เป็น”
“มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์” คนข้างกายบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คนเราบางทีก็ต้องทำตัวให้ถูกกับสถานการณ์ แต่ถ้าทำตัวไม่ถูกก็จะมานั่งหน้าห้องคนอื่นแบบนี้ล่ะ”
“อย่าพูดมากน่า ออกมาแล้วกลับเข้าไปไม่ได้ก็นั่งอยู่เป็นเพื่อนข้าตรงนี้ล่ะ จะได้ทัดเทียมกัน”
“ก็ได้..” อีกฝ่ายรับคำง่ายๆ เฟรี่ยิ้มอย่างดีใจ มีเพื่อนแล้วสบายใจแล้วไม่ต้องกลัวอะไร ยังไงหมอนี่ก็น่ากลัวน้อยกว่าผี เอ๊ะ..หรือว่าจะน่ากลัวกว่าผี คิดแล้วก็รู้สึกขำจนอดยิ้มออกมาไม่ได้
เจ้ายิ้มอะไร” ปีศาจหนุ่มบังเอิญหันมามองแล้วถามอย่างสงสัย
“เปล่า” รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที
“เปล่าอะไร อยู่ดีๆ ก็ยิ้มแบบไม่มีเหตุผล เจ้าต้องยิ้มเยาะข้าแน่เลยรับมาเสียดีๆ”
“เปล่าๆๆ”
“ผู้ร้ายปากแข็งเดี๋ยวก็ฆ่าทิ้งเสียหรอก”
เฟรี่สะดุ้งหันหน้าไปมองหน้ากากเย็นชาไร้ความรู้สึกเหมือนจะถามว่าพูดจริงหรือเปล่า เพราะอย่างไรคืบก็ปีศาจศอกก็ปีศาจ
“ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอกน่า”
ไนท์พูดขึ้นราวกับว่ารู้ในความคิดของคู่สนทนา เฟรี่มองค้อนแล้วถือโอกาสตรวจดูท่าทางอาการของคนไข้ในความดูแลด้วยสายตาไปมาก่อนถามว่า
“ทำไมอาการเจ้าดีขึ้นเร็วจัง ไม่น่าเป็นไปได้”
“ก็ยังไม่หายดีเท่าไร ไม่แน่นะว่าที่เจ้ามองเห็นอยู่นี่อาจเป็นวิญญาณของข้า มาหลอกเจ้า”
.................
จอมใจอเวจี.........บทที่ 13
บทที่ 12
http://pantip.com/topic/35348825
========================
จอมใจอเวจี.........บทที่ 13
========================
คนบ้า......ร้องในใจอย่างโมโห ทำไมต้องปิดประตูแน่นหนาแบบรักนวลสงวนตัวขนาดนั้นด้วย แถมยังเงียบกริบไม่สื่อสารอะไรมาสักอย่าง หลับเป็นตายเลยหรือ ขุ่นเคืองจนต้องเอามือทุบผนังแรงๆเป็นการระบายอารมณ์ แต่แล้วก็อ้าปากค้าง
ผลของการทุบโครมลงไปแรงๆ ผนังห้องด้านนั้นถึงกับแตกทะลุเป็นรูอย่างไม่น่าเชื่อ
มันเรื่องบ้าอะไรกัน...มองมือตัวเอง มองผนังแล้วทำหน้างงๆ ไม่น่าเป็นไปได้......เรามีพลังแฝงมหาศาลหรือผนังห้องบอบบางเกินไปกันแน่
หรือว่าบางที ทฤษฏีสสาร-ปฎิสสาร ตามที่เคยเรียนมาจะมีส่วนถูก หรือเป็นเพราะว่าการเป็น”ชาวเบื้องบน” จะมีพลังอำนาจพิเศษประหลาดอะไรบางอย่างทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นมาได้
ถ้าอย่างนั้นต้องลองต่อไป...หญิงสาวคิดอย่างหมายมั่นปั้นมือก่อนจัดการงัดแงะทลายกำแพงออกเป็นชิ้นๆ เหมือนเด็กจอมซนได้ของเล่นใหม่สนุกดีเหมือนกันในการลุกขึ้นมางัดผนังบ้านห้องบ้านคนอื่นกลางดึก ไม่นานผนังก็เป็นช่องพอจะมุดเข้าไปได้ รอบตัวของเธอมีแต่เศษอิฐดินกระจายเต็มไปหมด มอมแมมไปทั้งตัว แต่คนรื้อผนังขาวบ้านเล่นไม่สนใจสภาพเประเปื้อน ค่อยยืนศีรษะเข้าไปมองอย่างสนใจ
ในห้องของไนท์ก็เปิดไฟทิ้งไว้เช่นกัน เจ้าของห้อง นอนนิ่งอยู่ห่างออกไปเพียงนิดเดียวเท่านั้น ลองยื่นมือไปจับตัวดูก็ยังไม่ขยับเขยื้อนผิดปกติ แขนข้างนั้นเย็นเฉียบทำเอาใจหายวูบ หรือจะเป็นอะไรไปแล้ว
“ไนท์” ลองเรียกชื่อด้วยเสียงค่อนข้างดัง เขย่าแขน แต่อีกฝ่ายเงียบ
เฟรี่กัดริมฝีปาก ก่อนลุกไปค้นหาอะไรบางอย่างบริเวณหัวเตียงแล้วกลับมาคุกเข่าก้มมุดหลุดโพรงเข้าไปยังห้องของคู่กรณีอย่างลำบากเพื่อจะได้ตรวจดูอาการ
หญิงสาวเพิ่งสังเกตว่าห้องนอนของปีศาจหนุ่มไม่เหมือนห้องนอนธรรมดา เหมือนมีอุปกรณ์การแพทย์หลายอย่างวางอยู่รอบเตียง รวมทั้งเตียงเองก็เหมือนจะมีสายไปโยงไปเชื่อมต่อกับตู้อุปกรณ์วางบริเวณหัวเตียง เหมือนห้องในสถานพยาบาลมากกว่าจะเป็นห้องพักธรรมดา
คนไข้คนนี้ยังมีลมหายใจ แต่อ่อนล้าโรยแรงเหลือเกิน
จะลากขึ้นไปนอนบนเตียงก็ยังไม่อยากทำ สิ่งแรกที่ต้องทำคือตรวจดูอาการขั้นแรก...แล้วก็ส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ผ้าพันแผลก็คงทำเองจากเศษเสื้อผ้าเก่าๆแบบลวกๆ สุดท้ายก็มาลำบากเราเหมือนเดิม วิชาพยาบาลเบื้องต้นที่ร่ำเรียนมามีโอกาสใช้งานก็ตอนนี้ล่ะ..ตามมีตามเกิด ดึกๆแบบนี้จะไปหาใครมาช่วยได้ เมื่อจัดการปัญหาเบื้องต้นเรียบร้อยแบบตามมีตามเกิดก็ลากร่างของนักล่าผู้หมดสภาพขึ้นไปนอนบนเตียงอย่างยากลำบาก หลังจากนั้นหยิบเอาซองเล็กๆที่ติดตัวมาด้วย ฉีกซองแล้วหยิบอุปกรณ์บางอย่างออกมา
เข็มฉีดยารักษาอาการบาดเจ็บขนาดเล็กจิ๋ว ด้วยความรอบคอบอันเป็นวิสัยของหญิงสาว ทำให้มีอุปกรณ์ฉุกเฉินติดตัวเสมอ
“อยากเจ็บดีนัก ต้องเจอแบบนี้...” หญิงสาวกระซิบอย่างเป็นต่อเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่รู้สึกตัว เหงื่อยังคงซึมตามใบหน้าขาวเนียนของพยาบาลจำเป็น จัดการถลกแขนเสื้อของคนไข้จำเป็นขึ้น ตรวจดูตำแหน่งเส้นเลือดแล้วปักเข็มเล็กๆลงไป ขณะปักเข็มแฟรี่หลับตาปี๋ด้วยความรู้สึกหวาดเสียว ชาตินี้คงเป็นพยาบาลกับเขาไม่ได้ เห็นเลือดนิดหน่อยก็จะเป็นลม..สลบ
“พอดีมียาฉุกเฉินติดตัวมา ก็ไม่นึกหรอกว่าจะได้ใช้ พรุ่งนี้เจ้าต้องขอบคุณข้าล่ะ...”
บอกกับคนไม่ได้สติอีกครั้ง ขณะตรวจดูผลงานอย่างค่อนข้างพอใจ สภาพทั่วไปของนักรบปีศาจดีขึ้นมาก ผ้าพันแผลเก่าถูกเปลี่ยนออกไปด้วยผ้าพันแผลใหม่ซึ่งวางอยู่บนหัวเตียงแต่เจ้าของห้องไม่ใส่ใจ
“ยังกับห้องผีดิบคืนชีพ”
เฟรี่ทำจมูกย่นบ่นกับตัวเองขณะมองสำรวจรอบๆ ห้องก่อนหันมามองหน้ากากเย็นชาอีกครั้ง โอกาสทองอยู่ในมือแล้ว อยากจะแกะหน้ากากดูหน้าสักหน่อยว่าหน้าตาเป็นอยากไร แต่ติดไปคิดมาคงไม่ดีแน่ รู้ถึงไหนอายถึงนั่น ถึงจะอยากรู้อยากเห็นเพียงไรก็ต้องสะกดใจ
“ไปล่ะนะ...”
บอกพลางเอานิ้วชี้จิ้มหน้ากากโลหะหนึ่งที
“นอนให้ดีๆล่ะ ตื่นขึ้นมาแล้วจะดีเอง แล้วไม่ต้องละเมอลุกขึ้นมาล็อคประตูนะ ไม่มีใครแอบบุกมาปล้ำหรอกหน้าตาแบบนี้”
ว่าแล้วก็ก้มตัวลงทำท่าจะมุดโพรงกลับ แต่แล้วก็ยิ้มให้กับตัวเองเมื่อนึกได้ว่าแค่เดินออกทางประตูก็ได้แล้ว ทำไมจะต้องลำบากมุดโพรงผนังห้องกลับไปให้ทุลักทุเล
หญิงสาวเดินยิ้มกริ่มเปิดประตูออกมาจากห้องของไนท์ ด้วยความมั่นใจในฝีมือพยาบาลของคนเอง แต่พอมาถึงประคูห้องของตัวเองก็ต้องยิ้มค้าง
ประตูล็อคจากด้านใน!
กรรมของเวร....พยาบาลจำเป็นส่ายหน้าอย่างอ่อนใจ ก็เธอเองเป็นคนรอบคอบเลยล็อคประตูจากด้านในเสมอ เมื่อครู่ตอนออกไปจากห้องครั้งแรก พอกลับมาก็กดล็อคแบบไม่ตั้งใจตามความเคยชินและเพื่อความปลอดภัย ลูกกุญแจก็ไม่มีติดตัวเพราะวางอยู่หัวเตียงในห้อง ตัวเองลอดผ่านโพรงผนังห้องของไนท์เข้าไปไม่ได้ออกมาทางประตูสัก เห็นท่าก็ต้องกลับเข้าไปห้องของไนท์แล้วลอดโพรงกลับห้องตัวเอง ลำบากนิดหน่อยไม่เป็นไร กลับห้องได้ก็อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเข้านอนให้สบายกายใจ
แต่พอจับลูกบิดหน้าห้องของคนป่วยหนักหมุนดูก็ใจหายวาบ
เปิดไม่ได้......
กรรมของเวรอีกแล้ว
เมื่อครู่เธอเผลอกดล็อคประตูห้องแบบไม่ตั้งใจตามความเคยชินความรอบคอบ ทั้งที่ตัวเองเป็นคนสอนไนท์ว่าไม่ต้องล็อค ไม่ต้องกลัวใครมาปล้ำ เข้าห้องของปีศาจหนุ่มไม่ได้... เข้าห้องตัวเองก็ไม่ได้... จะทำอย่างไรดี
ทั้งโมโหทั้งขำตัวเอง คิดแล้วอ่อนใจ แต่อีกไม่นานคงสว่าง ไม่ต้องทำอะไรอีกแล้ว เหนื่อยก็เหนื่อย เพลียก็เพลีย เลยเดินกลับมาหน้าห้องตัวเอง นั่งหลังพิงผนังเอามือกอดอกเพราะอากาศเย็น ผ้าห่มก็ไม่มี เฟรี่เอ๊ย...ทำไมถึงเฟอะฟะแบบนี้ ถ้าอยู่บ้านตนเองก็หลับสบายไปแล้ว แต่ก็โล่งใจไปอย่างหนึ่งล่ะ คนนำทางอาการคงดีขึ้นเองในไม่ช้า อีกไม่นานก็จะกลับถึงบ้านอันอบอุ่น จะนอนจะเที่ยวจะกินชดเชยความลำบากให้สาสม อยู่ในโลกและสังคมสวยงามให้สาสม
แม้ว่าจะรู้สึกอ่อนเพลียปานใด แต่ก็ยังข่มตาไม่หลับ ใจคิดอะไรเรื่อยเปื่อย เราอยู่ในดินแดนภูตผีปีศาจ ทางเดินในอาคารดูเปล่าเปลี่ยววังเวงน่ากลัว แสงไฟก็สลัวราง ถ้าเกิดมีผีโผล่ออกมาเดินเล่นตามทางเดินสักสองสามตัวจะทำอย่างไร แล้วเกิดว่าผีพวกนี้อยากแวะมานั่งคุยด้วย!
ไม่น่า...ไม่คิดแบบนี้ คิดอย่างอื่นสิ คิดถึงคนรักคงกำลังหลับอยู่จะคิดถึงเราบ้างไหม แล้วถ้าเกิดมีผีตัวหักค่อยโผล่พ้นขึ้นมาจากพื้นเส้นผมยาวปรกหน้าขาวซีดตาเบิกโพลงคลานเข้ามาแบบผิดธรรมชาติเก้กังเก้งก้างน่าเกลียดน่ากลัว ถึงจะหลับตาแต่ถ้ามือเย็นๆเอื้อมมาแตะบ่าล่ะ
ยิ่งคิดยิ่งกลัว
ไม่เอา...ไม่คิดถึงผี.....
คิดถึงสมัยวัยเด็กหนังสือดีกว่า... มีเพื่อนมากมายในห้อง อาจารย์สอนก็ใจดี สอนก็เข้าใจง่าย สมัยนั้นมีหนุ่มๆมาชอบพอเป็นครั้งแรก เอ ชื่ออะไรนะ... แต่ถ้านั่งเรียนอยู่ดีๆ แล้วเพื่อนทุกคนเกิดนั่งตัวแข็งทื่อขึ้นมาต่อหน้าต่อตาแล้วค่อยบิดคอหันขวับมามองเป็นตาเดียวล่ะ
ไม่ๆๆ...
และถ้าผีผมยาวหน้าขาวโผล่ลงมาจากเพดานจะทำอย่างไรดี จะสู้หรือจะหนี ถ้าจะสู้จะสู้แบบไหน กระโดดใส่แบบบ้าเลือดหลับหูหลับตาบีบคอผีแก้ลำเลยดีไหม อยากหลอกดีนัก ยิ่งคิดยิ่งขนลุกซู่ ทั้งที่ยังไม่มีอะไรโผล่มาทักทาย ทำไมต้องคิดเรื่องน่ากลัวอย่างไม่มีเหตุผล เรื่องอื่นมีมากมายทำไมไม่คิด
สุดท้ายก็ตัดสินใจลุกขึ้นย้ายที่ไปนั่งหน้าห้องของไนท์ดีกว่า เพราะรู้สึกว่าอย่างน้อยยังมีคนรู้จักอยู่ใกล้ๆ แม้จะอยู่ข้างในห้องก็ตาม พอย้ายมานั่งอยู่หน้าห้องของนักรบปีศาจก็รู้สึกอบอุ่นใจขึ้นแต่ก็ยังไม่วายจะหวาดกลัวอยู่ดี ใครล่ะจะไม่กลัว นั่งอยู่หน้าห้องคนเดียวในบ้านคนอื่นอันเงียบเชียบ ถ้าผีโผล่มาจะทำอย่างไร ทางเดินถึงจะมีแสงสว่างจากก้อนหินเรืองแสงแต่ดูหม่นมัวลางเลือนวังเวงเหมือนทางเดินในสุสานไม่มีผิด
“ไนท์.....”
ร้องเรียกเบาๆแม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ยิน เอามือจับประตูเล่นไปมาน้ำตาคลอเบ้า
“ถ้าผีมันมา เจ้าจะต้องออกมาช่วยข้านะ”
“ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องมาช่วย
“รู้นะ...ว่าข้าอยู่หน้าห้องนี่เอง”
หญิงสาวกอดอกหลับตา พยายามคิดถึงนิทานที่คนในห้องเล่าให้ฟัง ทบทวนไปมาอยู่หลายรอบเพื่อไม่ให้จิตใจฟุ้งซ่านหันไปคิดถึงบรรดาผีทั้งหลาย การควบคุมความคิดของตนเองเป็นเรื่องยากเหลือเกิน เวลาดูเหมือนจะผ่านไปอย่างเชื่องช้า อากาศดูเหมือนจะเยือกเย็นลงทุกที
“ว่างมากนักหรือไงถึงมานั่งอยู่หน้าห้องชาวบ้านเขา”
เสียงเย็นชาไร้น้ำใจชวนตกใจ แต่เวลานี้ฟังดูอบอุ่นเหลือเกิน รีบเงยหน้าหันไปมอง ปีศาจหนุ่มนั่นเองไม่รู้ว่าออกมาจากห้องตอนไหน รู้แค่ว่าเขากำลังทรุดตัวลงนั่งข้างกาย
“ไนท์” หญิงสาวอุทานตาโตอย่างดีใจ จับแขนอีกฝ่ายเขย่าพลางบอกเสียงเร็วปรื๋อ “รู้ไหมว่าข้าเข้าห้องไม่ได้”
“ทำไมจะไม่รู้ แต่ไม่ต้องกังวลข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเพราะข้าเองก็เข้าห้องไม่ได้เหมือนกัน”
“อะไรนะ..” น้ำเสียงมีแววตกใจและผิดหวัง
“ก็คงเหมือนเจ้านั่นล่ะ ออกห้องแล้วกลับเข้าห้องไม่ได้ก็มีมากมายถมไป ไม่แปลก”
“แล้วออกมาทำไม ออกมาได้ยังไงก็ข้าหลับพิงประตูอยู่”
“ข้าตื่นขึ้นมาเห็นผนังห้องถูกเจาะ เลยจะออกมาดูความเรียบร้อยสักหน่อย จะเปิดประตูก็รู้สึกว่าว่าตัวอะไรนั่งขวางอยู่หน้าประตู เป็นเจ้านี่เอง และเจ้านอนขี้เซามาก ขนาดข้าดันประตูออกมาจนเจ้าหัวทิ่ม ยังหลับไม่รู้เรื่อง”
“พูดให้ดีๆนะ ตัวอะไร” น้ำเสียงเริ่มมีอารมณ์แต่ไนท์หัวเราะในลำคอเบาๆ นั่งด้วยท่าทางสบายใจอย่างไม่เคยเห็นมาก่อนมาเขาจะเป็นคนสบายใจเป็น เพราะมักเห็นแต่เคร่งเครียดหมกมุ่นทั้งวัน
“ข้าล้อเล่นน่า ไม่ต้องทำเป็นดุหรอกน่า”
“คนอย่างเจ้าล้อเล่นเป็นด้วยเหรอ สงสัยคำว่ายิ้มก็คงเขียนไม่เป็น”
“มันก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์” คนข้างกายบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง “คนเราบางทีก็ต้องทำตัวให้ถูกกับสถานการณ์ แต่ถ้าทำตัวไม่ถูกก็จะมานั่งหน้าห้องคนอื่นแบบนี้ล่ะ”
“อย่าพูดมากน่า ออกมาแล้วกลับเข้าไปไม่ได้ก็นั่งอยู่เป็นเพื่อนข้าตรงนี้ล่ะ จะได้ทัดเทียมกัน”
“ก็ได้..” อีกฝ่ายรับคำง่ายๆ เฟรี่ยิ้มอย่างดีใจ มีเพื่อนแล้วสบายใจแล้วไม่ต้องกลัวอะไร ยังไงหมอนี่ก็น่ากลัวน้อยกว่าผี เอ๊ะ..หรือว่าจะน่ากลัวกว่าผี คิดแล้วก็รู้สึกขำจนอดยิ้มออกมาไม่ได้
เจ้ายิ้มอะไร” ปีศาจหนุ่มบังเอิญหันมามองแล้วถามอย่างสงสัย
“เปล่า” รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที
“เปล่าอะไร อยู่ดีๆ ก็ยิ้มแบบไม่มีเหตุผล เจ้าต้องยิ้มเยาะข้าแน่เลยรับมาเสียดีๆ”
“เปล่าๆๆ”
“ผู้ร้ายปากแข็งเดี๋ยวก็ฆ่าทิ้งเสียหรอก”
เฟรี่สะดุ้งหันหน้าไปมองหน้ากากเย็นชาไร้ความรู้สึกเหมือนจะถามว่าพูดจริงหรือเปล่า เพราะอย่างไรคืบก็ปีศาจศอกก็ปีศาจ
“ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอกน่า”
ไนท์พูดขึ้นราวกับว่ารู้ในความคิดของคู่สนทนา เฟรี่มองค้อนแล้วถือโอกาสตรวจดูท่าทางอาการของคนไข้ในความดูแลด้วยสายตาไปมาก่อนถามว่า
“ทำไมอาการเจ้าดีขึ้นเร็วจัง ไม่น่าเป็นไปได้”
“ก็ยังไม่หายดีเท่าไร ไม่แน่นะว่าที่เจ้ามองเห็นอยู่นี่อาจเป็นวิญญาณของข้า มาหลอกเจ้า”
.................