เรื่องสั้นชนะการประกวด : รักหรือเข้าใจ (1)

กระทู้สนทนา
เรื่องสั้นชนะการประกวดนิตยสารแพรว

รักหรือเข้าใจ
        
           ดรัสวันต์




ตอนที่ 1

        รถเชฟวี่ เชฟ์เวท์  สีเทาเงินเริ่มพุ่งทะยานเข้าสู่ความจอแจของ แดน ไรอัน เอ็กซเพรสเวย์ ที่ทอดตรงไปสู่มหานครชิคาโก มองเห็นตึกระฟ้าสูงบ้างต่ำบ้างเป็นดงแน่นทึบอยู่ในใจกลางเมือง

    หญิงสาวที่นั่งคู่กับคนขับ ท่าทางจะตื่นเต้นมากที่สุด หล่อนมองไปรอบๆ อย่างตื่นตาตื่นใจ และการที่หล่อนหันไปมองนอกหน้าต่างเช่นนั้น จึงไม่มีผู้ร่วมเดินทางคนใดได้เห็นว่าดวงตาคู่นั้นรื้นขึ้นด้วยหยาดน้ำใสๆ....หยาดน้ำตาแห่งความปิติตื้นตัน

    และแล้วความใฝ่ฝันที่รอคอยมาเกือบ 5 ปี ก็เป็นจริงขึ้นมา หล่อนได้กลับมาที่นี่อีกครั้งดังที่หล่อนได้ให้สัญญาไว้กับตัวเองอย่างหนักแน่นว่า จะขอกลับมาเหยียบแผ่นดินนี้อีกให้ได้  แผ่นดินที่ครั้งหนึ่งได้เคยมาเรียนหนังสือ มาต่อสู้ชีวิตและอุปสรรค ยืนหยัดขึ้นด้วยลำแข้งของตนเอง และ...เคยมีรัก

    หัทยาเลื่อนกระจกลง เพื่อลมผ่าวๆ ของฤดูร้อนจะได้พัดโชยเอากลิ่นอายของบรรยากาศเก่าๆ กลับมา หญิงสาวพยายามสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ทั้งๆ ที่อาการคัดจมูกยังไม่จางหายไปดีนัก

    หญิงสาวผู้ที่นั่งอยู่เบาะหลังมองไปรอบตัวและพูดกับหัทยาว่า

    “ดูซิไหม กี่ปีกี่ปี เซ้าท์ไซด์ก็ยังไม่เปลี่ยนนะ” วรลักษณ์หมายถึงสภาพเมืองชิคาโกด้านใต้ ซึ่งเต็มไปด้วยตึกรามบ้านเรือนที่ทรุดโทรมเก่าๆ ดำๆ ซึ่งอาจเรียกได้ว่าสลัม ผู้พักอาศัยส่วนใหญ่เป็นคนผิวดำ เป็นแหล่งมั่วสุมของอันธพาล มีการจี้ปล้นทำร้ายร่างกาย ซึ่งไม่มีคนดีๆ คนใดอยากพลัดหลงเข้ามาในถิ่นนี้

    อีกครั้ง ที่หัทยาหวนระลึกถึงคำพูดของ ‘เขา’ ที่มักชอบแกล้งขู่หล่อนว่า

    ‘ระวังเถอะ จะจับไปปล่อยที่เซ้าท์ไซด์ ให้เข็ดเชียว’

    หญิงสาวยิ้มน้อยๆ กับตัวเอง แล้วแอบใช้ปลายนิ้วเช็ดหยาดน้ำที่หางตาออกไปโดยเร็ว แต่กิริยานั้นมิได้รอดพ้นสายตาของชายหนุ่มข้างๆ เขายังคงขับรถต่อไปอย่างเงียบขรึม ใช้สมาธิกับท้องถนนที่รถยนต์ทุกคันต้องใช้ความเร็วไม่ต่ำกว่า 45 ไมล์ และไม่เกิน 55 ไมล์ ต่อชั่วโมง

    ความเป็นเพื่อนสนิทที่ผูกพันกันมาหลายปี ทำให้ภาวัตเข้าใจปฏิกิริยาของหญิงสาวได้เป็นอย่างดี

    “ก็นั่นน่ะซิคะ เป็นปัญหาซึ่งใครๆ แก้ไม่ตก” หัทยาตอบ

    “ทำไมคะพี่จุ๋ม เซ้าท์ไซด์นี่มันแย่มากเลยหรือคะ” ทิตยาผู้ที่เด็กที่สุดในกลุ่มหันไปถามวรลักษณ์

    “จะร้ายมากน้อยแค่ไหน พี่ไม่เคยประสบด้วยตัวเองหรอกนะ แต่ก็ขึ้นชื่อเลยล่ะว่ามาชิคาโก ห้ามไปเซ้าท์ไซด์เด็ดขาด ถ้ามีเหตุจำเป็นจะต้องผ่านถิ่นนี้ ก็กรุณาเช็คสภาพรถ ห้ามรถตายเด็ดขาด ล็อคประตู กระจกก็ต้องปิดให้หมด เป็นไง เห็นภาพพจน์ไหม”

    ทิตยาหรือจอย หัวเราะแฮ่ะๆ แล้วตอบว่า

    “เห็นเสียยิ่งกว่าเห็นอีก อย่างนี้ก็แสดงว่าพี่จุ๋มกับพี่ไหมก็เก่งมากซิคะ ที่อยู่เมืองนี้ได้”

    “ชิคาโกไม่ได้น่ากลัวไปเสียหมดหรอกนะจอย ถ้าเราเลือกอยู่ให้ถูกที่ถูกเวลา ก็คงไม่มีปัญหาอะไร พี่กับพี่จุ๋มยังไม่เคยเจอดีสักครั้งนี่นา” หัทยาพยายามอธิบาย

    หล่อนรักชิคาโก เมืองนี้เปรียบเสมือนบ้านที่สองของหล่อน จึงไม่อยากให้ใครมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อที่นี่  

    ความจริงแล้วไม่มีที่ใดในโลกที่สมบูรณ์พร้อมไปทุกอย่าง เพียงแต่ถ้าคนเรารู้จักหยิบยก เลือกแต่สิ่งดีงามมาพิจารณา ที่นั้นๆ ก็ย่อมเป็นสวรรค์สำหรับทุกคนได้เสมอ

    “จะให้เข้าทางแยกไหนล่ะไหม” ภาวัตถามขึ้น

    หัทยาที่ทำหน้าที่ไกด์จึงหันมาสนใจกับป้ายสีเขียวที่คร่อมอยู่ด้านบนของถนน ซึ่งทิตยาเคยให้ข้อสังเกตว่าเหมือนที่เมืองไทย  และเราคงเลียนแบบอเมริกัน

    “แยกที่สองค่ะ” บอกภาวัตแล้วยกนาฬิกาขึ้นดูเวลา “ใกล้เที่ยงแล้ว  เราทานกลางวันที่ไชน่าทาวน์ไหม”

    “ก็ดีนะ  เราทานแฮมเบอร์เกอร์ติดๆ กันมาหลายมื้อแล้ว” ภาวัตรีบบอก ซึ่งทุกคนก็เห็นพ้องด้วย

    รถพาทั้งหมดมุ่งหน้าไปยังถิ่นคนจีน ซึ่งใหญ่ที่สุดในภาคตะวันตกกลาง หรือ มิดเวสต์ของอเมริกา

    ถนนหนทางว่างโล่ง ไม่มีรถจอแจ ภาวัตขับรถชะลอๆ ไปเรื่อยเมื่อเข้าเขตร้านอาหารเพื่อให้หัทยาและวรลักษณ์ตัดสินใจเลือกร้านอาหาร

    “ร้านที่มันอร่อยๆ น่ะ ชื่ออะไรนะ Three Happiness  หรือ Four Happiness พี่จำไม่ได้สักที”

    “Four Happiness จ้ะ แต่เราจะกินอะไร ข้าวกับพวก A La Cart  หรือ Dim Sum”

    ภาวัตเห็นท่าทางยังไม่สามารถตกลงกันได้  จึงหาที่จอดแล้วจอดลงที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง

    หัทยาทำจมูกย่นกับข้อเสนอของอดีตรูมเมท

    “ขนมจีบ ซาลาเปาน่ะ เลี่ยนจะตาย เอาอย่างนี้ นึกออกแล้ว พี่จุ๋มจำร้านบะหมี่เกี๊ยวเจ้านั้นได้ไหม น่าสนนะ”

    วรลักษณ์พยักหน้ารับ ท่าทางถูกอกถูกใจกับความคิดนี้ ส่วนหัทยาก็หันมาอวดสรรพคุณบะหมี่เกี๊ยวเจ้าอร่อยให้ภาวัตและทิตยาฟังว่า

    “เกี๊ยวนะ เป็นเกี๊ยวกุ้ง เขาใช้กุ้งทั้งตัวเลย ก้อนเบ้อเริ่มเต็มปากเต็มคำ แป้งเกี๊ยวก็บ๊าง บาง ต่อให้เอาร้านเกี๊ยวทั้งเมืองไทยมาเทียบ ก็สู้ไม่ได้”

    “โอย  แค่ฟังก็เห็นเกี๊ยวมาลอยอยู่ตรงหน้าแล้ว ไหน ร้านอยู่ไหน” ภาวัตทำท่าหิวจัดจนหัทยาต้องหันไปพยักเพยิดกับทิตยาเป็นทำนองหมั่นไส้

    “โน่นค่ะ  ทางซ้ายมือ”

    ภาวัตจึงขยับรถจากที่จอดเดิมไปจอดหน้าร้านที่ว่า

    ด้านหน้าร้านที่เป็นกระจกใสสามารถมองเข้าไปเห็นคนขายกำลังลวกเส้นบะหมี่เหยงๆ เหมือนตามร้านก๋วยเตี๋ยวทั่วไปในเมืองไทย  แต่สำหรับเมืองนี้เป็นสิ่งที่หาดูได้ยาก เพราะการเตรียมอาหารของร้านอื่นๆ จะทำในครัวหลังร้าน เมื่อสั่งแล้วจึงนำออกมาเสิร์ฟ

    “ทำไมไหมถึงจำแม่นจัง  ขนาดไม่ได้มานาน 5-6 ปีแล้วยังอุตส่าห์จำได้” ภาวัตให้ข้อสังเกตยิ้มๆ

    “พี่น่ะ ยกไว้ให้เขาคนหนึ่งล่ะ เรื่องช่างจำนี่น่ะ แต่ขอวงเล็บไว้หน่อยนะว่าจำได้แต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง” วรลักษณ์แหย่แล้วหัวเราะชอบใจ

    หัทยาปิดประตูรถแล้วหันมาต่อปากต่อคำด้วยว่า

    “เป็นเรื่องหรือไม่ มื้อนี้ก็ได้อิ่มอร่อยกันล่ะค่ะ”
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่