เศรษฐกิจแย่กันทั้งประเทศ ธุรกิจของคุณยอดขายตกกันแค่ไหนครับ

เปิดร้านขายขนมและเครื่องดื่มปีที่แล้วขายดีในระดับหนึ่ง วันละเกือบหมื่น แต่พอมาปีนี้เกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจ ทำไมกำลังซื้อหายไปมากขนาดนี้
โปร ลด แลก แจก แถม ความรู้กลยุทธ์ต่างๆงัดออกมาใช้แทบไม่มีผลอะไรเลย ยอดขายที่ร้านตกเกิน 70% หักลบค่าใช้จ่ายเหลือกำไรเหลือน้อยมากจนมานั่งคิดว่าควรปิดร้าน หรือควรยื้อต่อไปกับสภาพเศรษฐกิจที่ไม่มีทางจะฟื้นได้ในเร็ววันเพราะ......สิ่งที่ทุกคนรู้กันว่าเพราะอะไร

-ลองวิเคราะห์รอบตัว ลูกค้าของที่ร้านส่วนใหญ่เป็นระดับกลาง 80% ระดับล่าง 20%
ระดับบน แทบไม่ได้รับผลกระทบ เงินและทรัพย์สินเหลือเฟือ ของแพงก็ยังขายดีเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ระดับกลาง มนุษย์เงินเดือนหลายบริษัทเริ่มจ้างออก ให้ออก ยุบแผนก
ระดับล่าง ประหยัดกันสุดๆ ลดค่าใช้จ่ายทุกอย่างที่ทำได้

-วิเคราะห์ทางเลือกและทางรอด
ทางเลือก 1 ย้ายร้านไปเช่าในทำเลที่ดีกว่า เพราะถ้ายื้อต่อไปกับทำเลเดิม หักลบค่าใช้จ่ายแล้วไม่คุ้มกับการทำต่อ
ทางเลือก 2 ปิดร้าน และไปลุยงานในสายงานเดิม เหนื่อยกว่าตอนนี้ แต่ไม่จำเจ รายรับดีกว่าปัจจุบันน่าจะ >4-5 เท่า

-ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นกับคุณ คุณจะยื้อสู้ทำร้านนี้ต่อไปหรือจะถอยไปทำอย่างอื่นที่ได้เงินมากกว่านี้ (โดยทิ้งเงินที่ลงทุนกับกิจการนี้ไปเกือบ 1 ล้าน)
-คุณทำกิจการอะไร และยอดขายตกแค่ไหนครับ
-ในแวดวงธุรกิจของคุณ กับสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ คุณสู้ต่อหรือยอมถอยครับ

สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 18
ตลาดมันมีทั้ง ที่มีคน และไม่มีคนแหละ

ดันไปเลือกลงตลาดที่ไม่มีคนเอง จะโทษใคร

ขายอาหาร แต่ทำไม่อร่อย คนไม่กิน โทษเศรษฐกิจ 

ตลาดนี้ไม่ดี ก็ย้ายไปขายที่อื่นดิ 

มีแต่คนโง่เท่านั้นแหละ ที่ทำแบบเดิม แต่หวังผลที่ได้จะเปลี่ยนไปจากเดิม

ขายที่นีไม่มีคน ก็ย้ายที่ขาย ขายเสื้อผ้า ขายไม่ได้ ก็ต้องเปลี่ยนสินค้ามาขาย

แบบนี้เขาถึงเรียกปรับตัว ไม่ใช่ขายมันไม่ได้ แต่ก็ยังทนนั่งขายแบบเดิม ที่เดิม แล้วผลที่ได้มันจะต่างจากเดิมไหมละ

ขายไม่ได้ มองตลาดไม่ออก เจ๊งไปก็สมควร

คนเป็นพ่อค้า ต้องฉลาดครับ

ถ้าไม่ฉลาด  ก็อย่าเป็นมันเลยครับ  เปลี่ยนอาชีพเฮ๊อะ....


ผมก็เป็นพ่อค้าเหมือนกัน  แต่ในหัวผม  คิดแต่ว่า   จะหาทำเลดีๆตรงไหน  หาอะไรดีๆ ที่โดนใจลูกค้ามาขาย   จะหาลูกจ้างที่ซื่อสัตย์และเป็นงาน มาขายให้ผมได้จากแหล่งไหน     จะต่อยอดต่อไปยังไงดี

สรุปว่าพ่อค้าต้องใช้สมองครับ     อย่าเอาแต่โทษโน่น โทษนี่   แต่ไม่โทษตัวเองที่ไม่ฉลาด


ผมเห็นคนหลายคนเวลาไม่ดีโทษรัฐบาล เวลาดีบอกตัวเองเก่ง ขยัน 

ที่จริงจะดีหรือไม่ดีปัจจัยมันเยอะแยะ รัฐบาลมีส่วนอยู่แล้ว นโยบายอะไรก็เกี่ยวข้องทั้งนั้น แต่มันส่วนเดียว เวลาบ่นทำไมไม่บ่นให้ครบ บ่นแต่รัฐบาล ราวกับว่าชีวิตนี้จะดีหรือไม่มันขึ้นกับรัฐบาล สำหรับผมรัฐบาลไม่ได้สำคัญขนาดนั้น จะยุคไหน ใครจะเข้ามา จะมาด้วยกระบอกปืน หรือแจกเงินมือเท้าเราก็ยังต้องช่วยตัวเอง


ไม่มียุคไหนสมัยไหนที่ทุกคนบอกว่าเศรษฐกิจดี
การบ่นว่าเศรษฐกิจไม่ดี,ข้างของแพง เป็นมาเกิน 50ปีแล้ว  ทุกวันนี้ยังเป็นอยู่  ส่วนใหญ่ก็โทษรัฐบาล
ผมอยู่กับรัฐบาลมาเกิน 15รัฐบาลแล้วพบว่า  การเปลี่ยนรัฐบาลหรือเปลี่ยนระบอบไม่มีผลกับเศรษฐกิจมากเท่าไหร่
เพราะรัฐไม่ได้ไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกรรมของเอกชน
พวกประชาธิปไตยจ๋าที่อ้างว่าต่างชาติจะบอยคอตทางเศรษฐกิจกับรัฐบาลเผด็จการนั้นจริงๆแล้วไม่เคยเกิด
แม้แต่ในพม่าสมัยเผด็จการเต็มรูปแบบก็ยังมีบริษัทต่างชาติทั้งอังกฤษ,อเมริกา,ญี่ปุ่น แอบไปทำธุรกิจกับรัฐบาลเผด็จการ
เศรษฐกิจจะดีหรือไม่  ขึ้นกับเอกชนเป็นหลัก  ภาครัฐเป็นแค่ตัวเสริม เช่นเรื่องภาษี,ค่าแรงขั้นต่ำ,การส่งเสริมการลงทุน,การลงทุนภาครัฐ,การดูแลค่าเงิน,รวมทั้งสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานซึ่งเป็นหน้าที่
ดังนั้น เศรษฐกิจไม่ดี  ต้องดูว่าของใคร, sector ไหน  ไม่ใช่ของตัวเองไม่ดีแล้วเหมารวม แล้วก็ไปโทษนั่นโทษนี่ที่ทำให้ตัวเจ๊งิ
ความคิดเห็นที่ 67
ขออนุญาตแชร์ประสบการณ์ค่ะ
เมื่อวาน7.3.59
เป็นวันที่ต้องจดจำเพราะไปทำเรื่องคืนร้านขายเสื้อผ้าแฟชั่นย่านทำเลทองแถวปิ่นเกล้า เนื่องจากประกาศเซ้งแล้วไม่มีผู้มาเซ้ง ทนยอมรอ ประมาณ 6เดือนจนเดือนนี้ตัดสินใจไม่ชำระค่าเช่าทำเรื่องคืนร้าน เพราะต้องอุดรอยรั่วของเงิน
ค่าเซ้งตอนรับมา160000 ค่าตบแต่งร้าน ค่าเช่าร้าน รวมทั้งหมดหักลบรายรับรายจ่ายแล้ว ขาดทุนปีที่แล่วทั้งสิ้น 350000บาท  
ไม่โทษใครค่ะโทษตัวเอง คิดปลอบใจกับแฟนว่า ถือส่ะไปซื้อสัมมนาราคาแพงที่สอนให้เรารู้และเจ็บจริงๆ

เศษฐกิจตอนนี้กระทบถึงระดับรากหญ้าค่ะ  คนเดินแต่จับจ่ายยากมากขึ้น เพราะคนเริ่มคิดการใช้เงินมากขึ้น ร้านอื่นๆที่อยู่ได้นั้นขอเรียนบอกตามตรงว่า แม่ค้าที่อยู่ได้คือต้องเปิดมาสักระยะหนึ่งนับย้อนหลังไปอย่างน้อย 3ปี ค่ะเค้าถึงเริ่มรู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะเอาตัวรอดในสถานะการณ์แบบนี้ เค้าอยู่รอด แต่รอดแบบร่อแร่นะคะ แค่หมุนๆไปแต่ละเดือนเลือดแทบจะกระเด็น

ขอแชร์ความรู้สึกผ่านตรงนี้

ล็อคในตลาดค่าเช่า 10000บาทขึ้นไป ของ จขม อยู่ที่เดือนละ 14000b ไม่รวมค่าจ้างคนขาย ถ้ามีคนขายต้องตีไปอีก 10000 b
ดังนั้นค่าใช้จ่าย  fix cost จะอยู่ที่ 24000 แบบร้านอยู่รอดไม่มีกำไร
ตีค่ากำไรให้ตัวเองอย่างต่ำ 15000b.  รวม ประมาณ 40000แบบอยู่รอดปลอดภัยมีเงินใช้ไม่มีเก็บ

โดย*ยังไม่รวมค่าสินค้า

ร้านยิ่งใหญ่ยิ่งต้องหมุนเงินกระอั่ก การถือต้นทุนวัตถุดิบต่ำย่อมถือไพ่ได้เปรียบกว่า ใครที่รับสินค้าต่อแล้วโดนฟันกำไรแล้วจะเหนื่อยมากขึ้น ถ้ายอดขายไม่พอกับค่าใช้จ่าย ทางเลือกที่แม่ค้าในตลาดมักจะทำคือ เปิดสายแชร์
หรือการหมุนเงินเล่นแชร์

ซึ่งแน่นอนว่า การโกงแชร์ ย่อมมี เพราะเรื่องเงินไม่เข้าใครออกใคร  บางคนโดนไปเป็นหลักแสนค่อนไปกลางๆกลุ่มนายทุนนอกระบบ ส่งบัตรใจดีให้กู้ยืมเงินสินเชื่อ  ดอกไม่แพงนะติดต่อเราสิ. คนกำลังใจไม่แข็งพอก็โดนกับดัก เข้าไปอีก
.
.
นี่คือแม่ค้าที่เจ้าของเม้นท์เห็นค่ะ
.
เค้าอยู่รอด ทำไมร้านอื่นอยู่ได้ อันนี้เราไม่มีทางรู้ค่ะว่าเค้าเลือกทางไหน...
แต่!!ตอนนี้อยู่ลำบากไม่สบายค่ะ
.
ตลาดถึงแม้จะมีคนเดิน เราไม่สนหรอกค่ะว่าเดินมากเท่าไหน เพราสมัยนี้ ซื้อของผ่านเน็ต หรือบางคนก็ Windows shopping หรือมองดูเป็นส่วนใหญ่ แม่ค้าจะดูคนที่ถือถุงค่ะ ถุงพลาสติก ถุงกระดาษ ภาชนะที่ใส่สินค้าให้ลูกค้าหิ้วกลับค่ะ ใครหิ้วถุง แม่ค้าจะหมายคนนั้น ว่าซื้อจริงๆ เดินผ่านๆไม่เรียกนี่อย่าตำหนินะคะ เพราะรู้ค่ะว่าโอกาสซื้อน้อย เราผิดหวังมาเยอะ ยางครั้งก็ไม่อยากรับความผิดหวังตลอดทั้งวัน ยิ่งเจอลูกค้าแบบอืม..คงกดดันจากที่ทำงานแล้วเหวั่นงใส่นี่ ยิ่งทำให้สุขภาพจิตเสียมาก
เริ่มนอกประเด็นล่ะ ความหมายโดยๆรวมคือ เงียบค่ะ เงียบมาก
แล้วก็แย่จริงๆ คนที่มักบอกว่าร้านอื่นทำไมรอด ขอให้คุณลองเข้ามาคลุกวงในคลุกธุรกิจดูค่ะ ว่าไม่ง่าย หรือหากคุณอยู่รอดแบบไม่ยากลำบาก ปล.ขอให้สาบานนะคะว่าไม่ลำบากจริงๆ โปรดแชร์เป็นวิทยาทานด้วยเถอะค่ะ ยินดีน้อมรับฟังและขอคำปรึกษาจากคุณ เพื่อเป็นประโยชน์จากคนหลายๆคน

จากวันนี้เป็นต้นไป เริ่มต้นนับ1ใหม่ จำไว้เป็นบทเรียน อันราคาแพง ขอบคุณพื้นที่สำหรับการระบายความคิดเห็นในครั้งนี้ค่ะ
ความคิดเห็นที่ 81
ประเทศเราย้อนแย้งนะคะ

คุณๆ บ่นเศรษฐกิจไม่ดี แต่มองรอบตัวคุณสิ....

- รถติดขนาดไหน อย่าปลอบใจตัวเองว่าติดมานานแล้ว
ดิฉันว่ามันติดหนักมากในระยะ 2-3 ปีที่ผ่านมา

- ใช้โทรศัพท์อะไรกันบ้าง

- ร้านอาหารแพงๆ เก๋ ตามห้าง ตามแหล่งมีระดับ คนเพียบ

- Starbucks วันธรรมดาคนยังแน่น รวมถึงห้างสรรพสินค้าเช่นกัน
เมื่อก่อนวันธรรมดาที่จอดรถจะโล่งมาก เดี๋ยวนี้ขนาดวันธรรมดายังหายาก

- เอาจริงๆ เราว่าทุกวันนี้เห็นรถ Super Car หรือรถตะกูลสูงๆ
อย่างเบนซ์ มินิ บีเอ็ม บ่อยกว่าตอนเราเด็กๆ อีก (แปลว่า?)

- ใครๆ ก็ถือกระเป๋าแบรนด์เนม

แล้วตกลงมันคืออะไรเหรอ ใครบอกได้บ้าง?



ดอกไม้สิ่งที่คุณต้องมองดอกไม้

- คุณอยู่ในยุคที่คนไม่อยากเป็นเบี้ยล่างใคร

- หนังสือยุให้คุณลาออกมีมากมายหลายเจ้า หลายสำนักพิมพ์

- ดังนั้นคนจึงออกมาเปิดร้านของตัวเองกันเยอะกว่าเมื่อก่อนมาก (หรือจะเถียง?)

- ซึ่งแน่นอน นั่นแปลว่าคู่แข่งคุณเยอะขึ้น ตัวแปรต่างๆ ก็มากขึ้น เช่น...
สินค้าที่คุณขายมีเกร่อตลาด คนกินอาจเบื่อ อาจมีคู่แข่งตัดราคาคุณ
คู่แข่งมีอะไรที่ดีกว่าคุณ ฯลฯ

- ดังนั้น คุณต้องตีโจทย์ให้แตกในธุรกิจของคุณ

- นั่นคือทางรอดของคุณ ไม่ใช่มาโทษนั่นโทษนี่

- เพราะทุกรัฐบาล ไม่ว่าจะท่านแม้ว ท่านมาร์ค ท่านทหาร ฯลฯ
คนที่ไม่ชอบ ไม่พอใจก็โทษเศรษฐกิจทั้งนั้น

- ส่วนตัวไม่คิดว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไร ใช้เงินเท่าเดิม เพราะของแพงอยู่แล้ว
และแพงมานานแล้ว หลายรัฐบาลแล้ว มีเงินมากก็กินดีๆ มีเงินน้อยๆ ก็ประหยัด

ไม่เกี่ยวกับเศรษฐกิจประเทศ เกี่ยวแค่กับเศรษฐกิจของตัวเอง
เงินออกใช้เยอะเอง อยากได้ของเอง สิ้นเดือนก็เลยประหยัด
ถ้าไม่โลภอะไร เงินเหลือเยอะ ก็เอาไปใช้อย่างอื่นได้เยอะ แค่นี้ ไม่เคยโทษรัฐบาลไหน จบ
ความคิดเห็นที่ 7
ถ้าเศรษฐกิจมันแย่จริงๆ คู่แข่งของคุณก็ต้องแย่พร้อมๆกันหมด เหมือนร้านที่ขายอะไรตามกระแส ถ้ากระแสตก ทุกร้านก็มียอดขายลดลงหมด

แต่ถ้าเป็นร้านคุณที่ลูกค้าน้อยลง แต่คู่แข่งลูกค้าดีกว่า นั่นไม่ใช่ว่าเศรษฐกิจแย่นะครับ ก็แค่เอา"เศรษกิจ"มาเป็นข้ออ้าง เป็นแพะรับบาป ถ้าร้านอื่นยังมีลูกค้าแสดงว่าคนยังมีกำลังซื้อ ตอนนี้ก็เป็นหน้าที่ของคุณที่จะเปลี่ยน"กำลังซื้อ"ให้เป็น"ลูกค้า"ล่ะครับ
ความคิดเห็นที่ 100
ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงครับ  วันหนึ่งขายดี วันหนึ่งอาจจะขายไม่ดี เพราะการแข่งขันในตลาดสูง  โลกสมัยนี้หมุนเร็วครับ

ยกตัวอย่างเช่น  

1. ผมมีรองเท้าอยู่ 1 แบบ เคยขายรองเท้าได้คู่ละ 1,300 บาท เมื่อก่อนขายดีมากกกก   แต่ทุกวันนี้ จากคู่ละ 1,300 แบบเดิมมันขายไม่ได้ครับ ผมต้องลดเกรดวัสดุลง ลดราคาขายเหลือแค่คู่ละ 490 บาท  แต่ถามว่ากำไรพอกินไหม ตอบเลยว่าไม่พอ ถามว่าจะเลิกขายไหม ก็ไม่เลิกครับ  แล้วต้องทำยังไงละครับ ก็หาแบบใหม่มาเพิ่มเข้าไป หามันไปเรื่อย ๆ ผมก็ขายมาได้จนถึงทุกวันนี้นะครับ  

2. ผมเปิดร้านขายอาหาร ในตลาดเปิดใหม่ มองแล้วศักยภาพในอนาคตดีมากกก แผงเช่าเต็ม ตอนเปิดแรก ๆ ผมเปิดร้านขายของทานเล่น ผมขายได้วันละ 5,000 - 10,000 แต่สักพักก็แทบจะกลายเป็นตลาดร้างเพราะเค้าขายกันไม่ได้ ร้านก็ปิดกันเยอะ จากขายได้วันละ 5,000 - 10,000 เหลือวันละ 3,000 - 5,000 ขาดทุนไหม ขาดทุนซิครัช  แต่ถามว่าปิดกิจการไหม ตอบเลยว่าไม่ เพราะอะไร เพราะผมมองแล้วว่าทำเลนี้ดีอนาคตต้องดี เพียงแค่ต้องรอเวลา สายป่านต้องยาว แล้วก็มองรอบข้างว่าตลาดนี้ขาดอะไร  จากนั้นก็หามาขาย ร้านไหนเจ๊ง ก็มาขายแทนเค้า เช่น ข้าวขาหมูปิดไปแล้ว ผมก็เปิดขายข้าวขาหมู  ข้าวแกงไม่อร่อยขายแต่ข้าวแกงเดิม ๆ ผมก็ขายสิ ข้าวราดแกงปลาเก๋า ข้าวราดแกงไก่ผัดเม็ดมะม่วง  ข้าวราดแกงเนื้อปูผัดผงกะห-รี่  ฯลฯ  ทุกวันนี้ เปิดมา 2 ปีกว่า กับข้าวแต่ละวัน 40 อย่าง ยอดขายวันละ 30,000 คุณจะเชื่อไหม

3. น้องผมไปอยู่ภาคใต้  ไม่มีอะไรทำ ผมส่งของไปให้ขายตลาดนัด ขายชิ้นละ 150 ทุกชิ้น ขายดีมากกก อาทิตย์นึงขาย 5 วัน ยอดขายเดือนละ 80,000 - 100,000 ค่าเช่าแค่วันละ 120 บาท ขายอยู่ 1 ปี พอหลังปีใหม่มา ยอดขายตกเหลือ เดือน มกรา ขายได้ 20,000 กุมภา 30,000 บาท  น้องได้แต่บ่นว่าเศรษฐกิจแย่ เศรษฐกิจไม่ดีพูดไปถึงนู้นนนน ว่าคนภาคใต้รายได้มาจากขายยางพารา ตอนนี้เลยไม่มีตังให้ลูกใช้  ผมก็ได้แต่งง ว่าทำไมมันแย่ขนาดนี้  คุยไปคุยมา น้องบอกว่า ขึ้นราคาของเป็น 179  บาท ผมเลยบอกว่าให้ขายเท่าเดิม หลังจากเปลี่ยนราคาปุ๊บ ยอดขาย แค่ 1 อาทิตย์ ขึ้นไป 20,000 บาท  (เพิ่งเปลี่ยนมาสด ๆ ร้อน ๆ )  น้องบอกว่ารู้งี้เปลี่ยนราคานานละ นั่งโ-ง่ อยู่ตั้งนาน 5 5 5

จากตัวอย่าง 3 ข้อด้านบน คุณคิดว่าเป็นเพราะเศรษฐกิจ  เป็นเพราะรัฐบาล  เป็นเพราะคุณ  หรือเป็นเพราะใคร   ตั้งแต่ผมค้าขายมาผมเชื่อว่าเศรษฐกิจจะมีผลกระทบกับทุกวงการ  แต่การที่คุณจะอยู่รอดได้หรือไม่ได้ มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครเลย นอกจากตัวคุณเอง ว่าจะมองเกมออกหรือป่าว ผมแนะนำอะไรใครไม่ค่อยเป็นนะครับ เลยมาแชร์ประสบการณ์ของผมแทนละกันครับ

ปล. ผมไม่ได้เก่งนะครับ  ผมก็เคยเจ๊ง  แต่พอเจ๊งแล้วก็ถือว่าเป็นการซื้อครอสเรียนพิเศษ ว่าทำแบบไหนแล้วเจ๊ง ทำแบบไหนแล้วรุ่ง  แล้วก็คิด วิเคราะห์ ว่าควรจะทำอะไรต่อไป แต่ที่สำคัญ อย่ารีบร้อนที่จะทำ คิดให้ดี คิดเยอะ ๆ แต่อย่าคิดจนเครียดนะครับ  ผมอาจจะโชคดีอยู่อย่างที่เป็นคนไม่เครียดอะไรเลย ถึงขนาดวันที่มีหมายศาลให้ไปใช้หนี้มาหน้าบ้านก็ยังไม่เครียดเลยครัช.....5 5 5

คุณต้องหาจุดเปลี่ยนให้เจอครับ ถามว่าจะรู้ได้ยังไง ผมตอบเลยว่าไม่รู้นะ ทั้งหมดอยู่ที่ตัวคุณเอง เพราะแต่ละคนนิสัย ความคิด พื้นฐาน ประสบการณ์ ไม่เหมือนกัน ยังไงก็สู้ สู้ นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่