ทริปนี้เป็นทริปแรกที่ร้าน school coffee café ได้จัดขึ้น มีชื่อทริปเก๋ๆว่า “School bus to the farm Dulapur is calling” เป็นการให้ความรู้เรื่องกาแฟตั้งแต่การปลูกกาแฟ การเก็บกาแฟ กระบวนการทำกาแฟ และการชิมกาแฟ นอกจากนั้นแล้วยังได้สัมผัสวิถีชาวบ้านในสไตล์ปกาเกอะญอและยังได้ดูวิวพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก และตอนกลางคืนก็เห็นดาวมากมายอย่างกับมีท้องฟ้าจำลองส่วนตัว
โดยส่วนตัวเห็นประกาศรับสมัครจากที่เพื่อนๆแชร์กันมา วันแรกที่ประกาศรับเลย พอเห็นก็รีบส่งข้อความไปในเฟส ขอรายละเอียด และแจ้งโอนเงิน ทริปนี้ถ้าช้านี่อดนะจ๊ะ ฮ๊อตมากๆ ถ้ารถโรงเรียนคันที่ 2 เริ่มออกเมื่อไหร่ ถ้าใครสนใจอย่าได้ลองช้า มีประโยชน์สำหรับคนชอบกาแฟมากๆ เหมือนได้ไปเที่ยว ได้ความรู้ และได้มิตรภาพกลับมาด้วย ติดตามข่าวสารทริปต่อไปได้ที่ www.facebook.com/schoolcoffee และที่ร้านกาแฟ School coffee café
เราไปกัน 3 วัน 2 คืน ตั้งแต่วันที่ 29-31 มกราคม 2559 ก็โดดงานกันไปตามระเบียบด้วยความที่ทำงานวันหยุดไม่เหมือนชาวบ้าน ก็แจ้งลางานล่วงหน้าเกือบเดือนเพื่อไปทัศนศึกษากาแฟโดยเฉพาะ
เวลานัดหมาย 8:30น. ณ ร้าน ณ coffee
CREDIT PICTURE : KIMFERN SIRI
เราเริ่มออกเดินทางกัน 9:30น.ซึ่งช้ากว่าเวลาที่กำหนดไว้เพราะวันเดินทางมีหมอกลงจัดที่สนามบินเชียงใหม่ทำให้คนที่มาไฟล์เช้าดีเลย์กันไปคนละสองสามชั่วโมงเพราะต้องวนไปเติมน้ำมันที่เชียงรายแล้วกลับมาเชียงใหม่ ทำให้คนที่เหลือต้องออกเดินทางกันไปก่อนเพราะกลัวถึงบนดอยแล้วจะมืด เมื่อขึ้นรถก็ต่างเม้ามอยกันพอหอมปากหอมคอ ผ่านไปหนึ่งชม.หลับกันทั้งรถ คงรู้กันอยู่แล้วว่าทางไปแม่ฮ่องสอนปราบเซียนขนาดไหน โค้งชวนวิงเวียน ถ้าเผลอตื่นขึ้นมาต้องรีบหลับต่อ ไม่งั้นอาจเมารถได้
12:00น.ถึงสถานที่แวะพักกินข้าว ข้าวมีสามอย่างให้เลือก มีสลัดข้าวเบอรี่ ข้าวกระเพราะหมู และข้าวผัด อร่อยทุกอย่างเลย ผักสดมากๆ เสียดายลืมถ่ายรูปมา
หลักจากกินข้าวเสร็จก็ขึ้นไปจุดชมวิวข้างๆกับร้านที่แวะพักกินข้าว
หลังจากนั้น 2 -3 ชั่วโมงเราก็มาถึงหมู่บ้านดูลาเปอร์
เรานอนบ้านชาวบ้านโดยการจับกลุ่มแยกชายหญิง กลุ่มละ 3 คน ปราย ได้นอนกับพี่กวาด พี่ปู พี่สาวที่น่ารักของเรา
นี่คือบ้านที่เราได้นอนกันตลอด 3 วัน 2 คืน
ห้องน้ำท่ามกลางธรรมชาติ
ตามขนบธรรมเนียมของที่นี่ผู้หญิงจะทอผ้าอยู่บ้าน ไม่ได้ออกไปไหน
นี่เป็นครั้งแรกที่เคยไปหมู่บ้านกะเหรี่ยง(ปกาเกอะญอ) คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ชาวบ้านใจดีมาก พยายามคุยกับเรา

เราจะเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้าง และยังได้กินข้าวกับชาวบ้านอีกต่างหาก ทำอาหารให้เราทานเต็มหมด รวมถึงเมนูไข่ที่มีความสำคัญกับพวกเขาด้วย Note:ธรรมเนียมที่นี่เจ้าบ้านจะให้แขกกินก่อน และเมนูไข่จะเป็นสิ่งที่สำคัญมากจะกินกันตอนมีงานสำคัญๆ
เจ้าของบ้านดูแลเราดีมากๆ ให้นอนห้องลูกชาย ส่วนลูกชายมานอนหน้าห้อง และยังมาตอกตะปูทำที่แขวนผ้าในห้องนอนและในห้องน้ำอีกด้วย นอกจากนั้นแล้วพอเห็นว่าเราอาบน้ำเสร็จทำธุระเสร็จแล้ว ทุกครั้งชาวบ้านจะมาเปิดน้ำใส่กะละมังให้ ขอบคุณมากๆนะคะที่ดูแลพวกเราดีขนาดนี้ ใส่ใจ คอยมอง เก็บรายละเอียดทุกอย่างเลย
หลังจากนั้นก็มาถึงอาหารเย็นมื้อแรกบนดอยของเรา
ผักต่างๆบนดอย หวานมากๆ สดสุดไปเลย
ข้าวห่อใบตอง
พอกินเสร็จพี่แดงก็พาขึ้นเดินขึ้นเขาไปดูพระอาทิตย์ตกแต่ดูไม่ทัน พี่แดงเลยให้ดูดาวแทน ถ้าใครชอบดูดาวและอยากเห็นทางช้างเผือกขอแนะนำที่นี่เลย เสียดายฝีมือไม่ถึงที่จะถ่ายรูปหมู่มวลดาวและทางช้างเผือก พี่แดงน่าอิจฉามากที่มีท้องฟ้าจำลองส่วนตัวที่สวยขนาดนี้
ภาพระหว่างทาง
หลังจากดูดาวเสร็จแล้วก็ลงมาดริปและคั่วกาแฟกัน ชิมกาแฟของพี่แดง มีหลายตัวแตกต่างกันทางกระบวนการการทำแต่ละตัวล้วนอยู่ในระหว่างการทดลอง มีให้ชิมแต่ไม่มีขายน๊า
การคั่วกาแฟแบบมือ คือจะต้องเขย่าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีกลิ่นเหมือนขนมปังไหม้และมีเสียงแคร๊ก. พอมีเสียงแคร๊ก 2-2.30นาทีก็จะเอาออก
การดริปนั้นมีสองแบบ
1. Drip จะเป็นสไตล์ที่คนญี่ปุ่นนิยมกัน จะค่อยๆ หยด แบบใช้ข้อมือควบคุมน้ำ ดูมีอะไรเวลาทำ ลูกค้าชอบ
2.Free pour ก็ตามชื่อเทน้ำลงไปเลยและรอแป๊ปนึงให้คายแก๊ส ถ้ายังมีฟองอากาศอยู่ให้คน เพราะถ้ายังมีฟองอากาศอยู๋นั่นหมายความว่า กาแฟยังถูกสกัดไม่หมด แล้วเติมน้ำลงไปอีก แล้วคน เทน้ำลงไปอย่าให้กาแฟติดข้างๆ เพราะมันจะสกัดออกมาไม่หมด แล้วคนอีก เติมน้ำจนได้อัตราส่วน
Note: การคนของเราก็เพื่อให้กาแฟทั้งหมดถูกน้ำ
กาแฟ 17 กรัม อัตราส่วน 1:16.5-17 โดยประมาณ เวลาทำประมาณ 2นาที 30 วินาที
คืนที่2 พี่แดงนัด 6:00น.แต่ไก่ที่นี่ขันตั้งแต่ตีสี่ตืนตอนไก่ขันแล้วหลับต่อ ตืนอีกทีเจ็ดโมง อดไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เสียใจ พอตืนก็ทำธุระส่วนตัวต่อจากนั้นก็ไปกินข้าวเช้าและไปไร่กาแฟเพื่อไปเก็บผลเชอรี่กาแฟ
ทางที่เราเดินไปเก็บกาแฟทำให้เรารู้ถึงความยากลำบาก และรู้ว่าทำไมกาแฟหนึ่งแก้วถึงได้มีราคาแพง เดินไม่ดีอาจเปลี่ยนจากเดินเป็นกลิ้ง
เจ้าถิ่น เดินชิวๆ น้องเก่งมาก
ก่อนเริ่มเก็บกาแฟก็มีการอธิบายจาก นุ่น นุ่นรักในกาแฟและศึกษาจนรู้ลึกรู้จริง สีของผลเชอรี่กาแฟแบบไหนที่เราเก็บได้ เพราะสีของกาแฟจะบอกว่ากาแฟสุกรึยัง ถ้ากาแฟสุกพร้อมให้เก็บแล้ว จะเป็นสีมะเหมียว (สีจะออกช้ำเลือดช้ำหนอง)
เครื่องมือในมือนุ่นคือ เครื่องวัดความหวานหรือน้ำตาลในกาแฟนั้นเอง ถ้าค่าน้ำตาลในกาแฟมีมากกว่า 20% จะถือว่าดี
ต้องมองเข้าไปข้างในจะเป็นจอสีฟ้ามีสเกลบอกค่าน้ำตาลในกาแฟ
เมื่ออธิบายเสร็จเรียบร้อยเราก็เริ่มเก็บกาแฟกัน กาแฟของที่นี้จะเป็นพันธุ์คาติมอร์ ติดต้นนานสะสมสารอาหารได้เยอะ

พ่อหลวงแดงแห่งหมู่บ้านดูลาเปอร์
ตะกร้าสำหรับเก็บกาแฟ
เมื่อเก็บกาแฟเสร็จเราก็กลับเข้าหมู่บ้าน มารวมตัวกันเพื่อดูกระบวนการการทำกาแฟขั้นต่อไป

เราจะเอาผลเชอรี่กาแฟไปแช่น้ำ แล้วเราจะเก็บเมล็ดที่จมและทิ้งเมล็ดที่ลอย
ต่อจากนั้นก็เป็นการปอกเปลือก หรือการโม่กาแฟ
· การโม่กาแฟ คือ การเอาผลเชอรี่สุกที่เราเก็บมาได้ใส่เครื่องลอกเปลือกโดย
เครื่องจะลอกเปลือกออกจากเมล็ดกาแฟ โดยใช้น้ำสะอาดเป็นตัวล่อลื่น เหมือนในรูป
แล้วชาวบ้านจะเอาเมล็ดกาแฟมาร่อนในตะกร้าอีกครั้ง เพื่อแยกเปลือกกับเมล็ดกาแฟอีกครั้ง
เราก็จะนำเมล็ดกาแฟที่ได้ไปหมักลงในถัง ถ้าได้ที่แล้วเราจะรู้ได้จากการชิมและดมกลิ่น กลิ่นจะออกมะขามๆหน่อย แต่บางคนก็ชอบกลิ่นแบบหมักๆ ฟองขึ้นบูดๆนิดๆ
กระบวนการการทำกาแฟอาจมีลำดับว่าต้องทำอะไรก่อนอะไรหลังแต่รายละเอียดลึกๆลงไปจะแตกต่างกันก็ได้ เพราะแต่ละพื้นที่ดิน อากาศ สภาพแวดล้อมก็ไม่เหมือนกัน
ขั้นตอนหลังจากนี้จะทำให้เรารู้ว่าเป็นวิธีไหน ถ้านำเม็ดกาแฟไปล้างจนสะอาดหมดจด จะเป็น fully wash process หรือที่เรียกว่าวิธีเปียก แต่ถ้าล้างแค่ครั้งสองครั้งยังติดเมือกกาแฟอยู่จะเป็น Honey process (วีธีแบบกึ่งแห้งกึ่งเปียก)
หลังจากนั้นก็จะเอากาแฟไปตากแดด
พี่แดงทำเป็นสามชั้นแบบนี้เพราะว่ากาแฟแต่ละ
ก็จะต้องการแสงแดดไม่เท่ากันถ้าต่างไว้นานแล้วก็อยู่ชั้นล่าง
เพิ่งตากจะอยู่ชั้นบนและที่ต้องทำหลังคาใสเพราะ
จะได้กั้นน้ำค้างและรับแสงแดด ในปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าแดดแรงไปเมล็ดจะแห้งกระด้าน
รูปนี้เป็นกระบวนการทำกาแฟแบบแห้ง (Dry Process) การทำแบบแห้ง คือ เก็บเชอรี่ แล้วเม็ดที่จม แล้วนำไปตากแดดเลย สีจะออกช้ำเลือดช้ำหนองแบบในรูป ข้อดีของวิธีนี้ คือ ได้รสชาตที่หลากหลาย รสจะออกขนุน กล้วยตาก เชอรี่ เบอรี่ สีแดงๆม่วงๆ ข้อเสีย คือ ควบคุมยากและสกปรก
เครื่องนี้จะเป็นเครื่องวัดค่าความชื้นในกาแฟ ความชื้นของกาแฟควรอยู่ที่ 10-13%

พอกาแฟแห้งและได้ค่าความชื้นที่เราต้องการก็จะนำไปใส่ถุง

เมื่อดูครบทุกกระบวนการก็ใกล้เวลาพระอาทิตย์ตก พี่แดงก็นำพวกเราขึ้นไปดู พี่แดงเป็นคนชอบดูพระอาทิตย์กับดาวมากๆ นี่คือผลพลอยได้ของทริป พระอาทิตย์ตกและดาวที่นี่สวยมากๆ
ALL ABOUT CoFFEE กว่าจะเป็นกาแฟ1แก้ว จากปลายน้ำสู่ต้นน้ำ ณ หมู่บ้านดูลาเปอร์
ทริปนี้เป็นทริปแรกที่ร้าน school coffee café ได้จัดขึ้น มีชื่อทริปเก๋ๆว่า “School bus to the farm Dulapur is calling” เป็นการให้ความรู้เรื่องกาแฟตั้งแต่การปลูกกาแฟ การเก็บกาแฟ กระบวนการทำกาแฟ และการชิมกาแฟ นอกจากนั้นแล้วยังได้สัมผัสวิถีชาวบ้านในสไตล์ปกาเกอะญอและยังได้ดูวิวพระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก และตอนกลางคืนก็เห็นดาวมากมายอย่างกับมีท้องฟ้าจำลองส่วนตัว
โดยส่วนตัวเห็นประกาศรับสมัครจากที่เพื่อนๆแชร์กันมา วันแรกที่ประกาศรับเลย พอเห็นก็รีบส่งข้อความไปในเฟส ขอรายละเอียด และแจ้งโอนเงิน ทริปนี้ถ้าช้านี่อดนะจ๊ะ ฮ๊อตมากๆ ถ้ารถโรงเรียนคันที่ 2 เริ่มออกเมื่อไหร่ ถ้าใครสนใจอย่าได้ลองช้า มีประโยชน์สำหรับคนชอบกาแฟมากๆ เหมือนได้ไปเที่ยว ได้ความรู้ และได้มิตรภาพกลับมาด้วย ติดตามข่าวสารทริปต่อไปได้ที่ www.facebook.com/schoolcoffee และที่ร้านกาแฟ School coffee café
เราไปกัน 3 วัน 2 คืน ตั้งแต่วันที่ 29-31 มกราคม 2559 ก็โดดงานกันไปตามระเบียบด้วยความที่ทำงานวันหยุดไม่เหมือนชาวบ้าน ก็แจ้งลางานล่วงหน้าเกือบเดือนเพื่อไปทัศนศึกษากาแฟโดยเฉพาะ
เวลานัดหมาย 8:30น. ณ ร้าน ณ coffee
CREDIT PICTURE : KIMFERN SIRI
เราเริ่มออกเดินทางกัน 9:30น.ซึ่งช้ากว่าเวลาที่กำหนดไว้เพราะวันเดินทางมีหมอกลงจัดที่สนามบินเชียงใหม่ทำให้คนที่มาไฟล์เช้าดีเลย์กันไปคนละสองสามชั่วโมงเพราะต้องวนไปเติมน้ำมันที่เชียงรายแล้วกลับมาเชียงใหม่ ทำให้คนที่เหลือต้องออกเดินทางกันไปก่อนเพราะกลัวถึงบนดอยแล้วจะมืด เมื่อขึ้นรถก็ต่างเม้ามอยกันพอหอมปากหอมคอ ผ่านไปหนึ่งชม.หลับกันทั้งรถ คงรู้กันอยู่แล้วว่าทางไปแม่ฮ่องสอนปราบเซียนขนาดไหน โค้งชวนวิงเวียน ถ้าเผลอตื่นขึ้นมาต้องรีบหลับต่อ ไม่งั้นอาจเมารถได้
12:00น.ถึงสถานที่แวะพักกินข้าว ข้าวมีสามอย่างให้เลือก มีสลัดข้าวเบอรี่ ข้าวกระเพราะหมู และข้าวผัด อร่อยทุกอย่างเลย ผักสดมากๆ เสียดายลืมถ่ายรูปมา
หลักจากกินข้าวเสร็จก็ขึ้นไปจุดชมวิวข้างๆกับร้านที่แวะพักกินข้าว
หลังจากนั้น 2 -3 ชั่วโมงเราก็มาถึงหมู่บ้านดูลาเปอร์
เรานอนบ้านชาวบ้านโดยการจับกลุ่มแยกชายหญิง กลุ่มละ 3 คน ปราย ได้นอนกับพี่กวาด พี่ปู พี่สาวที่น่ารักของเรา
นี่คือบ้านที่เราได้นอนกันตลอด 3 วัน 2 คืน
ห้องน้ำท่ามกลางธรรมชาติ
ตามขนบธรรมเนียมของที่นี่ผู้หญิงจะทอผ้าอยู่บ้าน ไม่ได้ออกไปไหน
นี่เป็นครั้งแรกที่เคยไปหมู่บ้านกะเหรี่ยง(ปกาเกอะญอ) คุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ชาวบ้านใจดีมาก พยายามคุยกับเรา
เจ้าของบ้านดูแลเราดีมากๆ ให้นอนห้องลูกชาย ส่วนลูกชายมานอนหน้าห้อง และยังมาตอกตะปูทำที่แขวนผ้าในห้องนอนและในห้องน้ำอีกด้วย นอกจากนั้นแล้วพอเห็นว่าเราอาบน้ำเสร็จทำธุระเสร็จแล้ว ทุกครั้งชาวบ้านจะมาเปิดน้ำใส่กะละมังให้ ขอบคุณมากๆนะคะที่ดูแลพวกเราดีขนาดนี้ ใส่ใจ คอยมอง เก็บรายละเอียดทุกอย่างเลย
หลังจากนั้นก็มาถึงอาหารเย็นมื้อแรกบนดอยของเรา
ผักต่างๆบนดอย หวานมากๆ สดสุดไปเลย
ข้าวห่อใบตอง
พอกินเสร็จพี่แดงก็พาขึ้นเดินขึ้นเขาไปดูพระอาทิตย์ตกแต่ดูไม่ทัน พี่แดงเลยให้ดูดาวแทน ถ้าใครชอบดูดาวและอยากเห็นทางช้างเผือกขอแนะนำที่นี่เลย เสียดายฝีมือไม่ถึงที่จะถ่ายรูปหมู่มวลดาวและทางช้างเผือก พี่แดงน่าอิจฉามากที่มีท้องฟ้าจำลองส่วนตัวที่สวยขนาดนี้
ภาพระหว่างทาง
หลังจากดูดาวเสร็จแล้วก็ลงมาดริปและคั่วกาแฟกัน ชิมกาแฟของพี่แดง มีหลายตัวแตกต่างกันทางกระบวนการการทำแต่ละตัวล้วนอยู่ในระหว่างการทดลอง มีให้ชิมแต่ไม่มีขายน๊า
การคั่วกาแฟแบบมือ คือจะต้องเขย่าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมีกลิ่นเหมือนขนมปังไหม้และมีเสียงแคร๊ก. พอมีเสียงแคร๊ก 2-2.30นาทีก็จะเอาออก
การดริปนั้นมีสองแบบ
1. Drip จะเป็นสไตล์ที่คนญี่ปุ่นนิยมกัน จะค่อยๆ หยด แบบใช้ข้อมือควบคุมน้ำ ดูมีอะไรเวลาทำ ลูกค้าชอบ
2.Free pour ก็ตามชื่อเทน้ำลงไปเลยและรอแป๊ปนึงให้คายแก๊ส ถ้ายังมีฟองอากาศอยู่ให้คน เพราะถ้ายังมีฟองอากาศอยู๋นั่นหมายความว่า กาแฟยังถูกสกัดไม่หมด แล้วเติมน้ำลงไปอีก แล้วคน เทน้ำลงไปอย่าให้กาแฟติดข้างๆ เพราะมันจะสกัดออกมาไม่หมด แล้วคนอีก เติมน้ำจนได้อัตราส่วน
Note: การคนของเราก็เพื่อให้กาแฟทั้งหมดถูกน้ำ
กาแฟ 17 กรัม อัตราส่วน 1:16.5-17 โดยประมาณ เวลาทำประมาณ 2นาที 30 วินาที
คืนที่2 พี่แดงนัด 6:00น.แต่ไก่ที่นี่ขันตั้งแต่ตีสี่ตืนตอนไก่ขันแล้วหลับต่อ ตืนอีกทีเจ็ดโมง อดไปดูพระอาทิตย์ขึ้น เสียใจ พอตืนก็ทำธุระส่วนตัวต่อจากนั้นก็ไปกินข้าวเช้าและไปไร่กาแฟเพื่อไปเก็บผลเชอรี่กาแฟ
ทางที่เราเดินไปเก็บกาแฟทำให้เรารู้ถึงความยากลำบาก และรู้ว่าทำไมกาแฟหนึ่งแก้วถึงได้มีราคาแพง เดินไม่ดีอาจเปลี่ยนจากเดินเป็นกลิ้ง
เจ้าถิ่น เดินชิวๆ น้องเก่งมาก
ก่อนเริ่มเก็บกาแฟก็มีการอธิบายจาก นุ่น นุ่นรักในกาแฟและศึกษาจนรู้ลึกรู้จริง สีของผลเชอรี่กาแฟแบบไหนที่เราเก็บได้ เพราะสีของกาแฟจะบอกว่ากาแฟสุกรึยัง ถ้ากาแฟสุกพร้อมให้เก็บแล้ว จะเป็นสีมะเหมียว (สีจะออกช้ำเลือดช้ำหนอง)
เครื่องมือในมือนุ่นคือ เครื่องวัดความหวานหรือน้ำตาลในกาแฟนั้นเอง ถ้าค่าน้ำตาลในกาแฟมีมากกว่า 20% จะถือว่าดี
ต้องมองเข้าไปข้างในจะเป็นจอสีฟ้ามีสเกลบอกค่าน้ำตาลในกาแฟ
เมื่ออธิบายเสร็จเรียบร้อยเราก็เริ่มเก็บกาแฟกัน กาแฟของที่นี้จะเป็นพันธุ์คาติมอร์ ติดต้นนานสะสมสารอาหารได้เยอะ
พ่อหลวงแดงแห่งหมู่บ้านดูลาเปอร์
ตะกร้าสำหรับเก็บกาแฟ
เมื่อเก็บกาแฟเสร็จเราก็กลับเข้าหมู่บ้าน มารวมตัวกันเพื่อดูกระบวนการการทำกาแฟขั้นต่อไป
เราจะเอาผลเชอรี่กาแฟไปแช่น้ำ แล้วเราจะเก็บเมล็ดที่จมและทิ้งเมล็ดที่ลอย
ต่อจากนั้นก็เป็นการปอกเปลือก หรือการโม่กาแฟ
· การโม่กาแฟ คือ การเอาผลเชอรี่สุกที่เราเก็บมาได้ใส่เครื่องลอกเปลือกโดย
เครื่องจะลอกเปลือกออกจากเมล็ดกาแฟ โดยใช้น้ำสะอาดเป็นตัวล่อลื่น เหมือนในรูป
แล้วชาวบ้านจะเอาเมล็ดกาแฟมาร่อนในตะกร้าอีกครั้ง เพื่อแยกเปลือกกับเมล็ดกาแฟอีกครั้ง
เราก็จะนำเมล็ดกาแฟที่ได้ไปหมักลงในถัง ถ้าได้ที่แล้วเราจะรู้ได้จากการชิมและดมกลิ่น กลิ่นจะออกมะขามๆหน่อย แต่บางคนก็ชอบกลิ่นแบบหมักๆ ฟองขึ้นบูดๆนิดๆ
กระบวนการการทำกาแฟอาจมีลำดับว่าต้องทำอะไรก่อนอะไรหลังแต่รายละเอียดลึกๆลงไปจะแตกต่างกันก็ได้ เพราะแต่ละพื้นที่ดิน อากาศ สภาพแวดล้อมก็ไม่เหมือนกัน
ขั้นตอนหลังจากนี้จะทำให้เรารู้ว่าเป็นวิธีไหน ถ้านำเม็ดกาแฟไปล้างจนสะอาดหมดจด จะเป็น fully wash process หรือที่เรียกว่าวิธีเปียก แต่ถ้าล้างแค่ครั้งสองครั้งยังติดเมือกกาแฟอยู่จะเป็น Honey process (วีธีแบบกึ่งแห้งกึ่งเปียก)
หลังจากนั้นก็จะเอากาแฟไปตากแดด
พี่แดงทำเป็นสามชั้นแบบนี้เพราะว่ากาแฟแต่ละ
ก็จะต้องการแสงแดดไม่เท่ากันถ้าต่างไว้นานแล้วก็อยู่ชั้นล่าง
เพิ่งตากจะอยู่ชั้นบนและที่ต้องทำหลังคาใสเพราะ
จะได้กั้นน้ำค้างและรับแสงแดด ในปริมาณที่พอเหมาะ ถ้าแดดแรงไปเมล็ดจะแห้งกระด้าน
รูปนี้เป็นกระบวนการทำกาแฟแบบแห้ง (Dry Process) การทำแบบแห้ง คือ เก็บเชอรี่ แล้วเม็ดที่จม แล้วนำไปตากแดดเลย สีจะออกช้ำเลือดช้ำหนองแบบในรูป ข้อดีของวิธีนี้ คือ ได้รสชาตที่หลากหลาย รสจะออกขนุน กล้วยตาก เชอรี่ เบอรี่ สีแดงๆม่วงๆ ข้อเสีย คือ ควบคุมยากและสกปรก
เครื่องนี้จะเป็นเครื่องวัดค่าความชื้นในกาแฟ ความชื้นของกาแฟควรอยู่ที่ 10-13%
พอกาแฟแห้งและได้ค่าความชื้นที่เราต้องการก็จะนำไปใส่ถุง
เมื่อดูครบทุกกระบวนการก็ใกล้เวลาพระอาทิตย์ตก พี่แดงก็นำพวกเราขึ้นไปดู พี่แดงเป็นคนชอบดูพระอาทิตย์กับดาวมากๆ นี่คือผลพลอยได้ของทริป พระอาทิตย์ตกและดาวที่นี่สวยมากๆ