ความเดิม
http://pantip.com/topic/34667678
================
โรค....ล้างโลก
บทที่ 3
================
Psycho G.
โอ๊ย..!!
เหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับแนวหลังของกองทัพหล่อที่พากันแผดร้องอย่างตื่นตกใจเพราะพวกกองทัพหล่อพบว่า กะเทยที่วิ่งออกไปแนวหน้าออกลีลายั่วยวนกำลังเปล่งศักยภาพออร่าแห่งความสวยออกมาจนถึงระดับสูงสุด บางคนสวยกว่าผู้หญิงจริงๆ เสียอีก ทำให้กระแสสวยพลิกกลับเข้าหากองทัพหล่อแบบไม่มีใครคาดคิดมนุษย์หล่อพากันล้มคว่ำลงเป็นทิวแถว บางคนไหวตัวทันหันหลังกลับวิ่งหนีออกจากสมรภูมิสุดชีวิต
บรรดากองทัพสาวสวยพากันส่งเสียงร้องอย่างยินดี เพราะกะเทยแปรพักตร์เข้ามาเป็นพวกโดยไม่ตั้งใจ พวกเธอโผล่เรือนร่างนุ่งน้อยห่มนิดขึ้นมาจากบังเกอร์โปรยยิ้มโบกมือไปมาแสดงถึงชัยชนะ ทำให้ผมผู้สังเกตการรบอยู่แนวหลังเห็นภาพสวยงามเต็มตา
ทหารหล่อคนหนึ่งวิ่งซมซานออกจากสมรภูมิ มีสาวสวยเพศที่สองวิ่งตามประกบติด เป็นภาพที่สุดแสนน่ากลัวกับภาพหนุ่มหล่อผู้หนีตาย
“อย่าทำผมเลยครับ”
เขาโบกไม้โบกมืออย่างสิ้นหวังใบหน้าขาวซีดอย่างไม่น่าเชื่อ ขณะที่สาวสวยเพศที่สองเยื้องกายเข้าไปหา
สายลมโชย ผีเสื้อโบยบินกระพือปีกบอบบางใสสวย หมู่เมฆเคลื่อนคล้อย ทิวไม้สายธารกระซิบข้างหัวใจ
"โอย"
ผมร้องสุดเสียง ผวาตื่นเหงื่อแตกพลั่ก ใจสั่นหวั่นระริกไหว ใบหน้าหวานสวยหุ้นโค้งเว้าของกองทัพสาวสวยยังลอยเด่นเป็นสง่าในความคิดอย่างน่าประหวั่นพรั่นพรึง
โอย...ท่าจะบ้า
ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ความฝันธรรมดา มันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นในแนวรบ แต่ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องราวพวกนั้นเพราะเหตุการณ์เฉพาะหน้ามีความสำคัญมากกว่า จากการมองสำรวจรอบด้านก็พบว่าตัวเองถูกมัดติดกับเก้าอี้ตัวหนึ่งอยู่ในห้องเล็กๆ คงเป็นห้องพักชั่วคราว สาวนักล่ามนุษย์หล่อผู้ลึกลับพาผมหลบมาพักอยู่ที่นี่ด้วยจุดประสงค์บางอย่าง พวกเราหลบหลีกคนหล่อสาวสวยออกมาจากเมืองได้อย่างหวุดหวิด และถ้าไม่มีวัคซีนป้องกันความสวยผมเองคงขาดใจตายไปนานแล้ว
สาวนักล่าตัวปัญหานั่งนิ่งอยู่เก้าอี้มุมห้อง สายตาจ้องมองมาอย่างเย็นชาเหมือนรอให้ผมได้สติ ขอบคุณกับการเกิดมาใบหน้าผมไม่ได้หล่อเหลือร้าย ไม่ว่าเด็ก ผู้หญิง ใครก็สามารถมองได้เต็มตาไม่เป็นพิษเป็นภัย เมื่อเห็นว่าผมเริ่มฟื้นคืนสภาพเธอจึงเริ่มต้นพูดขึ้นอย่างช้าๆว่า
“ฟื้นแล้วเหรอ เจ้ามนุษย์ไม่หล่อ”
เธอยักคิ้วถามอย่างกวนอารมณ์นั่งไขว้ห้างอย่างสบายใจ มือขวาถือมีดปอกผลไม้เล่มยาวทำท่าแต่งเล็บตัวเองไปมา
“ดูไม่ออกก็โง่ สวย บ้า แล้ว” ผมสวนคำพูดแรงๆไปบ้างแต่เธอยังยิ้มอย่างไม่ถือสาหาความ มองหน้าผมครู่หนึ่งแล้วพูดเข้าหาประเด็นสำคัญทันทีเหมือนไม่อยากเสียเวลากับการคุยกับคนไม่หล่อ
“ฉันรู้แล้วล่ะว่าปัญหาเรื่องนี้มันเริ่มจากอะไร การระบาดของโรคแพ้ความหล่อ และแพ้ความสวย”
ผมนั่งฟังอย่างเงียบๆ เพราะรู้ว่าเวลานี้วางตัวเป็นผู้ฟังดีที่สุด หญิงสาวนักล่าเห็นผมตั้งใจฟังจึงอธิบายต่อไปว่า
“โรคพวกนี้ไม่ได้เกิดจากไวรัส อะมีบา เชื้อรา แบคทีเรีย เอเลี่ยน ตนอิจฉาความหล่อ หรือสิ่งมีชีวิตใดๆทั้งนั้น นักวิทยาศาสตร์ขององค์การเราคาดว่ามันจะต้องมาจากสิ่งอื่น สิ่งนั้นจะต้องสามารถเดินทางด้วยความเร็วเท่าแสงหรือเกือบเท่าแสง และจะต้องมีผลกับความรู้สึกนึกคิดของพวกมนุษย์เท่านั้น เพราะเราสังเกตว่าสัตว์ชนิดอื่น ไม่ได้รับผลกระทบตัวอย่างเช่น หมาแมว แม้แต่ควาย เห็นคนหล่อคนสวย มันก็ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาให้เห็น ต่างจากคนธรรมดา พวกมันให้สิทธิเสมอภาคเรื่องความหล่อความสวยของมนุษย์โดยเท่าเทียมกัน คนขี้เหร่แทบตายใครเห็นก็เมิน แต่กลับบ้านหมาที่บ้านมองชื่นชมวิ่งมาหาอย่างจงรักภักดี แสดงว่าผลของโรคร้ายว่ามีผลต่อมนุษย์เท่านั้น”
หล่อนว่าเป็นฉากๆอย่างกับอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิบรรยายต่อหน้านิสิตนักศึกษา
“แล้วมีทางแก้ไขไหมครับ”
ผมถามด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล เมื่อนึกถึงภาพตามถนนมีคนหล่อ คนสวย อาละวาดเดินเพ่นพ่าน ยิ้มหวาน ยิ้มมีเสน่ห์ ยิ้มเก๋เท่กราดไปทั่ว แค่นึกก็ขนลุก หรือจะเป็นจุดจบของมนุษยชาติจริงๆ
“พวกเรายังตอบไม่ได้ เพราะยังหาต้นเหตุไม่เจอเลย ว่าทำไมถึงเกิดโรคระบาดแพ้ความหล่อความสวยกันเร็วขนาดนี้”
“แล้วคุณคิดจะทำจะทำอะไรต่อไปล่ะครับ”
“องค์กรของเรากำลังวิจัยเกี่ยวกับวัคซีนป้องการโรคแพ้ความหล่อและโรคแพ้ความสวย” หล่อนว่าต่อไปขณะนั่งโยกเก้าอี้ไปมาอย่างปราศจากความหมาย
“ฉันก็เป็นคนของหน่วยงานลับนั้น เราต้องการตัวอย่างเลือดมากมายมาผลิตวัคซีนและเซรุ่มป้องกันโรคแต่ส่วนมากคนขององค์การเป็นพวกวิจัยทำงานในห้องทดลอง คุณเป็นนักล่า ฉันเป็นนักล่า เรามาช่วยกันล่าคนสวยคนหล่อ ในขณะเดียวกันเราก็สืบหาต้นตอของเรื่องนี้ เมื่องานเสร็จ เงินรางวัลผันผลที่ได้แบ่งกัน คุณไม่หล่อ การทำงานจะง่ายขึ้น”
“น่ากลัวจริงๆ ...”
ผมครางอย่างสยดสยองกับความไม่หล่อของตัวเอง แต่ก็เบาใจว่าเจ้าหล่อนไม่ได้มีเจตนาร้ายกับผมถึงขั้นลงมือฆ่าแกงกันอย่างแน่นอน
“ถ้าเราหาต้นตอไม่ได้ล่ะ” ผมถามอีก
“ไม่เห็นจะยาก เราก็พัฒนา หาทางขายวัคซีนและเซรุ่มของเราก็ได้ และพัฒนาไปสู่การผลิตยาลดความหล่อความสวย…ในขณะเดียวกัน ก็ผลิตวัคซีนต่อต้านโรคแพ้ความหล่อไปด้วย ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง”
ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย หญิงสาวคนนี้ทั้งสวยทั้งฉลาด เก่งอีกต่างหาก ดีว่าผมได้รับยาต่อต้านโรคแพ้ความสวยไปแล้ว จึงพอจะสามารถมองหน้าสวยนั่นได้ แม้จะไม่เต็มตานัก เกรงว่ายาจะหมดฤทธิ์กะทันหัน เพราะยาที่ว่าก็อยู่ในช่วงทดลองเท่านั้น
ความสวยอันตรายจริงๆ ขนาดมีภูมิคุ้มกันความสวยแล้ว ใจคอยังวูบวาบหวั่นไหว
“คุณตกลงทำงานร่วมมือกับพวกเราไหม เงินเยอะกว่าที่คุณคิดเสียอีก” เธอเลิกคิ้วมองหน้าถาม มือขวาขยับมีดไปมา
“ถ้าผมไม่ตกลงล่ะ”
“คุณตายอยู่ในห้องนี้ ตายแบบไม่หล่ออย่างไม่มีใครรู้”
ดูเหมือนว่าผมไม่มีทางเลือกนอกจากการยอมร่วมมือกับเธอเท่านั้น อย่างน้อยการได้ร่วมงานกับคนหน้าตาดีก็เป็นเรื่องไม่น่าเกลียดน่าชัง และสำคัญคือเธอมีวัคซีนยาป้องการโรคร้าย ถึงจะมีผลชั่วคราวก็ตาม แต่ในอนาคตตัวยาที่รักษาป้องการระยะยาวอาจเป็นจริง
“ตกลง ผมร่วมมือกับพวกคุณ” ผมพยักหน้ายอมจำนนพลางขยับตัวเป็นการบอกให้ปล่อยผมออกไปโดยเร็ว
“เอาล่ะ ...คุณไปทำงานได้แล้ว” เธอลุกขึ้นใช้มีดตัดเชือกออกจากการพันธนาการ ฉุดแขนผมให้ลุกตามไปด้วย
“คุณต้องออกไปหาเลือดคนสวยๆ และคนหล่อๆ มาให้ฉัน”
“อ้าว แล้วคุณล่ะ...”
“คุณลืมไปแล้วหรือ....ตอนนี้อยู่ในช่วงประกาศกฎอัยการศึกห้ามคนหล่อคนสวยออกจากเคหะสถาน คุณไม่ถึงกับหล่อ ออกไปเดินตามถนนได้ แต่ฉันสวย.......”
เธอว่าหน้าตาเฉย
“หึหึ...ก็เลยออกไปไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องเป็นผมลงมือเอง”
“ถูกต้องที่สุด”
ว่าแล้ว.... งานนี้มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่เพื่อคนสวยๆ ผมเต็มใจยอมอย่างไม่มีเหตุผล เป็นเป็นสันดานอย่างหนึ่งของมนุษย์เพศชายส่วนใหญ่ ถ้าเป็นคนไม่สวยมาชวนทำงาน เงินดีอย่างไรผมก็ไม่สนใจ เป็นเสียแบบนั้นนะคนเรา นึกแล้วอยากกระโดดเตะตัวเองเหลือเกินกับ “โรคใจง่าย” ของตัวเอง
หลังจากพูดคุยตกลงกันเรื่องรายละเอียดของงานและเงิน จนพอใจทั้งสองฝ่าย ผมกลับเข้าไปในตัวเมืองอีกครั้ง โดยทิ้งจักรยานยนต์ไว้นอกเมืองเพราะไม่อยากเป็นที่สังเกตของผู้คน แล้วเดินทอดน่องไปตามถนนอย่างไม่รีบร้อน
ถนนสายต่างๆมีผู้คนค่อนข้างน้อย อาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่ปิดประตูหน้าต่างเงียบเชียบ เนื่องจากมีการประกาศกฎอัยการศึก มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารรักษาการณ์อยู่ทุกมุมถนนอย่างเข้มงวด แน่นอนว่าไม่มีใครหล่อเลยสักคน ไม่หัวล้านก็พุงพลุ้ย หรือผอมแห้งแรงน้อยแบบหุ่นขี้ยา ดูแล้วสบายใจสบายตาเป็นยิ่งนัก เพราะไม่มีใครหน้าตาดีมากไปกว่าเรา
ขณะเลี้ยวมุมตึกจะออกถนนใหญ่ของตัวเมือง ตำรวจสองนายก็เดินกร่างเข้ามาขวางหน้า คนหนึ่งอ้วนเตี้ยผิวดำผมหยิก อีกคนผอมเหมือนแย้เสพยาบ้า
“ไม่หล่อไปคนละแบบ” ผมมองแล้วประเมินในใจ
“ว่าไงน้องชาย จะไปไหน...”
ตำรวจรูปร่างสมบูรณ์พูนสุขทักขึ้นก่อน นัยน์ตาฉายแววเจ้าเล่ห์ ในมือข้างหนึ่งถือวัตถุบางอย่างคล้ายกับมัลติมิเตอร์
“เดินเล่นครับ....” ผมตอบส่งๆ
“รู้ไหมว่านี่อยู่ในช่วงกฎอัยการศึกของ ค.ม.ช. คณะรักษาความไม่หล่อไม่สวยแห่งชาติ”
“รู้ครับ แต่ผมไม่หล่อนี่นา ผมมีสิทธิเดินไปไหนก็ได้”
“มันไม่แน่...” นายอ้วนหัวเราะหึหึอย่างมีเลศนัย
“นายอาจหล่อเกินพิกัดก็เป็นได้ ยังไงเราต้องขอตรวจวัดระดับความหล่อในเลือดก่อน ถ้านายหล่อเกินระดับที่ทางการกำหนดล่ะก้อ มีเรื่องแน่ๆ”
ว่าแล้วก็หันไปพยักหน้ากับตำรวจผอมอย่างรู้เชิงกัน
“ฉันจะวัดความหล่อของหมอนี่ ท่าทางมันมีพิรุธ ถ้ามันตุกติก หรือหล่อขึ้นมากะทันหัน จัดการยิงมันทิ้งได้เลย ดูสิว่ามันเก็บความหล่อไว้ที่ไหน”
นี่มันอะไรกัน...คนหล่อคนสวยสามารถถูกปลิดปลิวได้ง่ายๆ ยิ่งกว่าการวิสามัญฆาตกรรมอาชญากรเสียอีก
เครื่องมือที่ตอนแรกคิดว่าเป็นมัลติมิเตอร์ ความจริงเป็นเครื่องมือวัดระดับความหล่อนั่นเอง นายตำรวจอ้วนยกเครื่องมือวัดปริมาณความหล่อขึ้นทำท่าเหมือนจะถ่ายรูป ผมยืนมองเฉยๆ ไม่วิตกกังวลอะไร เพราะอย่างบอกแต่แรกล่ะครับ ว่าไม่ใช่คนหล่อลากดินมากมายก่ายกอง อยู่ไหนก็สบายกายสบายใจ
“ว่าไงคุณตำรวจ หวังว่าคงไม่หล่อเกินระดับมาตรฐานนะครับ” ผมยิ้มพลางถามอย่างไม่กังวล
นายตำรวจอ้วนมองเครื่องมือและขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจ เขย่าไปมาสองสามทีแล้วบอกเสียงห้วนๆว่า
“นายโชคดีไปก็แล้วกัน เข็มเครื่องวัดเกือบจะตีเข้าไปอยู่ในช่วงหล่อแล้ว...ไม่งั้นนายเสร็จแน่ แต่เอ๊ะ......”
สายตาตำรวจอ้วนพูดยังไม่ทันจบประโยคก็ทำท่าชะงัก ฉายแววเจ้าเล่ห์ขึ้นมากะทันหันเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เขาหันมาบอกวา
“เอาใหม่ ตรวจใหม่ นายต้องยิ้มด้วยเข้าใจไหม การวัดระดับความหล่อในกระแสเลือดต้องยิ้มให้เต็มหน้าจึงจะวัดได้ผลใกล้เคียง”
ไอ้บ้า...ผมนึกในใจ ทำไมมันวุ่นวายอย่างนี้ แต่ปากกลับแกล้งส่งเสียงประท้วงว่า
“อะไรกันครับ อยู่ดีๆ จะให้ผมยิ้มแบบไม่มีสาเหตุผมก็บ้าสิครับ”
“ไม่ต้องมาเถียง “ นายตำรวจอ้วนร้องเสียงเข้มอย่างเอาเรื่องขณะนายตำรวจผอมยืนคุมเชิงอย่างระมัดระวังอยู่ด้านข้าง
“บางทีนายอาจจะซ่อนความหล่อไว้ในรอยยิ้มก็ได้ ใครจะไปรู้ “
................
โรคล้างโลก..........บทที่ 3
http://pantip.com/topic/34667678
================
โรค....ล้างโลก
บทที่ 3
================
Psycho G.
โอ๊ย..!!
เหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นกับแนวหลังของกองทัพหล่อที่พากันแผดร้องอย่างตื่นตกใจเพราะพวกกองทัพหล่อพบว่า กะเทยที่วิ่งออกไปแนวหน้าออกลีลายั่วยวนกำลังเปล่งศักยภาพออร่าแห่งความสวยออกมาจนถึงระดับสูงสุด บางคนสวยกว่าผู้หญิงจริงๆ เสียอีก ทำให้กระแสสวยพลิกกลับเข้าหากองทัพหล่อแบบไม่มีใครคาดคิดมนุษย์หล่อพากันล้มคว่ำลงเป็นทิวแถว บางคนไหวตัวทันหันหลังกลับวิ่งหนีออกจากสมรภูมิสุดชีวิต
บรรดากองทัพสาวสวยพากันส่งเสียงร้องอย่างยินดี เพราะกะเทยแปรพักตร์เข้ามาเป็นพวกโดยไม่ตั้งใจ พวกเธอโผล่เรือนร่างนุ่งน้อยห่มนิดขึ้นมาจากบังเกอร์โปรยยิ้มโบกมือไปมาแสดงถึงชัยชนะ ทำให้ผมผู้สังเกตการรบอยู่แนวหลังเห็นภาพสวยงามเต็มตา
ทหารหล่อคนหนึ่งวิ่งซมซานออกจากสมรภูมิ มีสาวสวยเพศที่สองวิ่งตามประกบติด เป็นภาพที่สุดแสนน่ากลัวกับภาพหนุ่มหล่อผู้หนีตาย
“อย่าทำผมเลยครับ”
เขาโบกไม้โบกมืออย่างสิ้นหวังใบหน้าขาวซีดอย่างไม่น่าเชื่อ ขณะที่สาวสวยเพศที่สองเยื้องกายเข้าไปหา
สายลมโชย ผีเสื้อโบยบินกระพือปีกบอบบางใสสวย หมู่เมฆเคลื่อนคล้อย ทิวไม้สายธารกระซิบข้างหัวใจ
"โอย"
ผมร้องสุดเสียง ผวาตื่นเหงื่อแตกพลั่ก ใจสั่นหวั่นระริกไหว ใบหน้าหวานสวยหุ้นโค้งเว้าของกองทัพสาวสวยยังลอยเด่นเป็นสง่าในความคิดอย่างน่าประหวั่นพรั่นพรึง
โอย...ท่าจะบ้า
ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ความฝันธรรมดา มันเป็นความจริงที่เกิดขึ้นในแนวรบ แต่ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องราวพวกนั้นเพราะเหตุการณ์เฉพาะหน้ามีความสำคัญมากกว่า จากการมองสำรวจรอบด้านก็พบว่าตัวเองถูกมัดติดกับเก้าอี้ตัวหนึ่งอยู่ในห้องเล็กๆ คงเป็นห้องพักชั่วคราว สาวนักล่ามนุษย์หล่อผู้ลึกลับพาผมหลบมาพักอยู่ที่นี่ด้วยจุดประสงค์บางอย่าง พวกเราหลบหลีกคนหล่อสาวสวยออกมาจากเมืองได้อย่างหวุดหวิด และถ้าไม่มีวัคซีนป้องกันความสวยผมเองคงขาดใจตายไปนานแล้ว
สาวนักล่าตัวปัญหานั่งนิ่งอยู่เก้าอี้มุมห้อง สายตาจ้องมองมาอย่างเย็นชาเหมือนรอให้ผมได้สติ ขอบคุณกับการเกิดมาใบหน้าผมไม่ได้หล่อเหลือร้าย ไม่ว่าเด็ก ผู้หญิง ใครก็สามารถมองได้เต็มตาไม่เป็นพิษเป็นภัย เมื่อเห็นว่าผมเริ่มฟื้นคืนสภาพเธอจึงเริ่มต้นพูดขึ้นอย่างช้าๆว่า
“ฟื้นแล้วเหรอ เจ้ามนุษย์ไม่หล่อ”
เธอยักคิ้วถามอย่างกวนอารมณ์นั่งไขว้ห้างอย่างสบายใจ มือขวาถือมีดปอกผลไม้เล่มยาวทำท่าแต่งเล็บตัวเองไปมา
“ดูไม่ออกก็โง่ สวย บ้า แล้ว” ผมสวนคำพูดแรงๆไปบ้างแต่เธอยังยิ้มอย่างไม่ถือสาหาความ มองหน้าผมครู่หนึ่งแล้วพูดเข้าหาประเด็นสำคัญทันทีเหมือนไม่อยากเสียเวลากับการคุยกับคนไม่หล่อ
“ฉันรู้แล้วล่ะว่าปัญหาเรื่องนี้มันเริ่มจากอะไร การระบาดของโรคแพ้ความหล่อ และแพ้ความสวย”
ผมนั่งฟังอย่างเงียบๆ เพราะรู้ว่าเวลานี้วางตัวเป็นผู้ฟังดีที่สุด หญิงสาวนักล่าเห็นผมตั้งใจฟังจึงอธิบายต่อไปว่า
“โรคพวกนี้ไม่ได้เกิดจากไวรัส อะมีบา เชื้อรา แบคทีเรีย เอเลี่ยน ตนอิจฉาความหล่อ หรือสิ่งมีชีวิตใดๆทั้งนั้น นักวิทยาศาสตร์ขององค์การเราคาดว่ามันจะต้องมาจากสิ่งอื่น สิ่งนั้นจะต้องสามารถเดินทางด้วยความเร็วเท่าแสงหรือเกือบเท่าแสง และจะต้องมีผลกับความรู้สึกนึกคิดของพวกมนุษย์เท่านั้น เพราะเราสังเกตว่าสัตว์ชนิดอื่น ไม่ได้รับผลกระทบตัวอย่างเช่น หมาแมว แม้แต่ควาย เห็นคนหล่อคนสวย มันก็ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาให้เห็น ต่างจากคนธรรมดา พวกมันให้สิทธิเสมอภาคเรื่องความหล่อความสวยของมนุษย์โดยเท่าเทียมกัน คนขี้เหร่แทบตายใครเห็นก็เมิน แต่กลับบ้านหมาที่บ้านมองชื่นชมวิ่งมาหาอย่างจงรักภักดี แสดงว่าผลของโรคร้ายว่ามีผลต่อมนุษย์เท่านั้น”
หล่อนว่าเป็นฉากๆอย่างกับอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิบรรยายต่อหน้านิสิตนักศึกษา
“แล้วมีทางแก้ไขไหมครับ”
ผมถามด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล เมื่อนึกถึงภาพตามถนนมีคนหล่อ คนสวย อาละวาดเดินเพ่นพ่าน ยิ้มหวาน ยิ้มมีเสน่ห์ ยิ้มเก๋เท่กราดไปทั่ว แค่นึกก็ขนลุก หรือจะเป็นจุดจบของมนุษยชาติจริงๆ
“พวกเรายังตอบไม่ได้ เพราะยังหาต้นเหตุไม่เจอเลย ว่าทำไมถึงเกิดโรคระบาดแพ้ความหล่อความสวยกันเร็วขนาดนี้”
“แล้วคุณคิดจะทำจะทำอะไรต่อไปล่ะครับ”
“องค์กรของเรากำลังวิจัยเกี่ยวกับวัคซีนป้องการโรคแพ้ความหล่อและโรคแพ้ความสวย” หล่อนว่าต่อไปขณะนั่งโยกเก้าอี้ไปมาอย่างปราศจากความหมาย
“ฉันก็เป็นคนของหน่วยงานลับนั้น เราต้องการตัวอย่างเลือดมากมายมาผลิตวัคซีนและเซรุ่มป้องกันโรคแต่ส่วนมากคนขององค์การเป็นพวกวิจัยทำงานในห้องทดลอง คุณเป็นนักล่า ฉันเป็นนักล่า เรามาช่วยกันล่าคนสวยคนหล่อ ในขณะเดียวกันเราก็สืบหาต้นตอของเรื่องนี้ เมื่องานเสร็จ เงินรางวัลผันผลที่ได้แบ่งกัน คุณไม่หล่อ การทำงานจะง่ายขึ้น”
“น่ากลัวจริงๆ ...”
ผมครางอย่างสยดสยองกับความไม่หล่อของตัวเอง แต่ก็เบาใจว่าเจ้าหล่อนไม่ได้มีเจตนาร้ายกับผมถึงขั้นลงมือฆ่าแกงกันอย่างแน่นอน
“ถ้าเราหาต้นตอไม่ได้ล่ะ” ผมถามอีก
“ไม่เห็นจะยาก เราก็พัฒนา หาทางขายวัคซีนและเซรุ่มของเราก็ได้ และพัฒนาไปสู่การผลิตยาลดความหล่อความสวย…ในขณะเดียวกัน ก็ผลิตวัคซีนต่อต้านโรคแพ้ความหล่อไปด้วย ได้ทั้งขึ้นทั้งล่อง”
ผมพยักหน้าอย่างเห็นด้วย หญิงสาวคนนี้ทั้งสวยทั้งฉลาด เก่งอีกต่างหาก ดีว่าผมได้รับยาต่อต้านโรคแพ้ความสวยไปแล้ว จึงพอจะสามารถมองหน้าสวยนั่นได้ แม้จะไม่เต็มตานัก เกรงว่ายาจะหมดฤทธิ์กะทันหัน เพราะยาที่ว่าก็อยู่ในช่วงทดลองเท่านั้น
ความสวยอันตรายจริงๆ ขนาดมีภูมิคุ้มกันความสวยแล้ว ใจคอยังวูบวาบหวั่นไหว
“คุณตกลงทำงานร่วมมือกับพวกเราไหม เงินเยอะกว่าที่คุณคิดเสียอีก” เธอเลิกคิ้วมองหน้าถาม มือขวาขยับมีดไปมา
“ถ้าผมไม่ตกลงล่ะ”
“คุณตายอยู่ในห้องนี้ ตายแบบไม่หล่ออย่างไม่มีใครรู้”
ดูเหมือนว่าผมไม่มีทางเลือกนอกจากการยอมร่วมมือกับเธอเท่านั้น อย่างน้อยการได้ร่วมงานกับคนหน้าตาดีก็เป็นเรื่องไม่น่าเกลียดน่าชัง และสำคัญคือเธอมีวัคซีนยาป้องการโรคร้าย ถึงจะมีผลชั่วคราวก็ตาม แต่ในอนาคตตัวยาที่รักษาป้องการระยะยาวอาจเป็นจริง
“ตกลง ผมร่วมมือกับพวกคุณ” ผมพยักหน้ายอมจำนนพลางขยับตัวเป็นการบอกให้ปล่อยผมออกไปโดยเร็ว
“เอาล่ะ ...คุณไปทำงานได้แล้ว” เธอลุกขึ้นใช้มีดตัดเชือกออกจากการพันธนาการ ฉุดแขนผมให้ลุกตามไปด้วย
“คุณต้องออกไปหาเลือดคนสวยๆ และคนหล่อๆ มาให้ฉัน”
“อ้าว แล้วคุณล่ะ...”
“คุณลืมไปแล้วหรือ....ตอนนี้อยู่ในช่วงประกาศกฎอัยการศึกห้ามคนหล่อคนสวยออกจากเคหะสถาน คุณไม่ถึงกับหล่อ ออกไปเดินตามถนนได้ แต่ฉันสวย.......”
เธอว่าหน้าตาเฉย
“หึหึ...ก็เลยออกไปไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องเป็นผมลงมือเอง”
“ถูกต้องที่สุด”
ว่าแล้ว.... งานนี้มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล แต่เพื่อคนสวยๆ ผมเต็มใจยอมอย่างไม่มีเหตุผล เป็นเป็นสันดานอย่างหนึ่งของมนุษย์เพศชายส่วนใหญ่ ถ้าเป็นคนไม่สวยมาชวนทำงาน เงินดีอย่างไรผมก็ไม่สนใจ เป็นเสียแบบนั้นนะคนเรา นึกแล้วอยากกระโดดเตะตัวเองเหลือเกินกับ “โรคใจง่าย” ของตัวเอง
หลังจากพูดคุยตกลงกันเรื่องรายละเอียดของงานและเงิน จนพอใจทั้งสองฝ่าย ผมกลับเข้าไปในตัวเมืองอีกครั้ง โดยทิ้งจักรยานยนต์ไว้นอกเมืองเพราะไม่อยากเป็นที่สังเกตของผู้คน แล้วเดินทอดน่องไปตามถนนอย่างไม่รีบร้อน
ถนนสายต่างๆมีผู้คนค่อนข้างน้อย อาคารบ้านเรือนส่วนใหญ่ปิดประตูหน้าต่างเงียบเชียบ เนื่องจากมีการประกาศกฎอัยการศึก มีเจ้าหน้าที่ตำรวจและทหารรักษาการณ์อยู่ทุกมุมถนนอย่างเข้มงวด แน่นอนว่าไม่มีใครหล่อเลยสักคน ไม่หัวล้านก็พุงพลุ้ย หรือผอมแห้งแรงน้อยแบบหุ่นขี้ยา ดูแล้วสบายใจสบายตาเป็นยิ่งนัก เพราะไม่มีใครหน้าตาดีมากไปกว่าเรา
ขณะเลี้ยวมุมตึกจะออกถนนใหญ่ของตัวเมือง ตำรวจสองนายก็เดินกร่างเข้ามาขวางหน้า คนหนึ่งอ้วนเตี้ยผิวดำผมหยิก อีกคนผอมเหมือนแย้เสพยาบ้า
“ไม่หล่อไปคนละแบบ” ผมมองแล้วประเมินในใจ
“ว่าไงน้องชาย จะไปไหน...”
ตำรวจรูปร่างสมบูรณ์พูนสุขทักขึ้นก่อน นัยน์ตาฉายแววเจ้าเล่ห์ ในมือข้างหนึ่งถือวัตถุบางอย่างคล้ายกับมัลติมิเตอร์
“เดินเล่นครับ....” ผมตอบส่งๆ
“รู้ไหมว่านี่อยู่ในช่วงกฎอัยการศึกของ ค.ม.ช. คณะรักษาความไม่หล่อไม่สวยแห่งชาติ”
“รู้ครับ แต่ผมไม่หล่อนี่นา ผมมีสิทธิเดินไปไหนก็ได้”
“มันไม่แน่...” นายอ้วนหัวเราะหึหึอย่างมีเลศนัย
“นายอาจหล่อเกินพิกัดก็เป็นได้ ยังไงเราต้องขอตรวจวัดระดับความหล่อในเลือดก่อน ถ้านายหล่อเกินระดับที่ทางการกำหนดล่ะก้อ มีเรื่องแน่ๆ”
ว่าแล้วก็หันไปพยักหน้ากับตำรวจผอมอย่างรู้เชิงกัน
“ฉันจะวัดความหล่อของหมอนี่ ท่าทางมันมีพิรุธ ถ้ามันตุกติก หรือหล่อขึ้นมากะทันหัน จัดการยิงมันทิ้งได้เลย ดูสิว่ามันเก็บความหล่อไว้ที่ไหน”
นี่มันอะไรกัน...คนหล่อคนสวยสามารถถูกปลิดปลิวได้ง่ายๆ ยิ่งกว่าการวิสามัญฆาตกรรมอาชญากรเสียอีก
เครื่องมือที่ตอนแรกคิดว่าเป็นมัลติมิเตอร์ ความจริงเป็นเครื่องมือวัดระดับความหล่อนั่นเอง นายตำรวจอ้วนยกเครื่องมือวัดปริมาณความหล่อขึ้นทำท่าเหมือนจะถ่ายรูป ผมยืนมองเฉยๆ ไม่วิตกกังวลอะไร เพราะอย่างบอกแต่แรกล่ะครับ ว่าไม่ใช่คนหล่อลากดินมากมายก่ายกอง อยู่ไหนก็สบายกายสบายใจ
“ว่าไงคุณตำรวจ หวังว่าคงไม่หล่อเกินระดับมาตรฐานนะครับ” ผมยิ้มพลางถามอย่างไม่กังวล
นายตำรวจอ้วนมองเครื่องมือและขมวดคิ้วเหมือนไม่พอใจ เขย่าไปมาสองสามทีแล้วบอกเสียงห้วนๆว่า
“นายโชคดีไปก็แล้วกัน เข็มเครื่องวัดเกือบจะตีเข้าไปอยู่ในช่วงหล่อแล้ว...ไม่งั้นนายเสร็จแน่ แต่เอ๊ะ......”
สายตาตำรวจอ้วนพูดยังไม่ทันจบประโยคก็ทำท่าชะงัก ฉายแววเจ้าเล่ห์ขึ้นมากะทันหันเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เขาหันมาบอกวา
“เอาใหม่ ตรวจใหม่ นายต้องยิ้มด้วยเข้าใจไหม การวัดระดับความหล่อในกระแสเลือดต้องยิ้มให้เต็มหน้าจึงจะวัดได้ผลใกล้เคียง”
ไอ้บ้า...ผมนึกในใจ ทำไมมันวุ่นวายอย่างนี้ แต่ปากกลับแกล้งส่งเสียงประท้วงว่า
“อะไรกันครับ อยู่ดีๆ จะให้ผมยิ้มแบบไม่มีสาเหตุผมก็บ้าสิครับ”
“ไม่ต้องมาเถียง “ นายตำรวจอ้วนร้องเสียงเข้มอย่างเอาเรื่องขณะนายตำรวจผอมยืนคุมเชิงอย่างระมัดระวังอยู่ด้านข้าง
“บางทีนายอาจจะซ่อนความหล่อไว้ในรอยยิ้มก็ได้ ใครจะไปรู้ “
................