[CR] ตุลานี้ที่ภูกระดึง 2558

"เมิงๆ อาทิตย์หน้าไปเที่ยวกัน"
เรื่องของเรื่องเริ่มจากประโยคนี้ประโยคเดียว แต่เดี๋ยวเราจะไปไหนกันดี?    ด้วยความที่อยากไปใกล้ๆก็เลยมองหาที่เที่ยวที่ใกล้กรุงเทพ ขับรถกันไปสามวันสองคืน ชิวๆไม่รีบ แถมเรายังว่างกันช่วงวันธรรมดา ดีเลยไม่ต้องไปแย่งกับใคร

แต่เดี่ยวก่อน!!!!!! ทำไมที่พักแพงจัง แถมมีกันสามคนยังต้องจ่ายเพิ่มอีก ไอ้ที่ถูกๆ ดังๆ ใกล้ๆ ก็เต็มไปถึงสิ้นปี โอยยยยยยยยยย.....
"จ่ายขนาดนี้ ไปไกลๆเลยไหม คุ้มกว่าตั้งเยอะ!!!"
"เออเอาดิ รถก็ไม่ต้องขับ"
"เออๆ"
'เดินป่า' นั่นแหละค่ะ เดินคือสิ่งที่ผุดขึ้นมาในความคิดเราเป็นอันดับแรก เราก็ช่วยกันหาที่ทางว่าจะไปไหน แต่ก็ต้องผิดหวังเพราะส่วนมาก เดินป่า, ปีนเขาหรือน้ำตกส่วนมากก็จะเปิดในช่วงต้นเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไป (เนื่องจากฝนและสภาพอากาศอาจทำให้เกินอันตราย) เราก็หากันไปหากันมา....

"เมิงภูกระดึงเปิดแล้ว!!!"



“ภูกระดึง”

     ได้ยินชื่อมาก็ตั้งนาน ทั้งความโหดความเหนื่อย ได้ยินมาแม้กระทั่ง สมัยคุณพ่อคุณแม่เอาไว้ไปพิสูจน์รักแท้ (ถึงขนาดตอนบอกแม่ว่าจะไป แม่ถามกลับมาว่าไปพิสูจน์รักแท้กับใครรึป่าว ฮ่าๆ ป่าวค่ะ คุณแม่!!!) หลังจากเราเลือกสถานที่
ได้แล้ว เราก็เริ่มชวนเพื่อน ตอนแรกจาก3คน ก็เพิ่มๆๆๆๆๆๆ จนมาเป็น  8 คนค่ะ คนพร้อมแล้ว! เราก็มาเตรียมตัวกันเถิดดดดดดดด


1.รองเท้า
เนื่องจากระยะทางที่เราต้องเดินค่อนข้างเยอะ และแถมยังมีบางจุดที่ลื่นและต้องปีนป่าย (ช่วงที่เราไปมีฝนตกเพราะฉะนั้นบางช่วงจะค่อนข้างลื่นและแฉะ) รองเท้าที่ดีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ แนะนำว่าเป็นผ้าใบที่ใส่สบายไม่เจ็บ หรือถ้าใครยังไม่มีรองเท้าเดินป่า เราขอแนะนำ ‘สตั๊ดดอย’ มีขายบริเวณตีนภู คู่ล่ะประมาณ 80 บาท ถูก ดีและทน มันจะเป็นรองเท้ายางสีดำตรงพื้นจะคล้ายๆรองเท้าสตั๊ดเตะบอล การันตีความดีและเหมาะต่อภูกระดึงจากการที่ลูกหาบแทบทุกคนใช้
2.เสื้อผ้า
อันนี้ก็แล้วแต่สภาพภูมิอากาศแต่ละช่วง อย่างช่วงที่เราไปมา ยังมีฝนตกอากาศยังไม่หนาวมาก ขอแนะนำขาขึ้นให้ใส่กางเกงสบายๆ เพราะต้องเดินเยอะ และมีบางช่วงต้องปีน เอาแบบที่ใส่แล้วสามารถก้าวขากว้างๆได้ค่ะ แนะนำเป็นกางเกงวอมบางๆค่ะ
3.ทาก! ทาก! ทาก!
บนภูกระดึงและระหว่างทางเดินขึ้นจะมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆที่จะมาดูดเลือดเรา มันไม่ใช่แวมไพร์ แต่เป็นทาก! ยอมรับเลยค่ะว่ากลัวกันมากๆ ไม่อยากโดนกัด เลยหาข้อมูลวิธีป้องกันกันทุกทาง
       -  กย.15 หรือ ซอร์ฟเฟล        
ทาค่ะ ฉีดค่ะ บริเวณขาและข้อเท้าค่ะ หรือถ้าใครที่โดนทากกัดไปแล้วให้เอาซอร์ฟเฟลฉีด ทากจะปล่อยแล้วหลุดไปเองค่ะ แถมเอาไปกันยุงได้ด้วย
       - เคาท์เตอร์เพน หรือ น้ำมันมวย
อันนี้นอกจากจะไว้นวดแก้ปวดแล้ว เราลองทาที่ขาและเท้า แล้วใส่รองเท้าแตะเดิน ทากก็ไม่กัดหรือขึ้นขาเรานะ หรือเพราะกลิ่นมันแสบมาก เรายังไม่ชอบกลิ่นเลย ทากก็คงไม่ชอบเหมือนกัน ฮ่าๆๆๆๆ
       - ปูนขาว
เอาไว้โรยบริเวณรอบๆเต้นท์ค่ะ ข้างบนมีขายแต่ค่อนข้างแพง ใครสะดวกพกไปก็พกค่ะ การันตีค่ะ ทากไม่เข้าเต้นท์ (นอกจากทากจะติดตัวเราเข้าไปเอง) แถมยังกันสัตว์เล็กๆอื่นๆได้อีกด้วย
       - ถุงเท้า
แนะนำเป็นถุงเท้าข้อยาวนะค่ะ เราใส่ถุงเท้าครอบขากางเกงวอร์มเราค่ะ แล้วพับปลายลงมาซัก1นิ้ว เพราะถ้าเกิดทางเกาะเรา มันจะพยายามไต่ขึ้นมาหาผิวหนังเรา ถ้าเราใส่ถุงเท้าไว้ด้านในขากางเกง ทากอาจจะไต่เข้าไปแล้วเราไม่เห็นค่ะ เลยแนะนำเป็นใส่ครอบขากางเกงไว้ด้านนอก

4. ยาประจำตัว ใครมียาประจำตัวก็อย่าลืมพกไปนะค่ะ แต่ที่แนะนำเพิ่มก็จะมี
-ยาคลายกล้ามเนื้อ
-ยาดม
-ชุดทำแผลเบื้อต้น
*บนภูจะมีห้องพยาบาลสามารถขอยาได้

5.เบ็ดเตล็ด
-ไฟฉาย
-…

เริ่มเดินทาง


13 ตุลาคม 2558
เราออกจาก สถานนีขนส่งหมอชิตเวลา 22.35น.
โดยเราใช้บริการรถทัวร์แบบวีไอพีของ  บริษัท แอร์เมืองเลย จำกัด
(รถแบบวีไอพี 27 ที่นั่ง และ มี USB ชาร์จแบต)

จาก ขนส่งหมอชิด – ผานกเค้า (ร้านเจ๊กิม)  ซึ่งเป็นรถทัวร์สาย กรุงเทพฯ-เมืองเลย   ซึ่งจะผ่านผานกเค้า

ราคาขาไป 464 บาท ถ้าจองขากลับพร้อมกันเลย ได้ลด10%
เราก็เลยจองขากลับ วันที่16 เวลา 20.30น. ราคา 371  รวมไป-กลับ 835 บาท


*รถทัวร์ วีไอพี 27 ที่นั่ง / สภาพภายใน  / จุดพักรถ



             *ร้านเจ๊กิม (จุดจอดรถ ผานกเค้า)

14 ตุลาคม 2558
06.00 น. ถึงร้านเจ้กิม แวะกินข้าวเช้าและทำธุระส่วนตัวกัน
07.00 น. เหมารถแดง จะมีจอดอยู่ข้างๆร้านเจ๊กิม ราคาต่อคัน อยู่ที่ 300 บาท/เที่ยว


                 *ระหว่างทางไปอุทยาน


07.20 น. ถึงที่ทำการอุทยาน จัดการซื้อตั๋วและจองเต้นท์ เนื่องจากเราไปช่วงที่เพิ่งเปิดให้ขึ้นคนจึงไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่ เจ้าหน้าที่จึงบอกให้มาจัดการที่นี้เลย แต่ถ้าใครจะไปช่วงท่องเที่ยวสามารถจองเต้นท์ได้ก่อนเป็นเวลา 60 วัน
ราคา 225 บาท/เต้นท์ นอนได้ประมาณ 3 คน

ค่าขึ้นอยู่ที่ 40 บาท/คน (วันธรรมดาลดเหลือ 20 บาท/คน)
ค่าลูกหาบ 30 บาท/กก.

เครื่องนอนต้องไปติดต่อด้านบนภู
- ถุงนอน 30 บาท/คืน
- ที่รองนอน 20 บาท/คืน
- หมอน 10 บาท/คืน
- ผ้าห่ม 10 บาท/คืน
- ผ้าห่มอย่างหนา 20 บาท/คืน
- เสื่อ 10 บาท/คืน

เว็บไซต์จองเต็นท์ของอุทยานแห่งชาติ
http://www.dnp.go.th/parkreserve/tent_reservation.asp?lg=1
เบอร์ติดต่ออุทยานแห่งชาติ ภูกระดึง
โทรศัพท์ : 042-810833
จองบ้านพัก : 042-810834

08.00 น. หลังจากเคารพธงชาติเสร็จ ถือเป็นฤกษ์งามยามดี ฮ่าๆๆๆ ขึ้นภูกัน!!!!!


*จุดพักแรกซำแฮก

*ระหว่างทาง

*ระหว่างทางขึ้น หลบทางให้ พี่ๆ ลูกหาบกันหน่อยนะคะ

*ระหว่างทาง จากซำแคร่ – หลังแป


*วิวจากหลังแป ด้านหลังป้าย ”ครั้งหนึ่งในชีวิต พิชิตภูกระดึง”


13.00 น.  ถึงแล้ว !!!! ยัง !!!! เพราะเราเพิ่งมาถึงหลังแปกันค่ะ ถือเป็นจุดสิ้นสุดของการเดินขึ้นภูเขา ยอมรับว่าตอนแรกเข้าใจว่าเราจะกางเต้นท์กันตรงนี้ แต่เปล่าค่ะ เราต้องเดินอีก 3 กม. เพื่อไปถึงลานวังกวาง โอยยยยยยยยยยยยย ไปต่อค่ะพี่สุชาติ!!!






*ระหว่างหลังแป – ลานกางเต็นท์วังกวาง


*ศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ลานกางเต็นท์วังกวาง


13.45น.  ถึงแล้ว รอบนี้ถึงจริงๆ ฮ่าๆ เราถึงกันค่อนข้างช้าเพราะเราเดินไปถ่ายรูปกันไป แถมมีเพื่อนคนนึงในทริปเกือบไม่ไหว แต่สุดท้ายเราก็มาถึงกันจนได้ แอบภูมิใจเล็กๆเหมือนกันนะเนี่ย พอถึงเราก็ไปติดต่อเจ้าหน้าที่เรื่องเต้นท์และเครื่องนอน เนื่องจากคนน้อย เราเลยเดินเลือกเต้นท์กันได้แบบสบายๆ เราเลือกเต้นท์ที่ตั้งอยู่บนพื้นปูน 3 หลัง


*บรรยากาศโดยรอบลานกางเต็นท์

*กวางแถวร้านอาหาร


14.00 น.  เราเลือกที่จะไปกินข้าวกลางวันกันแถวนั่น มีร้านให้เลือกมากมาย ส่วนมากเมนูก็จะเหมือนๆกัน ราคาก็จะเท่าๆกันค่ะ โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่มื้อล่ะ 100 บาท (รวมน้ำและอาหารจานเดี่ยว) นอกจากจะได้กินข้าวไปยังจะได้เล่นกับกวางด้วย ใช่ค่ะ กวางตัวเป็นๆ เท่าที่เห็นจะมีอยู่ 3-4 ตัว นะคะ ระหว่างเรากินเค้าก็จะมาเดินป้วนเปี้ยนขออาหาร บางตัวก็จับได้

17.00 น. หลังจากพักเหนื่อย ถึงเวลาที่เราจะไปดูพระอาทิตย์ตกดินแล้วค่ะ เราจะไปกันที่ ผาหมากดูก ระยะทางประมาณ 2กม. เราลงความเห็นกันว่า จะเช่าจักรยานกันไป เพราะเดินกันไม่ไหวแล้ว จะมีจุดเช้าจักรยานซึ่งเป็นของเอกชน ถ้าเช่าไปแค่ดูพระอาทิตย์ตกดินที่ผาหมากดูกจะอยู่ที่คันละ60บาท แต่ถ้าเช่าทั้งวันจะอยู่ที่คันละ 300 บาท แนะนำให้พกไฟฉายไปด้วยนะค่ะ เพราะตอนกลับมันจะมืดแล้ว

17.30 น. ถึงผาหมากดูก





หลังจากเราดูพระอาทิตย์ตก ถึงแม้จะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ดวงกลมโตของเราเพราะเมฆค่อนข้างเยอะ แต่แสงยามเย็นก็สวยใช้ได้ ถือว่าโอเคอยู่นะ

18.30 น. ถึงเวลากลับที่พัก เพราะเริ่มมืดแล้ว สำหรับใครปั่นจักรยานมาขากลับก็ระวังทางกันนิดนึง เพราะจะมีนักท่องเที่ยวคนอื่นที่เขาเดินกลับ ระวังชนพวกเขานะคะ

19.00 น. ถึงลานวังกวางแล้ว เราก็ไปหาอาหารเย็นกินกัน เราเลือกเป็นหมูกระทะ หมูจุ่ม อันนี้มีทุกร้านเลยค่ะ ราคาอยู่ที่ 300-500บาท ต่อชุด หลังจากเสร็จเราก็ไปอาบน้ำทำธุระส่วนตัวกัน เพราะคืนนี้เรามีนัดกับ...

ทางช้างเผือก!!!!

20.30 น. จากการสอบถามพี่ๆเจ้าหน้าที่ เขาเเนะนำให้เราเดินไปถ่ายตรงลานพระ ซึ่งห่างจากลานวังกวางไปประมาณ1 กม. แต่ด้วยความขี้เกียจ ความเหนื่อย ความกลัวทาก ความกลัวความมืด ฮ่าๆๆๆๆ จะอะไรก็แล้วแต่ เราเลือกที่จะถ่ายทางช้างเผือกกันตรงหลังเต้นท์ (ขี้เกียจเดินแล้วจริงๆ ฮ่าๆๆๆ) ตอนแรกก็แอบหวั่นว่าจะถ่ายไม่เห็น แต่พอถ่ายไปรูปแรกปั๊ป
กรี๊ดดดดดดดดดดดด !!!







22.00 น. ซึ่งทางช้างเผือกก็เคลื่อนตัวไปทางอื่นแล้ว อีกทั่งยังเป็นเวลาที่ส่วนกลางเริ่มดับไฟ วันนี้เราก็คงพอกันแค่นี้ อัดยาคลายกล้ามเนื้อแล้วไปนอน พรุ่งนี้พระอาทิตย์ขึ้นเราเราอยู่

*อ่านต่อในคอมเม้น นะคะ*
ชื่อสินค้า:   ภูกระดึง จ.เลย
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่