[CR] รีวิวเที่ยวฉบับคู่รัก - Winter in Kansai - Day5: Kyoto ย้อนเวลาในชุด กิโมโน



- Day 1 : Kinosaki - แช่ออนเซ็นท่ามกลางหิมะ - http://pantip.com/topic/34196389
- Day 2 : Izushi - เสาโทริ & เส้นโซบะ - http://pantip.com/topic/34198470
- Day 3 : Kobe -  มีอะไรมากกว่าเเค่สเต็ก - http://pantip.com/topic/34201976
- Day 4 : Osaka - พุงป่อง กระเป๋าเเฟ่บ - http://pantip.com/topic/34214910
- Day 5 : Kyoto - ย้อนเวลาในชุด กิโมโน - http://pantip.com/topic/34227536

วันที่ 5 เริ่มออกเดินทางแต่เช้าตรู่อีกแล้ว  เพราะวันนี้เราต้องไปเกียวโต กันนั่นเอง
เราออกเดินทางเช้าขนาดไหน โปรดสังเกตรูปด้านล่าง ในรถไฟใต้ดิน ไม่มีคนเลยยย เม่าตาสว่าง


โล่งมาก โพสท่าได้เต็มที่ แต่นางแบบตายังไม่เปิด

          จากโอซาก้า ไป เกียวโตใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดยเราจะออกเดินทางจากโอซาก้าที่สถานี Umeda(Hankyu) และไปลงที่สถานี Kawaramichi (Kyoto) จากนั้นต่อ Taxi เพื่อไปวัด Kiyomizu หรือวัดน้ำใสนั่นเอง (จากสถานีนี้นั่งไปไม่ถึง 5 นาที)

          หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเราไม่ลงสถานีเกียวโต แล้วนั่งรถบัส เหมือนที่รีวิวอื่นๆเค้าทำ ไม่ใช่เพราะเราอินดี้หรือตังค์เหลือหรอกนะ (เหอๆ ยิ่งใกล้วันกลับ กระเป๋ายิ่งแฟ่บ) แต่เพราะวันนี้เป็นวันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันสิ้นปีนั่นเอง เราคาดว่าวันนี้ทั้งคนญี่ปุ่น ทั้งนักท่องเที่ยวคงหลั่งไหลกันมาที่เกียวโตแน่ๆ  เพื่อหลีกเลี่ยงรถติด และความแออัด เราจึงเลือกเส้นทางแบบนี้

           เอาหละ  ความพิเศษของการเที่ยววันนี้คือ..
เราจะไม่เที่ยวในชุดธรรมดาๆ แต่เราจะไปแปลงโฉมเป็นสาวญี่ปุ่น ด้วยชุดกิโมโนกัน  เม่าแต่งหน้า
          
          ในเกียวโตมีร้านให้เช่าชุดกิโมโนเพื่อใส่ชมเมืองอยู่หลายที่ เราเลือกที่ Okamoto Kimono เพราะ อยู่ใกล้วัด Kiyomizu และที่สำคัญนอกจากมีชุดให้เช่าแล้ว ที่นี่เค้ายังมีบริการทำผมให้อีกด้วย (เริศ ที่สุด)

          แต่ก่อนจะมาควรจองคิวมาก่อน เพราะร้านนี้เป็นร้านที่มีชื่อเสียง และมีลูกค้าเยอะมาก สามารถจองคิวผ่านทางเว็บไซต์ โดยเลือกวัน เวลา package จำนวนคน แล้วก็กดส่ง จากนั้นทางร้านจะส่ง e-mail คอนเฟิร์มกลับมาให้ จองทาง Link นี้ได้เลย

          สำหรับ Package ทางร้านเค้าจะมีให้เลือก 3 แบบ โดยราคาก็จะแตกต่างกันไป ตั้งแต่ 3,000 เยน, 4,000 เยน และก็ 5,000 เยน แล้วแต่ละอันแตกต่างกันตรงไหน ? อธิบายแบบง่ายๆก็คือ ยิ่งราคาแพงก็จะมีแบบกิโมโนให้เลือกเยอะขึ้น และลวดลายที่สวยงามมากขึ้นนั่นเอง


รายละเอียดแต่ละ Package
Credit:http://www.okamoto-kimono.com

           ร้านนี้จะมีทั้งหมด 4 สาขา สาขาที่เราไปคือ สาขา ​Kiyomizu ดูจากแผนที่อันนี้ได้เลย ตั้งอยู่บนเนินก่อนถึงทางเข้าวัด

แผนที่ร้าน
Credit: http://www.okamoto-kimono.com

          จุดสังเกตุคือ จะมีหุ่นใส่ชุดกิโมโนตั้งอยู่ตรงทางเข้า เห็นหุ่นนี้ปุ๊บ ให้เลี้ยวเข้ามาในซอกตึกแคบๆนี้ แล้วเดินตรงเข้าไปเลย ร้านจะอยู่ด้านใน

ปากทางเข้าร้าน
Credit: http://www.okamoto-kimono.com

นี่คือซอยทางเข้าร้าน  นายแบบอาจจะบังไปสักหน่อย ;)

ป้ายร้านสีแดงๆข้างหลัง

          เข้าไปในร้าน เค้าก็จะให้เราเลือกกิโมโน แล้วก็โอบิ จากนั้นเค้าก็จะมาช่วยเราแต่งตัว กิโมโนที่นี่เป็นแบบดั้งเดิมจริงๆ ไม่ใช่แบบสำเร็จรูป จึงต้องมีคนมาช่วยใส่ ช่วยผูก วิธีการซับซ้อนมากกก ใส่เองไม่ได้แน่นอนแบบนี้
          
          เราจะสามารถใส่ชุดนี้ได้ตั้งแต่ 9 โมงเช้า จนถึง 6 โมงครึ่ง (จริงๆร้านปิดสองทุ่ม แต่ทางร้านจะขอร้องให้กลับมาคืนชุดอย่างช้าที่สุด 6 โมงครึ่ง) ส่วนชุดที่เราใส่มาสามารถฝากไว้กะทางร้านได้ ไม่หายแน่นอน

          ใส่ชุดเสร็จเค้าก็จะพาไปทำผมในห้องข้างๆ มีเครื่องประดับผมให้เลือกเยอะมากก โอ๊ยย เราแฮปปี้สุดๆ สนุกกับการแต่งตัวครั้งนี้  ส่วนเรื่องทรงผม เราสามารถเลือกได้ มี3 ทรง ตามรูป


ทรงผม
Credit: http://www.okamoto-kimono.com

          เราเลือกแบบแรก คือยีผมแล้วรวบเอามาไว้ด้านข้าง ช่างทำผมที่นี่ก็เทพมาก ทรงที่ดูยากๆเหล่านี้ เค้าสามารถเนรมิตให้เราได้อย่างง่ายดาย ภายใน 5 นาที ไม่ต้องกลัวช้า หรือว่าจะเสียเวลาเที่ยวเลย
          ทรงผมที่ได้ถูกใจเรามาก ไม่น่าเชื่อว่าใช้เวลาทำแค่ไม่กี่นาที

แปลงโฉมเสร็จแล้ววว      

นี่คือทรงผมด้านหลัง
                
หลายคนอาจจะสงสัย อ่าวว แล้วฝ่ายชายหละ ? ผู้หญิงสวยได้ฝ่ายเดียวหรอ?
          แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้คุณแฟนของเราไม่ยอมน้อยหน้าเราแน่นอน he ขอแปลงโฉมด้วย ชุดจัดเต็ม พอๆกัน

"พี่อยากใส่แนว ซามูไร หรือนินจาอะ" หลังจากเรายืนยันว่าทางร้านเค้าไม่มีหรอก จึงได้ออกมาเป็นชุดนี้แทน


          และนี่คือ Sweet Gimmick ของเมืองนี้นั่นเอง มันคือการเพิ่มความหวาน และรสชาตของทริปนี้ ด้วยการเดินเตาะแตะในรองเท้าเกี๊ยะ และชุดกิโมโนไปด้วยกัน เหมือนคู่รักสมัยโบราณยังไงอย่างงั้นเลย  เม่าบัลเล่ต์เม่าบัลเล่ต์



          ชุดพร้อม คนก็พร้อม เดินขึ้นไปตามเนินนี้สักพักก็จะเจอกับทางเข้าวัดน้ำใส หรือ วัดคิโยมิซึ  จริงๆ เดินแป๊บเดียวก็ถึง แต่เนื่องจากระหว่างทางก็จะมีร้านขายขนม และของที่ระลึกคอยล่อนักท่องเที่ยว ให้เข้าไปติดกับ เสียตังอยู่ตลอดเวลา กว่าจะได้ถึงวัดจริงๆ ก็เสยเวลาไปพอสมควร





          ภายในวัดมีการทำพิธีสำหรับขึ้นปีใหม่ แผ่นป้ายตัวอักษรนี้เป็นคำอวยพรของปีหน้า คำนี้แปลว่าโชคดี


          มาเที่ยวที่นี่ก็ห้ามพลาดกับการถ่ายรูปมุมนี้  ต้องมีสัก1 รูป มุมมหาชน มาหน้าหนาว ต้นไม้เลยเหลือแต่กิ่งก้าน ใบหายหมด


          อีกหนึ่งที่ ที่เป็น Sweet Gimmick ของเรา สำหรับเมืองเกียวโตก็ ก็อยู่ในวัดคิโยมิสึแห่งนี้นี่แหละ มันก็คือ หินเสี่ยงทายความรัก ! แล้วเราจะพลาดได้อย่างไร  ในบริเวณวัดคิโยมิสึจะมีศาลเจ้าเล็กๆแห่งหนึ่งชื่อว่า  ศาลเจ้าจิชู (Jishu shrine) ที่ได้รับการขนานนามว่า ศาลเจ้าแห่งความรัก

ทางเข้า ศาลเจ้า Jishu

          ภายในศาลเจ้าจะมีหิน 2 ก้อน ตั้งอยู่ห่างจากกันประมาณ 10 กว่าเมตร โดยหิน 2 ก้อนนี้แหละ คือเครื่องเสี่ยงทายความรัก  แล้วต้องทำยังไงบ้าง ?  เอาหละ ตั้งใจฟังขั้นตอนกันดีดี เม่าปัดรังควาน

          
          ใครที่ไปเป็นคู่ ให้ไปยืนกันที่หินคนละก้อน และให้ฝ่ายนึง ปิดตา จากนั้นเดินไปหาอีกฝ่ายให้ได้ ถ้าเดินไปเจอกับอีกฝ่ายได้ ถือว่าคนนี้แหละคือคู่แท้ของเรา  ส่วนคนที่ยังไม่มีคู่ ก็ให้ปิดตาแล้วเดินไปที่หินอีกฟาก ถ้าเดินไปถึงหินได้ ก็จะได้เจอเนื้อคู่  (ความเห็นส่วนตัว ถ้าเดินไม่ถึงหินอีกฟาก แต่ชนหนุ่มๆ ระหว่างทาง ก็คว้าเลย  คนนั้นแหละ) ใครทำไม่สำเร็จอย่าพึ่งท้อนะ ไปซื้อพวกเครื่องรางความรักมาช่วยแก้เคล็ดได้ ที่ศาลเจ้าแห่งนี้ก็มีขาย  มีให้เลือกเยอะด้วย... เหมามาเลย


หินเสี่ยงทายความรัก
          
           คู่เราไปถึงก็เริ่มปฏิบัตตามขั้นตอนที่อ่านมาทันทีโดยไม่รอช้า (ตื่นเต้นๆ จะใช่มั้ยน้าา) เราให้คุณแฟนเป็นฝ่ายปิดตา ส่วนเรายืนรอ

"คุณแฟน พร้อมมั้ยยย" เรายืนรอ พร้อมสุดๆ
"พร้อมๆ" เสียงสั่นๆ คงกลัวว่าถ้าเดินไม่ตรง ไม่เจอเรา ทริปนี้อาจเป็นทริปขมขื่นได้ เม่าโศก

ก้าวหนึ่ง ก้าวสอง ก้าวสาม ยังตรงอยู่ๆ ก้าวสี่ ก้าวห้า...................... ถึงพอดี เย้!!!

ถ่ายรูปคู่กับหินเสี่ยงทาย เป็นที่ระลึก

"สรุปคือคู่เราเป็นคู่แท้นะ" เสียง he ฟังดูโล่งใจมาก
"จ้าาา แท้แน่นอน " (ในใจคิดว่าถ้าแฟนเราเดินมาไม่สำเร็จ จะให้เดินอยู่นั่นแหละ หรือไม่เด๋วชั้นเดินไปหาเองเลย ยังไงวันนี้เราต้องได้พบกัน 555555)


กระต่าย สัตว์คู่กายของเทพเจ้าแห่งความรัก

          อีกจุดที่เป็นที่มาของชื่อวัดนี้ ก็คือจุดที่มีน้ำจากน้ำตก โอโตวะไหลลงมา คนญี่ปุ่นเชื่อว่าน้ำนีมีความศักสิทธ์และ การดื่มน้ำจากสายน้ำ 3 สายนี้  จะช่วยให้สมหวังในเรื่องเรียน เรื่องความรัก และอายุยืน

          
          เดินเล่นภายในบริเวณวัดไปเรื่อย ก็เจอกับมุมในสวน ที่มีสระบัวเล็กๆ ตรงนี้ไม่มีใครเลย เลยได้รูปสวยๆ แบบส่วนตัวมาอีก 1 รูป


          เริ่มหิว (อีกแล้ว) สายตาเราเลยเริ่มมองหาร้านขายของกินภายในวัด สายตาก็ไปเจอกับร้านเล็กๆร้านนึงเข้า  เป็นร้านขายชาเขียว โอ๊ะ ไหนๆก็ใส่ชุดกิโมโนแล้ว ไปนั่งกินดังโงะ และจิบชาเขียว หน่อยดีกว่า มันช่างให้ฟีลญี่ปุ่นแท้ๆ ดีจริงๆ


           มุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางต่อไป นั่นก็คือ Fushimi Inari Shrine อันโด่งดังนั่นเอง

          ออกจากวัด เดินไปขึ้นรถไฟที่สถานี Kiyomizu-gojo ระหว่างทางสายตาเราก็เหลือบไปเห็น เหล่าไมโกะ กลุ่มนี้เข้า เราเลยพยายามเดินเข้าไปใกล้เพื่อถ่ายรูป  

"คิคิคิ" ได้ยินเสียงหัวเราะจากคุณแฟนที่เดินตามเรามาห่างๆ เม่าดี๊ด๊า
"ขำอะไร มิทราบ"
"คุณแฟน ดูนี่สิๆ"  แล้วก็ยื่นกล้องมาให้เราดู
ในกล้องคือภาพนี้  5555 เนียนๆ ไปกะเค้าด้วย


คนไหนไม่เข้าพวก ?
ชื่อสินค้า:   Kansai Area, Japan
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่