- Day 1 : Kinosaki - แช่ออนเซ็นท่ามกลางหิมะ -
http://pantip.com/topic/34196389
- Day 2 : Izushi - เสาโทริ & เส้นโซบะ -
http://pantip.com/topic/34198470
- Day 3 : Kobe - มีอะไรมากกว่าเเค่สเต็ก -
http://pantip.com/topic/34201976
- Day 4 : Osaka - พุงป่อง กระเป๋าเเฟ่บ -
http://pantip.com/topic/34214910
- Day 5 : Kyoto - ย้อนเวลาในชุด กิโมโน -
http://pantip.com/topic/34227536
วันที่ 5 เริ่มออกเดินทางแต่เช้าตรู่อีกแล้ว เพราะวันนี้เราต้องไปเกียวโต กันนั่นเอง
เราออกเดินทางเช้าขนาดไหน โปรดสังเกตรูปด้านล่าง ในรถไฟใต้ดิน ไม่มีคนเลยยย

โล่งมาก โพสท่าได้เต็มที่ แต่นางแบบตายังไม่เปิด
จากโอซาก้า ไป เกียวโตใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดยเราจะออกเดินทางจากโอซาก้าที่สถานี Umeda(Hankyu) และไปลงที่สถานี Kawaramichi (Kyoto) จากนั้นต่อ Taxi เพื่อไปวัด Kiyomizu หรือวัดน้ำใสนั่นเอง (จากสถานีนี้นั่งไปไม่ถึง 5 นาที)
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเราไม่ลงสถานีเกียวโต แล้วนั่งรถบัส เหมือนที่รีวิวอื่นๆเค้าทำ ไม่ใช่เพราะเราอินดี้หรือตังค์เหลือหรอกนะ (เหอๆ ยิ่งใกล้วันกลับ กระเป๋ายิ่งแฟ่บ) แต่เพราะวันนี้เป็นวันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันสิ้นปีนั่นเอง เราคาดว่าวันนี้ทั้งคนญี่ปุ่น ทั้งนักท่องเที่ยวคงหลั่งไหลกันมาที่เกียวโตแน่ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงรถติด และความแออัด เราจึงเลือกเส้นทางแบบนี้
เอาหละ ความพิเศษของการเที่ยววันนี้คือ..
เราจะไม่เที่ยวในชุดธรรมดาๆ แต่เราจะไปแปลงโฉมเป็นสาวญี่ปุ่น ด้วยชุดกิโมโนกัน
ในเกียวโตมีร้านให้เช่าชุดกิโมโนเพื่อใส่ชมเมืองอยู่หลายที่ เราเลือกที่ Okamoto Kimono เพราะ อยู่ใกล้วัด Kiyomizu และที่สำคัญนอกจากมีชุดให้เช่าแล้ว ที่นี่เค้ายังมีบริการทำผมให้อีกด้วย (เริศ ที่สุด)
แต่ก่อนจะมาควรจองคิวมาก่อน เพราะร้านนี้เป็นร้านที่มีชื่อเสียง และมีลูกค้าเยอะมาก สามารถจองคิวผ่านทางเว็บไซต์ โดยเลือกวัน เวลา package จำนวนคน แล้วก็กดส่ง จากนั้นทางร้านจะส่ง e-mail คอนเฟิร์มกลับมาให้ จองทาง Link นี้ได้เลย
สำหรับ Package ทางร้านเค้าจะมีให้เลือก 3 แบบ โดยราคาก็จะแตกต่างกันไป ตั้งแต่ 3,000 เยน, 4,000 เยน และก็ 5,000 เยน แล้วแต่ละอันแตกต่างกันตรงไหน ? อธิบายแบบง่ายๆก็คือ ยิ่งราคาแพงก็จะมีแบบกิโมโนให้เลือกเยอะขึ้น และลวดลายที่สวยงามมากขึ้นนั่นเอง

รายละเอียดแต่ละ Package
Credit:
http://www.okamoto-kimono.com
ร้านนี้จะมีทั้งหมด 4 สาขา สาขาที่เราไปคือ สาขา Kiyomizu ดูจากแผนที่อันนี้ได้เลย ตั้งอยู่บนเนินก่อนถึงทางเข้าวัด

แผนที่ร้าน
Credit:
http://www.okamoto-kimono.com
จุดสังเกตุคือ จะมีหุ่นใส่ชุดกิโมโนตั้งอยู่ตรงทางเข้า เห็นหุ่นนี้ปุ๊บ ให้เลี้ยวเข้ามาในซอกตึกแคบๆนี้ แล้วเดินตรงเข้าไปเลย ร้านจะอยู่ด้านใน

ปากทางเข้าร้าน
Credit:
http://www.okamoto-kimono.com
นี่คือซอยทางเข้าร้าน นายแบบอาจจะบังไปสักหน่อย ;)

ป้ายร้านสีแดงๆข้างหลัง
เข้าไปในร้าน เค้าก็จะให้เราเลือกกิโมโน แล้วก็โอบิ จากนั้นเค้าก็จะมาช่วยเราแต่งตัว กิโมโนที่นี่เป็นแบบดั้งเดิมจริงๆ ไม่ใช่แบบสำเร็จรูป จึงต้องมีคนมาช่วยใส่ ช่วยผูก วิธีการซับซ้อนมากกก ใส่เองไม่ได้แน่นอนแบบนี้
เราจะสามารถใส่ชุดนี้ได้ตั้งแต่ 9 โมงเช้า จนถึง 6 โมงครึ่ง (จริงๆร้านปิดสองทุ่ม แต่ทางร้านจะขอร้องให้กลับมาคืนชุดอย่างช้าที่สุด 6 โมงครึ่ง) ส่วนชุดที่เราใส่มาสามารถฝากไว้กะทางร้านได้ ไม่หายแน่นอน
ใส่ชุดเสร็จเค้าก็จะพาไปทำผมในห้องข้างๆ มีเครื่องประดับผมให้เลือกเยอะมากก โอ๊ยย เราแฮปปี้สุดๆ สนุกกับการแต่งตัวครั้งนี้ ส่วนเรื่องทรงผม เราสามารถเลือกได้ มี3 ทรง ตามรูป

ทรงผม
Credit:
http://www.okamoto-kimono.com
เราเลือกแบบแรก คือยีผมแล้วรวบเอามาไว้ด้านข้าง ช่างทำผมที่นี่ก็เทพมาก ทรงที่ดูยากๆเหล่านี้ เค้าสามารถเนรมิตให้เราได้อย่างง่ายดาย ภายใน 5 นาที ไม่ต้องกลัวช้า หรือว่าจะเสียเวลาเที่ยวเลย
ทรงผมที่ได้ถูกใจเรามาก ไม่น่าเชื่อว่าใช้เวลาทำแค่ไม่กี่นาที

แปลงโฉมเสร็จแล้ววว

นี่คือทรงผมด้านหลัง
หลายคนอาจจะสงสัย อ่าวว แล้วฝ่ายชายหละ ? ผู้หญิงสวยได้ฝ่ายเดียวหรอ?
แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้คุณแฟนของเราไม่ยอมน้อยหน้าเราแน่นอน he ขอแปลงโฉมด้วย ชุดจัดเต็ม พอๆกัน
"พี่อยากใส่แนว ซามูไร หรือนินจาอะ" หลังจากเรายืนยันว่าทางร้านเค้าไม่มีหรอก จึงได้ออกมาเป็นชุดนี้แทน
และนี่คือ Sweet Gimmick ของเมืองนี้นั่นเอง มันคือการเพิ่มความหวาน และรสชาตของทริปนี้ ด้วยการเดินเตาะแตะในรองเท้าเกี๊ยะ และชุดกิโมโนไปด้วยกัน เหมือนคู่รักสมัยโบราณยังไงอย่างงั้นเลย


ชุดพร้อม คนก็พร้อม เดินขึ้นไปตามเนินนี้สักพักก็จะเจอกับทางเข้าวัดน้ำใส หรือ วัดคิโยมิซึ จริงๆ เดินแป๊บเดียวก็ถึง แต่เนื่องจากระหว่างทางก็จะมีร้านขายขนม และของที่ระลึกคอยล่อนักท่องเที่ยว ให้เข้าไปติดกับ เสียตังอยู่ตลอดเวลา กว่าจะได้ถึงวัดจริงๆ ก็เสยเวลาไปพอสมควร
ภายในวัดมีการทำพิธีสำหรับขึ้นปีใหม่ แผ่นป้ายตัวอักษรนี้เป็นคำอวยพรของปีหน้า คำนี้แปลว่าโชคดี
มาเที่ยวที่นี่ก็ห้ามพลาดกับการถ่ายรูปมุมนี้ ต้องมีสัก1 รูป มุมมหาชน มาหน้าหนาว ต้นไม้เลยเหลือแต่กิ่งก้าน ใบหายหมด
อีกหนึ่งที่ ที่เป็น Sweet Gimmick ของเรา สำหรับเมืองเกียวโตก็ ก็อยู่ในวัดคิโยมิสึแห่งนี้นี่แหละ มันก็คือ หินเสี่ยงทายความรัก ! แล้วเราจะพลาดได้อย่างไร ในบริเวณวัดคิโยมิสึจะมีศาลเจ้าเล็กๆแห่งหนึ่งชื่อว่า ศาลเจ้าจิชู (Jishu shrine) ที่ได้รับการขนานนามว่า ศาลเจ้าแห่งความรัก

ทางเข้า ศาลเจ้า Jishu
ภายในศาลเจ้าจะมีหิน 2 ก้อน ตั้งอยู่ห่างจากกันประมาณ 10 กว่าเมตร โดยหิน 2 ก้อนนี้แหละ คือเครื่องเสี่ยงทายความรัก แล้วต้องทำยังไงบ้าง ? เอาหละ ตั้งใจฟังขั้นตอนกันดีดี
ใครที่ไปเป็นคู่ ให้ไปยืนกันที่หินคนละก้อน และให้ฝ่ายนึง ปิดตา จากนั้นเดินไปหาอีกฝ่ายให้ได้ ถ้าเดินไปเจอกับอีกฝ่ายได้ ถือว่าคนนี้แหละคือคู่แท้ของเรา ส่วนคนที่ยังไม่มีคู่ ก็ให้ปิดตาแล้วเดินไปที่หินอีกฟาก ถ้าเดินไปถึงหินได้ ก็จะได้เจอเนื้อคู่ (ความเห็นส่วนตัว ถ้าเดินไม่ถึงหินอีกฟาก แต่ชนหนุ่มๆ ระหว่างทาง ก็คว้าเลย คนนั้นแหละ) ใครทำไม่สำเร็จอย่าพึ่งท้อนะ ไปซื้อพวกเครื่องรางความรักมาช่วยแก้เคล็ดได้ ที่ศาลเจ้าแห่งนี้ก็มีขาย มีให้เลือกเยอะด้วย... เหมามาเลย

หินเสี่ยงทายความรัก
คู่เราไปถึงก็เริ่มปฏิบัตตามขั้นตอนที่อ่านมาทันทีโดยไม่รอช้า (ตื่นเต้นๆ จะใช่มั้ยน้าา) เราให้คุณแฟนเป็นฝ่ายปิดตา ส่วนเรายืนรอ
"คุณแฟน พร้อมมั้ยยย" เรายืนรอ พร้อมสุดๆ
"พร้อมๆ" เสียงสั่นๆ คงกลัวว่าถ้าเดินไม่ตรง ไม่เจอเรา ทริปนี้อาจเป็นทริปขมขื่นได้
ก้าวหนึ่ง ก้าวสอง ก้าวสาม ยังตรงอยู่ๆ ก้าวสี่ ก้าวห้า...................... ถึงพอดี เย้!!!

ถ่ายรูปคู่กับหินเสี่ยงทาย เป็นที่ระลึก
"สรุปคือคู่เราเป็นคู่แท้นะ" เสียง he ฟังดูโล่งใจมาก
"จ้าาา แท้แน่นอน " (ในใจคิดว่าถ้าแฟนเราเดินมาไม่สำเร็จ จะให้เดินอยู่นั่นแหละ หรือไม่เด๋วชั้นเดินไปหาเองเลย ยังไงวันนี้เราต้องได้พบกัน 555555)

กระต่าย สัตว์คู่กายของเทพเจ้าแห่งความรัก
อีกจุดที่เป็นที่มาของชื่อวัดนี้ ก็คือจุดที่มีน้ำจากน้ำตก โอโตวะไหลลงมา คนญี่ปุ่นเชื่อว่าน้ำนีมีความศักสิทธ์และ การดื่มน้ำจากสายน้ำ 3 สายนี้ จะช่วยให้สมหวังในเรื่องเรียน เรื่องความรัก และอายุยืน
เดินเล่นภายในบริเวณวัดไปเรื่อย ก็เจอกับมุมในสวน ที่มีสระบัวเล็กๆ ตรงนี้ไม่มีใครเลย เลยได้รูปสวยๆ แบบส่วนตัวมาอีก 1 รูป
เริ่มหิว (อีกแล้ว) สายตาเราเลยเริ่มมองหาร้านขายของกินภายในวัด สายตาก็ไปเจอกับร้านเล็กๆร้านนึงเข้า เป็นร้านขายชาเขียว โอ๊ะ ไหนๆก็ใส่ชุดกิโมโนแล้ว ไปนั่งกินดังโงะ และจิบชาเขียว หน่อยดีกว่า มันช่างให้ฟีลญี่ปุ่นแท้ๆ ดีจริงๆ
มุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางต่อไป นั่นก็คือ Fushimi Inari Shrine อันโด่งดังนั่นเอง
ออกจากวัด เดินไปขึ้นรถไฟที่สถานี Kiyomizu-gojo ระหว่างทางสายตาเราก็เหลือบไปเห็น เหล่าไมโกะ กลุ่มนี้เข้า เราเลยพยายามเดินเข้าไปใกล้เพื่อถ่ายรูป
"คิคิคิ" ได้ยินเสียงหัวเราะจากคุณแฟนที่เดินตามเรามาห่างๆ

"ขำอะไร มิทราบ"
"คุณแฟน ดูนี่สิๆ" แล้วก็ยื่นกล้องมาให้เราดู
ในกล้องคือภาพนี้ 5555 เนียนๆ ไปกะเค้าด้วย

คนไหนไม่เข้าพวก ?
[CR] รีวิวเที่ยวฉบับคู่รัก - Winter in Kansai - Day5: Kyoto ย้อนเวลาในชุด กิโมโน
- Day 1 : Kinosaki - แช่ออนเซ็นท่ามกลางหิมะ - http://pantip.com/topic/34196389
- Day 2 : Izushi - เสาโทริ & เส้นโซบะ - http://pantip.com/topic/34198470
- Day 3 : Kobe - มีอะไรมากกว่าเเค่สเต็ก - http://pantip.com/topic/34201976
- Day 4 : Osaka - พุงป่อง กระเป๋าเเฟ่บ - http://pantip.com/topic/34214910
- Day 5 : Kyoto - ย้อนเวลาในชุด กิโมโน - http://pantip.com/topic/34227536
วันที่ 5 เริ่มออกเดินทางแต่เช้าตรู่อีกแล้ว เพราะวันนี้เราต้องไปเกียวโต กันนั่นเอง
เราออกเดินทางเช้าขนาดไหน โปรดสังเกตรูปด้านล่าง ในรถไฟใต้ดิน ไม่มีคนเลยยย
โล่งมาก โพสท่าได้เต็มที่ แต่นางแบบตายังไม่เปิด
จากโอซาก้า ไป เกียวโตใช้เวลาประมาณ 30 นาที โดยเราจะออกเดินทางจากโอซาก้าที่สถานี Umeda(Hankyu) และไปลงที่สถานี Kawaramichi (Kyoto) จากนั้นต่อ Taxi เพื่อไปวัด Kiyomizu หรือวัดน้ำใสนั่นเอง (จากสถานีนี้นั่งไปไม่ถึง 5 นาที)
หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมเราไม่ลงสถานีเกียวโต แล้วนั่งรถบัส เหมือนที่รีวิวอื่นๆเค้าทำ ไม่ใช่เพราะเราอินดี้หรือตังค์เหลือหรอกนะ (เหอๆ ยิ่งใกล้วันกลับ กระเป๋ายิ่งแฟ่บ) แต่เพราะวันนี้เป็นวันที่ 31 ธันวาคม เป็นวันสิ้นปีนั่นเอง เราคาดว่าวันนี้ทั้งคนญี่ปุ่น ทั้งนักท่องเที่ยวคงหลั่งไหลกันมาที่เกียวโตแน่ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงรถติด และความแออัด เราจึงเลือกเส้นทางแบบนี้
เอาหละ ความพิเศษของการเที่ยววันนี้คือ..
เราจะไม่เที่ยวในชุดธรรมดาๆ แต่เราจะไปแปลงโฉมเป็นสาวญี่ปุ่น ด้วยชุดกิโมโนกัน
ในเกียวโตมีร้านให้เช่าชุดกิโมโนเพื่อใส่ชมเมืองอยู่หลายที่ เราเลือกที่ Okamoto Kimono เพราะ อยู่ใกล้วัด Kiyomizu และที่สำคัญนอกจากมีชุดให้เช่าแล้ว ที่นี่เค้ายังมีบริการทำผมให้อีกด้วย (เริศ ที่สุด)
แต่ก่อนจะมาควรจองคิวมาก่อน เพราะร้านนี้เป็นร้านที่มีชื่อเสียง และมีลูกค้าเยอะมาก สามารถจองคิวผ่านทางเว็บไซต์ โดยเลือกวัน เวลา package จำนวนคน แล้วก็กดส่ง จากนั้นทางร้านจะส่ง e-mail คอนเฟิร์มกลับมาให้ จองทาง Link นี้ได้เลย
สำหรับ Package ทางร้านเค้าจะมีให้เลือก 3 แบบ โดยราคาก็จะแตกต่างกันไป ตั้งแต่ 3,000 เยน, 4,000 เยน และก็ 5,000 เยน แล้วแต่ละอันแตกต่างกันตรงไหน ? อธิบายแบบง่ายๆก็คือ ยิ่งราคาแพงก็จะมีแบบกิโมโนให้เลือกเยอะขึ้น และลวดลายที่สวยงามมากขึ้นนั่นเอง
รายละเอียดแต่ละ Package
Credit:http://www.okamoto-kimono.com
ร้านนี้จะมีทั้งหมด 4 สาขา สาขาที่เราไปคือ สาขา Kiyomizu ดูจากแผนที่อันนี้ได้เลย ตั้งอยู่บนเนินก่อนถึงทางเข้าวัด
แผนที่ร้าน
Credit: http://www.okamoto-kimono.com
จุดสังเกตุคือ จะมีหุ่นใส่ชุดกิโมโนตั้งอยู่ตรงทางเข้า เห็นหุ่นนี้ปุ๊บ ให้เลี้ยวเข้ามาในซอกตึกแคบๆนี้ แล้วเดินตรงเข้าไปเลย ร้านจะอยู่ด้านใน
ปากทางเข้าร้าน
Credit: http://www.okamoto-kimono.com
นี่คือซอยทางเข้าร้าน นายแบบอาจจะบังไปสักหน่อย ;)
ป้ายร้านสีแดงๆข้างหลัง
เข้าไปในร้าน เค้าก็จะให้เราเลือกกิโมโน แล้วก็โอบิ จากนั้นเค้าก็จะมาช่วยเราแต่งตัว กิโมโนที่นี่เป็นแบบดั้งเดิมจริงๆ ไม่ใช่แบบสำเร็จรูป จึงต้องมีคนมาช่วยใส่ ช่วยผูก วิธีการซับซ้อนมากกก ใส่เองไม่ได้แน่นอนแบบนี้
เราจะสามารถใส่ชุดนี้ได้ตั้งแต่ 9 โมงเช้า จนถึง 6 โมงครึ่ง (จริงๆร้านปิดสองทุ่ม แต่ทางร้านจะขอร้องให้กลับมาคืนชุดอย่างช้าที่สุด 6 โมงครึ่ง) ส่วนชุดที่เราใส่มาสามารถฝากไว้กะทางร้านได้ ไม่หายแน่นอน
ใส่ชุดเสร็จเค้าก็จะพาไปทำผมในห้องข้างๆ มีเครื่องประดับผมให้เลือกเยอะมากก โอ๊ยย เราแฮปปี้สุดๆ สนุกกับการแต่งตัวครั้งนี้ ส่วนเรื่องทรงผม เราสามารถเลือกได้ มี3 ทรง ตามรูป
ทรงผม
Credit: http://www.okamoto-kimono.com
เราเลือกแบบแรก คือยีผมแล้วรวบเอามาไว้ด้านข้าง ช่างทำผมที่นี่ก็เทพมาก ทรงที่ดูยากๆเหล่านี้ เค้าสามารถเนรมิตให้เราได้อย่างง่ายดาย ภายใน 5 นาที ไม่ต้องกลัวช้า หรือว่าจะเสียเวลาเที่ยวเลย
ทรงผมที่ได้ถูกใจเรามาก ไม่น่าเชื่อว่าใช้เวลาทำแค่ไม่กี่นาที
แปลงโฉมเสร็จแล้ววว
นี่คือทรงผมด้านหลัง
หลายคนอาจจะสงสัย อ่าวว แล้วฝ่ายชายหละ ? ผู้หญิงสวยได้ฝ่ายเดียวหรอ?
แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้คุณแฟนของเราไม่ยอมน้อยหน้าเราแน่นอน he ขอแปลงโฉมด้วย ชุดจัดเต็ม พอๆกัน
"พี่อยากใส่แนว ซามูไร หรือนินจาอะ" หลังจากเรายืนยันว่าทางร้านเค้าไม่มีหรอก จึงได้ออกมาเป็นชุดนี้แทน
และนี่คือ Sweet Gimmick ของเมืองนี้นั่นเอง มันคือการเพิ่มความหวาน และรสชาตของทริปนี้ ด้วยการเดินเตาะแตะในรองเท้าเกี๊ยะ และชุดกิโมโนไปด้วยกัน เหมือนคู่รักสมัยโบราณยังไงอย่างงั้นเลย
ชุดพร้อม คนก็พร้อม เดินขึ้นไปตามเนินนี้สักพักก็จะเจอกับทางเข้าวัดน้ำใส หรือ วัดคิโยมิซึ จริงๆ เดินแป๊บเดียวก็ถึง แต่เนื่องจากระหว่างทางก็จะมีร้านขายขนม และของที่ระลึกคอยล่อนักท่องเที่ยว ให้เข้าไปติดกับ เสียตังอยู่ตลอดเวลา กว่าจะได้ถึงวัดจริงๆ ก็เสยเวลาไปพอสมควร
ภายในวัดมีการทำพิธีสำหรับขึ้นปีใหม่ แผ่นป้ายตัวอักษรนี้เป็นคำอวยพรของปีหน้า คำนี้แปลว่าโชคดี
มาเที่ยวที่นี่ก็ห้ามพลาดกับการถ่ายรูปมุมนี้ ต้องมีสัก1 รูป มุมมหาชน มาหน้าหนาว ต้นไม้เลยเหลือแต่กิ่งก้าน ใบหายหมด
อีกหนึ่งที่ ที่เป็น Sweet Gimmick ของเรา สำหรับเมืองเกียวโตก็ ก็อยู่ในวัดคิโยมิสึแห่งนี้นี่แหละ มันก็คือ หินเสี่ยงทายความรัก ! แล้วเราจะพลาดได้อย่างไร ในบริเวณวัดคิโยมิสึจะมีศาลเจ้าเล็กๆแห่งหนึ่งชื่อว่า ศาลเจ้าจิชู (Jishu shrine) ที่ได้รับการขนานนามว่า ศาลเจ้าแห่งความรัก
ทางเข้า ศาลเจ้า Jishu
ภายในศาลเจ้าจะมีหิน 2 ก้อน ตั้งอยู่ห่างจากกันประมาณ 10 กว่าเมตร โดยหิน 2 ก้อนนี้แหละ คือเครื่องเสี่ยงทายความรัก แล้วต้องทำยังไงบ้าง ? เอาหละ ตั้งใจฟังขั้นตอนกันดีดี
ใครที่ไปเป็นคู่ ให้ไปยืนกันที่หินคนละก้อน และให้ฝ่ายนึง ปิดตา จากนั้นเดินไปหาอีกฝ่ายให้ได้ ถ้าเดินไปเจอกับอีกฝ่ายได้ ถือว่าคนนี้แหละคือคู่แท้ของเรา ส่วนคนที่ยังไม่มีคู่ ก็ให้ปิดตาแล้วเดินไปที่หินอีกฟาก ถ้าเดินไปถึงหินได้ ก็จะได้เจอเนื้อคู่ (ความเห็นส่วนตัว ถ้าเดินไม่ถึงหินอีกฟาก แต่ชนหนุ่มๆ ระหว่างทาง ก็คว้าเลย คนนั้นแหละ) ใครทำไม่สำเร็จอย่าพึ่งท้อนะ ไปซื้อพวกเครื่องรางความรักมาช่วยแก้เคล็ดได้ ที่ศาลเจ้าแห่งนี้ก็มีขาย มีให้เลือกเยอะด้วย... เหมามาเลย
หินเสี่ยงทายความรัก
คู่เราไปถึงก็เริ่มปฏิบัตตามขั้นตอนที่อ่านมาทันทีโดยไม่รอช้า (ตื่นเต้นๆ จะใช่มั้ยน้าา) เราให้คุณแฟนเป็นฝ่ายปิดตา ส่วนเรายืนรอ
"คุณแฟน พร้อมมั้ยยย" เรายืนรอ พร้อมสุดๆ
"พร้อมๆ" เสียงสั่นๆ คงกลัวว่าถ้าเดินไม่ตรง ไม่เจอเรา ทริปนี้อาจเป็นทริปขมขื่นได้
ก้าวหนึ่ง ก้าวสอง ก้าวสาม ยังตรงอยู่ๆ ก้าวสี่ ก้าวห้า...................... ถึงพอดี เย้!!!
ถ่ายรูปคู่กับหินเสี่ยงทาย เป็นที่ระลึก
"สรุปคือคู่เราเป็นคู่แท้นะ" เสียง he ฟังดูโล่งใจมาก
"จ้าาา แท้แน่นอน " (ในใจคิดว่าถ้าแฟนเราเดินมาไม่สำเร็จ จะให้เดินอยู่นั่นแหละ หรือไม่เด๋วชั้นเดินไปหาเองเลย ยังไงวันนี้เราต้องได้พบกัน 555555)
กระต่าย สัตว์คู่กายของเทพเจ้าแห่งความรัก
อีกจุดที่เป็นที่มาของชื่อวัดนี้ ก็คือจุดที่มีน้ำจากน้ำตก โอโตวะไหลลงมา คนญี่ปุ่นเชื่อว่าน้ำนีมีความศักสิทธ์และ การดื่มน้ำจากสายน้ำ 3 สายนี้ จะช่วยให้สมหวังในเรื่องเรียน เรื่องความรัก และอายุยืน
เดินเล่นภายในบริเวณวัดไปเรื่อย ก็เจอกับมุมในสวน ที่มีสระบัวเล็กๆ ตรงนี้ไม่มีใครเลย เลยได้รูปสวยๆ แบบส่วนตัวมาอีก 1 รูป
เริ่มหิว (อีกแล้ว) สายตาเราเลยเริ่มมองหาร้านขายของกินภายในวัด สายตาก็ไปเจอกับร้านเล็กๆร้านนึงเข้า เป็นร้านขายชาเขียว โอ๊ะ ไหนๆก็ใส่ชุดกิโมโนแล้ว ไปนั่งกินดังโงะ และจิบชาเขียว หน่อยดีกว่า มันช่างให้ฟีลญี่ปุ่นแท้ๆ ดีจริงๆ
มุ่งหน้าสู่จุดหมายปลายทางต่อไป นั่นก็คือ Fushimi Inari Shrine อันโด่งดังนั่นเอง
ออกจากวัด เดินไปขึ้นรถไฟที่สถานี Kiyomizu-gojo ระหว่างทางสายตาเราก็เหลือบไปเห็น เหล่าไมโกะ กลุ่มนี้เข้า เราเลยพยายามเดินเข้าไปใกล้เพื่อถ่ายรูป
"คิคิคิ" ได้ยินเสียงหัวเราะจากคุณแฟนที่เดินตามเรามาห่างๆ
"ขำอะไร มิทราบ"
"คุณแฟน ดูนี่สิๆ" แล้วก็ยื่นกล้องมาให้เราดู
ในกล้องคือภาพนี้ 5555 เนียนๆ ไปกะเค้าด้วย
คนไหนไม่เข้าพวก ?
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น