ทีเซอร์ ฉิมพลีสวาท

บทนำ
สดายุมองชายผ้านุ่งของผู้เป็นชายาที่ถูกรั้งให้ร่นขึ้นไปอยู่บริเวณกลางขา ขณะที่มือของนางกำนัลได้ลูบไล้ขัดสี โดยแทรกมือผ่านชายผ้าขาวเนื้อเบาบางที่เมื่อเปียกน้ำแล้วแทบไม่สามารถปกปิดอะไรได้เลย
เขามองตามมือที่แทรกเข้าไปภายใต้เนื้อผ้าเพื่อขัดสีให้สิมันตรา การได้เห็นผิวกายนวลขาวของเธอโดนลูบไล้อย่างนั้น ทำให้ความปรารถนาของเขาลุกโชน
สกุณีได้นำยาสระผมที่ทำมาจากพฤกษาซึ่งให้กลิ่นหอมสดชื่นชโลมลงบนศีรษะของผู้เป็นราชินี
ผู้ครองสุบรรณสูดกลิ่นหอมที่ส่งกลิ่นมายังอีกฝั่งที่เขานั่งอยู่ นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกปั่นป่วน อยากครอบครองร่างหอมเย้ายวนของชายา
สิมันตราค่อยๆ ลืมตา และได้เห็นสดายุที่มองมาราวกับปรารถนาจะร่วมรักกับเธอ นั่นเองที่ทำให้หน้าแดง เลือดในกายสูบฉีด เพราะนึกถึงบทรักที่หนักหน่วงของอีกฝ่ายแล้วก็รู้สึกติดใจในรสสัมผัสที่มอบให้มา
สิมันตราไม่ปฏิเสธว่า มีความสุข และชอบรสสวาทที่เขาใช้เป็นบ่วงพันธนาการเธอ
ผู้ครองสุบรรณมองร่างของชายาที่กำลังถูกชำระล้าง หลังจากขัดสีถูตัวเสร็จแล้ว
ฟองของยาสระผมที่ค่อยๆ ไหลลงมา ทำให้สิมันตราหลับตาอีกครั้ง
เขามองผิวกายที่ลื่นไปด้วยฟองสบู่ของเธอแล้วก็ไม่สามารถบังคับความเป็นชายที่ค่อยๆ ผงาดขึ้นมา
“พวกเจ้าออกไปได้แล้ว”สดายุสั่ง
“เพคะ”เหล่านางกำนัลรีบวางมือก่อนจะรีบออกไป
สิมันตราค่อยๆ ลืมตา มองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
เขาแววตากรุ้มกริ่ม ริมฝีปากยิ้มน้อยๆ จากนั้นก็ลุกจากบันได แล้วเดินวนมายังบันไดฝั่งที่ชายานั่งอยู่
สดายุนั่งลงด้านหลังของสิมันตรา มือของเขาโอบสัมผัสร่างนุ่มนิ่มของเธอด้วยแรงแห่งความปรารถนา
สิมันตราเลือดในกายแล่นพล่าน รู้สึกรุมร้อนแม้ร่างกายจะเปียกปอนไปด้วยน้ำก็ตาม และยิ่งเมื่อมือขวาของเขาบีบนวดเนินอกนุ่มหยุ่น ก็ยิ่งทำให้เธอดั่งโดนไฟแผดเผา
*_____________________________*
ลิงค์ตอนที่ 1
http://pantip.com/topic/34084184
ลิงค์ตอนที่ 2
http://pantip.com/topic/34086863
ลิงค์ตอนที่ 3
http://pantip.com/topic/34090542
ลิงค์ตอนที่ 4
http://pantip.com/topic/34095537
ลิ้งค์ตอนที่ 5
http://pantip.com/topic/34101345
ลิ้งค์ตอนที่ 6
http://pantip.com/topic/34107769
บทที่ 7 สู่ฉิมพลี
ครอบครัวของสิมันตรารวมถึงสุเรนและทีมงานถ่ายภาพพรีเว็ดดิ้งเดินทางมาถึงทะเล เพื่อจะถ่ายภาพคู่บ่าวสาวและครอบครัว
“เดี๋ยวก็ทานอาหารกันก่อนนะ แล้วค่อยเริ่มถ่ายภาพกัน”พันทราเทวีกล่าว
“ค่ะคุณย่า”สิมันตรายิ้มให้
“มาเถอะอัปสรา”พันทราเทวียื่นมือไปจับมืออัปสรให้เดินไปพร้อมๆ กัน โดยทิ้งให้พัทติยะเดินตามหลังมาพร้อมกับชยะวรมัน
“คุณย่ากับคุณยายนี่ ไปไหนก็ตัวติดกันตลอดเลยนะคะ”สิมันตราชื่นชม
“ก็แน่อยู่แล้ว”พันทราเทวียิ้มรับ
ทางด้านสายน้ำได้เดินหน้าบึ้ง เพราะเขาเองไม่เห็นด้วยเรื่องการแต่งงาน ด้วยคิดว่าลูกสาวของตัวเองยังอายุน้อยเกินไปที่จะมีครอบครัว
“มาถึงขั้นนี้แล้ว ทำใจเถอะค่ะ”มัทนาปลอบ
“ผมไม่เข้าใจคุณแม่เลยจริงๆ ทำไมต้องรีบให้หลานแต่งงานด้วย แล้วแต่งกับใครไม่แต่ง ให้แต่งกับพวกครุฑซึ่งเป็นศัตรูกับนาคราชอย่างพวกเรามาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล”สายน้ำถอนหายใจ
“เชื่อคุณแม่เถอะค่ะ แล้วจะดีเอง ดูอย่างตอนคุณกับฉันเป็นตัวอย่าง ตอนแรกที่เราหมั้นหมายกัน คุณเองก็คัดค้าน แต่ในที่สุดเราก็รักกัน มันไม่ใช่เพราะผู้ใหญ่จับคู่ให้เหรอคะ”มัทนากล่าว
“มันคนละเหตุการณ์กันเลยนะมัท”เขาแย้ง
“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณแม่พันทรา มัทเชื่อว่า เราคงไม่ได้แต่งงานกัน”เธอมองหน้าเขาก่อนจะเดินทิ้งห่างไป
“โธ่ มัท”สายน้ำรีบเดินตามไปง้อ
ภูผาและสุเรนเดินคุยกันอยู่ สิมันตราก็เดินเข้ามาสมทบ
“คุยอะไรกันคะ ขอร่วมวงด้วยได้ไหม”เธอยิ้มให้
“ได้อยู่แล้ว”ภูผายกมือขึ้นขยี้ศีรษะน้องสาวอย่างรักใคร่เอ็นดู “ว่าแต่ทำไมวันนี้อุ้มไม่มาด้วย”
“สิชวนแล้วนะ แต่เห็นว่ามีธุระสำคัญจะต้องกลับไปต่างจังหวัด”สิมันตรากล่าว “ถ้าอุ้มมาด้วยก็คงจะดีกว่านี้”
“มีกันแค่นี้ก็ไม่แย่นะน้องสิ”สุเรนพูดขึ้น
“ใช่ มันก็ไม่แย่ซะหน่อย”ภูผาปลอบ “เดี๋ยวพี่จะไปดูแลทีมงานช่างภาพเสียหน่อย สิก็ไปเดินเล่นกับพี่เรนพลางๆ นะ”ภูผาบอก
“ผากด้วยนะคะพี่ภู”สิมันตรายิ้มให้กับความใจดีของพี่ชาย
“จ้า พี่ไปล่ะ ไม่อยากเป็นก้างขวางคอ”ภูผาแซว ก่อนจะเดินแยกออกไป
*_____________________________*
อุมานิกายืนมองบรรยากาศของกรุงเทพผ่านกระจกหน้าต่างของคอนโด
“ขอโทษนะสิที่ต้องโกหกว่าติดธุระ”อุมานิกาถอนหายใจ
“เธอไม่เป็นฉัน เธอไม่รู้หรอกว่าฉันรู้สึกยังไง”อุมานิกามองไปยังดวงอาทิตย์ยามสายที่สาดส่องไปทั่วกรุงเทพ
สีทองเรืองรองราวกับเมืองอมร เงาสะท้อนของตึกราง
บ้างเล็กบ้างใหญ่ แตกต่างไปตามฐานะ
“ฉันพยายามแล้วที่จะไม่รู้สึกอะไร แต่มันก็ยากเหลือเกิน”อุมานิกาหลับตาลง นึกถึงความฝันที่มีสุเรน
ใบหน้าของเขา รอยยิ้มของเขา
ความสัมพันธ์ของสองเรา เป็นดั่งเงาที่ซ่อนเร้น
หลังจากที่ได้พบเจอกันอุมานิกาก็ฝันถึงสุเรนทุกคืน เขาได้เข้ามาในความฝันของเธอในทุกราตรีกาล
“คุณอยู่ในความฝันของฉัน ..แต่อยู่ในความจริงของเธอ”อุมานิการู้สึกเศร้า
*_____________________________*
ช่างภาพเริ่มทำการถ่ายภาพว่าที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวพร้อมกับครอบครัว ซึ่งบรรยากาศอบอุ่นดั่งที่ตั้งใจให้เป็นไป
สุเรนเองก็ดูกลมกลืนไปกับครอบครัวของว่าที่เจ้าสาวของเขา ถึงแม้นเขาจะไร้ญาติบนโลกมนุษย์แต่ก็ไม่ขาดมิตร โดยเฉพาะมิตรที่ดีอย่างภูผา
บรรยากาศการถ่ายภาพเป็นไปอย่างสนุกสนาน ครึกครื้น เป็นกันเอง
ทางด้านสดายุได้นำกองกำลังบินผ่านมหานที ซึ่งมีเพียงมหาวิบาก ยากต่อการผ่านพ้นไป
ทว่า เหล่าพญาครุฑจากวิมานฉิมพลีก็สามารถผ่านมาได้สีทันดรแล้วทีทันดรเล่า
สดายุและพญาครุฑจากวิมานฉิมพลีบินโฉบลงสู่ทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาล
สายตาของพวกเขามองไปยังภูเขาสูงชันสูงเสียดฟ้าซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อโลกและหิมพานต์
“ไม่อยากจะเชื่อว่าพวกเราจะผ่านสีทันดรต่างๆ มาได้”วิรุณหกกล่าวก่อนจะหันกลับไปมอง “ความรักหนอความรัก เกือบทำให้พวกข้าต้องมาตายหมู่กันเสียแล้วไหมล่ะ”
“เราจะพักกันที่นี่ใช่ไหมพระองค์”วิรุณหกหันไปถามผู้ครองสุบรรณ
“เอาผลไม้ทิพย์ให้ทุกตนกิน”สดายุสั่ง
“พระเจ้าค่ะ”วิรุณหกรีบทำตาม ขณะที่ปากก็ถามไม่หยุด “แล้วเราจะพักกันใช่ไหมพระองค์”
“ไม่ เราจะไปต่อ”ผู้ครองสุบรรณตอบ
“หา!”วิรุณหกเข่าอ่อน ถึงกับนั่งลงบนพื้น “บินติดต่อกันทั้งวันทั้งคืนมาห้าคาบสมุทรแล้วนะพระองค์”
อนุทินและครุฑอื่นๆ หัวเราะน้อยๆ เมื่อเห็นวิรุณหกหมดแรง
“เจ้าก็รู้ว่าไฟรักมันสุมอกเสด็จพี่อยู่ ขืนต้องรอ มีหวังไฟได้ลุกลามมาเผาเจ้าและพวกข้าด้วย”อนุทินยื่นมือมาให้ เพื่อจะฉุดรั้งวิรุณหกขึ้นลุกขึ้นยืน
“ไฟรักมันทรมานยิ่งกว่าไฟใดๆ ต่อให้ไฟจากสีทันดร ก็ไม่อาจเทียบเท่าไฟรักจากใจที่ปรารถนา”อนุทินพูดเมื่อวิรุณหกยืนขึ้นมาเผชิญหน้ากัน
“ท่านอุปราชพูดอย่างกับกำลังอยู่ในไฟรักด้วยกระนั้น”วิรุณหกแสดงความคิดเห็น
นั่นเองที่ทำให้อนุทินสีหน้าสลดลงทันใด แล้วรีบหันไปทางอื่น เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็นความโศกาที่แสดงออกมา
“ห้าคาบสมุทรที่สุดแสนจะหฤโหดพวกเจ้ายังผ่านมาได้ แล้วจะกลัวอะไรกับระยะทางอีกแค่เพียงน้อยนิด”สดายุหันมายิ้มให้
“พระเจ้าค่ะ หม่อมฉันรู้แล้วว่าไฟรักกำลังแผดเผาพระองค์ให้ไม่อาจรอช้าได้”วิรุณหกแซว
*_____________________________*
สุริยาเลื่อนลาลับ แสงยามอัสดงยังคงมีเสน่ห์ชวนให้หลงใหล การถ่ายภาพได้สิ้นสุดลงหลังตะวันตกดิน
ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วทานอาหารเย็นร่วมกัน
“เหนื่อยหรือเปล่า”สุเรนหันมาถามด้วยความห่วงใย
“ไม่ค่ะ ร้อนมากกว่า”สิมันตรากล่าว
“เดี๋ยวทานเสร็จไปเดินเล่นกันไหม”เขาชวน
“ได้ค่ะ”เธอตอบรับก่อนจะหันมาตักอาหารทะเลใส่จาน
“ชอบทานกุ้งหรือเปล่า”สุเรนใคร่รู้
“ค่ะ”สิมันตรายิ้มให้ “ของโปรดเลย”
“เดี๋ยวพี่แกะกุ้งให้นะ”เขาบอกก่อนจะยื่นมือไปหยิบกุ้งเผามาแกะเปลือก
ครอบครัวของสิมันตรามองแล้วก็พึงพอใจ โดยเฉพาะมัทนาที่มองมาทางสายน้ำ ราวกับว่า ยังจะคัดค้านการแต่งงานอีกหรือ
พันทราเทวีซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องการแต่งงานครั้งนี้ยิ้มอย่างพออกพอใจ เมื่อว่าที่หลานเขยและหลานสาวดูเข้ากันได้ดี
“พี่เรนชอบทานอะไรบ้างคะ”สิมันตราถาม
“พี่ชอบกินผลไม้มากกว่าอาหารจำพวกเนื้อ”เขาตอบ
“จริงด้วย พวกครุฑน่าจะชอบผลไม้”เธอเพิ่งนึกได้ “งั้นเดี๋ยวสั่งผลไม้มาเพิ่มดีกว่า”
“ไม่ต้องหรอก ที่มีอยู่ก็เยอะแล้ว”สุเรนยิ้มให้ “ขอบคุณค่ะ”
สิมันตรายิ้มตอบ ทั้งสองมองสบตากันและกัน
*_____________________________*
สุเรนและสิมันตราเดินเล่นกันบริเวณชายทะเล เสียงคลื่นและน้ำซัดสาดในยามที่แสงจันทร์ส่องลงมา
“พระจันทร์เต็มดวง”สิมันตรามองไปท้องฟ้าเบื้องบน
“ขึ้นสิบห้าค่ำเหรอ”สุเรนฉุกคิด
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”เธอสงสัย
“ทำไม”เขามองดวงจันทร์ที่มีเมฆค่อยๆ เข้ามาบดบังจนไม่สามารถมองเห็น
“ ..”สิมันตราหันมามองเขาด้วยความงุนงง
“พี่รู้สึกมีลางสังหรณ์บางอย่าง”สุเรนหลับตาลง ขณะที่ลมพัดแรง ทำให้คลื่นกระหน่ำพัดเข้าหาฝั่งลูกแล้วลูกเล่า
“มีอะไรเหรอคะ”เธออยากรู้
“พี่อาจจะแค่คิดมากไปเอง”เขาพยายามปัดความรู้สึกนั้นออกไป
“งั้นลงไปเล่นน้ำกันดีกว่าค่ะ จะได้ไม่ต้องคิดมาก”สิมันตราบอก พร้อมทั้งดึงมือเขาให้เดินลงทะเลไปด้วยกัน
“ว่ายน้ำแข่งกันไหม”เธอถามขณะที่เดินลงทะเลซึ่งลึกลงไปเรื่อยๆ
“ถ้าว่ายแข่งกันในร่างมนุษย์พี่ไม่น่าจะมีปัญหา”สุเรนกล่าว
“รับรอง สิไม่เล่นตุกติกแน่นอน สาบานว่าจะไม่แปลงกาย”สิมันตราให้คำมั่น
“ถ้าอย่างนั้นก็ลองดู อยากรู้เหมือนกันว่าใครจะชนะ”เขายิ้มให้
เธอรีบดำลงไปก่อน ขณะที่สุเรนยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น สายตามองไปยังร่างที่ดำผุดดำว่ายห่างออกไปเรื่อยๆ
สิมันตราหันกลับมาแล้วก็พบว่าเขายังยืนอยู่ที่เดิม ก็รู้ว่าตัวเองถูกหลอก
“นี่พี่แกล้งเค้าเหรอ”เธอรีบว่ายน้ำกลับมา จากนั้นก็แปลงร่างสู่นาคราชแล้วว่ายวนรอบๆ ตัวเขา
“เอ้ยๆ นี่ พี่ไม่เล่นนะ”สุเรนบอก
แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ร่างของเขาจมลงสู่น้ำวนที่สิมันตราสร้างขึ้น
“สิ”สุเรนดำผุดดำว่าย “พี่ ..ว่ายน้ำ ..ไม่เก่ง”
เธอคิดว่าเขายังคงแกล้ง จึงไม่รับฟัง
สุเรนดำดิ่งลงสู่ใต้ผืนน้ำ จมสู่ท้องทะเล ลมหายใจถูกพ่นออกมาเป็นฟองอากาศภายใต้ผืนน้ำสีน้ำเงินคล้ำ เพราะแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาทำให้ทะเลมีสีครึ้มทึม
สิมันตราค่อยๆ โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ สายตามองไปรอบๆ
“ขึ้นมาได้แล้วพี่เรน”เธอบอก “เค้าไม่แกล้งแล้ว”
เธอมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าสุเรนจะโผล่ขึ้นมา
“พี่เรน เค้าไม่เล่นแล้วนะ”สิมันตรามองเห็นแค่เพียงทะเลที่ว่างเปล่า “พี่เรน”
เธอใจคอไม่ดี มองไปทางไหนก็มีเพียงคลื่นและผืนน้ำ
“พี่เรน”สิมันตรารีบดำลงไปใต้ทะเล สายตาสาดส่ายมองหาสุเรนด้วยความเป็นห่วง
“ผุง!”ฟองอากาศค่อยๆ หมดไป ร่างของเขาค่อยๆ ดำดิ่งจมลึก
เปลือกตาของสุเรนค่อยๆ ปิดลง
ทันใดนั้นเอง สิมันตราในร่างนาคราชได้เข้ามานำร่างเขาขึ้นสู่ผืนน้ำ
ฉิมพลีสวาท ตอนที่ 7 สู่ฉิมพลี
บทนำ
สดายุมองชายผ้านุ่งของผู้เป็นชายาที่ถูกรั้งให้ร่นขึ้นไปอยู่บริเวณกลางขา ขณะที่มือของนางกำนัลได้ลูบไล้ขัดสี โดยแทรกมือผ่านชายผ้าขาวเนื้อเบาบางที่เมื่อเปียกน้ำแล้วแทบไม่สามารถปกปิดอะไรได้เลย
เขามองตามมือที่แทรกเข้าไปภายใต้เนื้อผ้าเพื่อขัดสีให้สิมันตรา การได้เห็นผิวกายนวลขาวของเธอโดนลูบไล้อย่างนั้น ทำให้ความปรารถนาของเขาลุกโชน
สกุณีได้นำยาสระผมที่ทำมาจากพฤกษาซึ่งให้กลิ่นหอมสดชื่นชโลมลงบนศีรษะของผู้เป็นราชินี
ผู้ครองสุบรรณสูดกลิ่นหอมที่ส่งกลิ่นมายังอีกฝั่งที่เขานั่งอยู่ นั่นยิ่งทำให้เขารู้สึกปั่นป่วน อยากครอบครองร่างหอมเย้ายวนของชายา
สิมันตราค่อยๆ ลืมตา และได้เห็นสดายุที่มองมาราวกับปรารถนาจะร่วมรักกับเธอ นั่นเองที่ทำให้หน้าแดง เลือดในกายสูบฉีด เพราะนึกถึงบทรักที่หนักหน่วงของอีกฝ่ายแล้วก็รู้สึกติดใจในรสสัมผัสที่มอบให้มา
สิมันตราไม่ปฏิเสธว่า มีความสุข และชอบรสสวาทที่เขาใช้เป็นบ่วงพันธนาการเธอ
ผู้ครองสุบรรณมองร่างของชายาที่กำลังถูกชำระล้าง หลังจากขัดสีถูตัวเสร็จแล้ว
ฟองของยาสระผมที่ค่อยๆ ไหลลงมา ทำให้สิมันตราหลับตาอีกครั้ง
เขามองผิวกายที่ลื่นไปด้วยฟองสบู่ของเธอแล้วก็ไม่สามารถบังคับความเป็นชายที่ค่อยๆ ผงาดขึ้นมา
“พวกเจ้าออกไปได้แล้ว”สดายุสั่ง
“เพคะ”เหล่านางกำนัลรีบวางมือก่อนจะรีบออกไป
สิมันตราค่อยๆ ลืมตา มองอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม
เขาแววตากรุ้มกริ่ม ริมฝีปากยิ้มน้อยๆ จากนั้นก็ลุกจากบันได แล้วเดินวนมายังบันไดฝั่งที่ชายานั่งอยู่
สดายุนั่งลงด้านหลังของสิมันตรา มือของเขาโอบสัมผัสร่างนุ่มนิ่มของเธอด้วยแรงแห่งความปรารถนา
สิมันตราเลือดในกายแล่นพล่าน รู้สึกรุมร้อนแม้ร่างกายจะเปียกปอนไปด้วยน้ำก็ตาม และยิ่งเมื่อมือขวาของเขาบีบนวดเนินอกนุ่มหยุ่น ก็ยิ่งทำให้เธอดั่งโดนไฟแผดเผา
*_____________________________*
ลิงค์ตอนที่ 1 http://pantip.com/topic/34084184
ลิงค์ตอนที่ 2 http://pantip.com/topic/34086863
ลิงค์ตอนที่ 3 http://pantip.com/topic/34090542
ลิงค์ตอนที่ 4 http://pantip.com/topic/34095537
ลิ้งค์ตอนที่ 5 http://pantip.com/topic/34101345
ลิ้งค์ตอนที่ 6 http://pantip.com/topic/34107769
บทที่ 7 สู่ฉิมพลี
ครอบครัวของสิมันตรารวมถึงสุเรนและทีมงานถ่ายภาพพรีเว็ดดิ้งเดินทางมาถึงทะเล เพื่อจะถ่ายภาพคู่บ่าวสาวและครอบครัว
“เดี๋ยวก็ทานอาหารกันก่อนนะ แล้วค่อยเริ่มถ่ายภาพกัน”พันทราเทวีกล่าว
“ค่ะคุณย่า”สิมันตรายิ้มให้
“มาเถอะอัปสรา”พันทราเทวียื่นมือไปจับมืออัปสรให้เดินไปพร้อมๆ กัน โดยทิ้งให้พัทติยะเดินตามหลังมาพร้อมกับชยะวรมัน
“คุณย่ากับคุณยายนี่ ไปไหนก็ตัวติดกันตลอดเลยนะคะ”สิมันตราชื่นชม
“ก็แน่อยู่แล้ว”พันทราเทวียิ้มรับ
ทางด้านสายน้ำได้เดินหน้าบึ้ง เพราะเขาเองไม่เห็นด้วยเรื่องการแต่งงาน ด้วยคิดว่าลูกสาวของตัวเองยังอายุน้อยเกินไปที่จะมีครอบครัว
“มาถึงขั้นนี้แล้ว ทำใจเถอะค่ะ”มัทนาปลอบ
“ผมไม่เข้าใจคุณแม่เลยจริงๆ ทำไมต้องรีบให้หลานแต่งงานด้วย แล้วแต่งกับใครไม่แต่ง ให้แต่งกับพวกครุฑซึ่งเป็นศัตรูกับนาคราชอย่างพวกเรามาตั้งแต่ครั้งบรรพกาล”สายน้ำถอนหายใจ
“เชื่อคุณแม่เถอะค่ะ แล้วจะดีเอง ดูอย่างตอนคุณกับฉันเป็นตัวอย่าง ตอนแรกที่เราหมั้นหมายกัน คุณเองก็คัดค้าน แต่ในที่สุดเราก็รักกัน มันไม่ใช่เพราะผู้ใหญ่จับคู่ให้เหรอคะ”มัทนากล่าว
“มันคนละเหตุการณ์กันเลยนะมัท”เขาแย้ง
“ถ้าไม่ใช่เพราะคุณแม่พันทรา มัทเชื่อว่า เราคงไม่ได้แต่งงานกัน”เธอมองหน้าเขาก่อนจะเดินทิ้งห่างไป
“โธ่ มัท”สายน้ำรีบเดินตามไปง้อ
ภูผาและสุเรนเดินคุยกันอยู่ สิมันตราก็เดินเข้ามาสมทบ
“คุยอะไรกันคะ ขอร่วมวงด้วยได้ไหม”เธอยิ้มให้
“ได้อยู่แล้ว”ภูผายกมือขึ้นขยี้ศีรษะน้องสาวอย่างรักใคร่เอ็นดู “ว่าแต่ทำไมวันนี้อุ้มไม่มาด้วย”
“สิชวนแล้วนะ แต่เห็นว่ามีธุระสำคัญจะต้องกลับไปต่างจังหวัด”สิมันตรากล่าว “ถ้าอุ้มมาด้วยก็คงจะดีกว่านี้”
“มีกันแค่นี้ก็ไม่แย่นะน้องสิ”สุเรนพูดขึ้น
“ใช่ มันก็ไม่แย่ซะหน่อย”ภูผาปลอบ “เดี๋ยวพี่จะไปดูแลทีมงานช่างภาพเสียหน่อย สิก็ไปเดินเล่นกับพี่เรนพลางๆ นะ”ภูผาบอก
“ผากด้วยนะคะพี่ภู”สิมันตรายิ้มให้กับความใจดีของพี่ชาย
“จ้า พี่ไปล่ะ ไม่อยากเป็นก้างขวางคอ”ภูผาแซว ก่อนจะเดินแยกออกไป
*_____________________________*
อุมานิกายืนมองบรรยากาศของกรุงเทพผ่านกระจกหน้าต่างของคอนโด
“ขอโทษนะสิที่ต้องโกหกว่าติดธุระ”อุมานิกาถอนหายใจ
“เธอไม่เป็นฉัน เธอไม่รู้หรอกว่าฉันรู้สึกยังไง”อุมานิกามองไปยังดวงอาทิตย์ยามสายที่สาดส่องไปทั่วกรุงเทพ
สีทองเรืองรองราวกับเมืองอมร เงาสะท้อนของตึกราง
บ้างเล็กบ้างใหญ่ แตกต่างไปตามฐานะ
“ฉันพยายามแล้วที่จะไม่รู้สึกอะไร แต่มันก็ยากเหลือเกิน”อุมานิกาหลับตาลง นึกถึงความฝันที่มีสุเรน
ใบหน้าของเขา รอยยิ้มของเขา
ความสัมพันธ์ของสองเรา เป็นดั่งเงาที่ซ่อนเร้น
หลังจากที่ได้พบเจอกันอุมานิกาก็ฝันถึงสุเรนทุกคืน เขาได้เข้ามาในความฝันของเธอในทุกราตรีกาล
“คุณอยู่ในความฝันของฉัน ..แต่อยู่ในความจริงของเธอ”อุมานิการู้สึกเศร้า
*_____________________________*
ช่างภาพเริ่มทำการถ่ายภาพว่าที่เจ้าบ่าวและเจ้าสาวพร้อมกับครอบครัว ซึ่งบรรยากาศอบอุ่นดั่งที่ตั้งใจให้เป็นไป
สุเรนเองก็ดูกลมกลืนไปกับครอบครัวของว่าที่เจ้าสาวของเขา ถึงแม้นเขาจะไร้ญาติบนโลกมนุษย์แต่ก็ไม่ขาดมิตร โดยเฉพาะมิตรที่ดีอย่างภูผา
บรรยากาศการถ่ายภาพเป็นไปอย่างสนุกสนาน ครึกครื้น เป็นกันเอง
ทางด้านสดายุได้นำกองกำลังบินผ่านมหานที ซึ่งมีเพียงมหาวิบาก ยากต่อการผ่านพ้นไป
ทว่า เหล่าพญาครุฑจากวิมานฉิมพลีก็สามารถผ่านมาได้สีทันดรแล้วทีทันดรเล่า
สดายุและพญาครุฑจากวิมานฉิมพลีบินโฉบลงสู่ทะเลทรายที่กว้างใหญ่ไพศาล
สายตาของพวกเขามองไปยังภูเขาสูงชันสูงเสียดฟ้าซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อโลกและหิมพานต์
“ไม่อยากจะเชื่อว่าพวกเราจะผ่านสีทันดรต่างๆ มาได้”วิรุณหกกล่าวก่อนจะหันกลับไปมอง “ความรักหนอความรัก เกือบทำให้พวกข้าต้องมาตายหมู่กันเสียแล้วไหมล่ะ”
“เราจะพักกันที่นี่ใช่ไหมพระองค์”วิรุณหกหันไปถามผู้ครองสุบรรณ
“เอาผลไม้ทิพย์ให้ทุกตนกิน”สดายุสั่ง
“พระเจ้าค่ะ”วิรุณหกรีบทำตาม ขณะที่ปากก็ถามไม่หยุด “แล้วเราจะพักกันใช่ไหมพระองค์”
“ไม่ เราจะไปต่อ”ผู้ครองสุบรรณตอบ
“หา!”วิรุณหกเข่าอ่อน ถึงกับนั่งลงบนพื้น “บินติดต่อกันทั้งวันทั้งคืนมาห้าคาบสมุทรแล้วนะพระองค์”
อนุทินและครุฑอื่นๆ หัวเราะน้อยๆ เมื่อเห็นวิรุณหกหมดแรง
“เจ้าก็รู้ว่าไฟรักมันสุมอกเสด็จพี่อยู่ ขืนต้องรอ มีหวังไฟได้ลุกลามมาเผาเจ้าและพวกข้าด้วย”อนุทินยื่นมือมาให้ เพื่อจะฉุดรั้งวิรุณหกขึ้นลุกขึ้นยืน
“ไฟรักมันทรมานยิ่งกว่าไฟใดๆ ต่อให้ไฟจากสีทันดร ก็ไม่อาจเทียบเท่าไฟรักจากใจที่ปรารถนา”อนุทินพูดเมื่อวิรุณหกยืนขึ้นมาเผชิญหน้ากัน
“ท่านอุปราชพูดอย่างกับกำลังอยู่ในไฟรักด้วยกระนั้น”วิรุณหกแสดงความคิดเห็น
นั่นเองที่ทำให้อนุทินสีหน้าสลดลงทันใด แล้วรีบหันไปทางอื่น เพื่อไม่ให้อีกฝ่ายได้เห็นความโศกาที่แสดงออกมา
“ห้าคาบสมุทรที่สุดแสนจะหฤโหดพวกเจ้ายังผ่านมาได้ แล้วจะกลัวอะไรกับระยะทางอีกแค่เพียงน้อยนิด”สดายุหันมายิ้มให้
“พระเจ้าค่ะ หม่อมฉันรู้แล้วว่าไฟรักกำลังแผดเผาพระองค์ให้ไม่อาจรอช้าได้”วิรุณหกแซว
*_____________________________*
สุริยาเลื่อนลาลับ แสงยามอัสดงยังคงมีเสน่ห์ชวนให้หลงใหล การถ่ายภาพได้สิ้นสุดลงหลังตะวันตกดิน
ทุกคนต่างแยกย้ายกันไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วทานอาหารเย็นร่วมกัน
“เหนื่อยหรือเปล่า”สุเรนหันมาถามด้วยความห่วงใย
“ไม่ค่ะ ร้อนมากกว่า”สิมันตรากล่าว
“เดี๋ยวทานเสร็จไปเดินเล่นกันไหม”เขาชวน
“ได้ค่ะ”เธอตอบรับก่อนจะหันมาตักอาหารทะเลใส่จาน
“ชอบทานกุ้งหรือเปล่า”สุเรนใคร่รู้
“ค่ะ”สิมันตรายิ้มให้ “ของโปรดเลย”
“เดี๋ยวพี่แกะกุ้งให้นะ”เขาบอกก่อนจะยื่นมือไปหยิบกุ้งเผามาแกะเปลือก
ครอบครัวของสิมันตรามองแล้วก็พึงพอใจ โดยเฉพาะมัทนาที่มองมาทางสายน้ำ ราวกับว่า ยังจะคัดค้านการแต่งงานอีกหรือ
พันทราเทวีซึ่งเป็นตัวตั้งตัวตีเรื่องการแต่งงานครั้งนี้ยิ้มอย่างพออกพอใจ เมื่อว่าที่หลานเขยและหลานสาวดูเข้ากันได้ดี
“พี่เรนชอบทานอะไรบ้างคะ”สิมันตราถาม
“พี่ชอบกินผลไม้มากกว่าอาหารจำพวกเนื้อ”เขาตอบ
“จริงด้วย พวกครุฑน่าจะชอบผลไม้”เธอเพิ่งนึกได้ “งั้นเดี๋ยวสั่งผลไม้มาเพิ่มดีกว่า”
“ไม่ต้องหรอก ที่มีอยู่ก็เยอะแล้ว”สุเรนยิ้มให้ “ขอบคุณค่ะ”
สิมันตรายิ้มตอบ ทั้งสองมองสบตากันและกัน
*_____________________________*
สุเรนและสิมันตราเดินเล่นกันบริเวณชายทะเล เสียงคลื่นและน้ำซัดสาดในยามที่แสงจันทร์ส่องลงมา
“พระจันทร์เต็มดวง”สิมันตรามองไปท้องฟ้าเบื้องบน
“ขึ้นสิบห้าค่ำเหรอ”สุเรนฉุกคิด
“มีอะไรหรือเปล่าคะ”เธอสงสัย
“ทำไม”เขามองดวงจันทร์ที่มีเมฆค่อยๆ เข้ามาบดบังจนไม่สามารถมองเห็น
“ ..”สิมันตราหันมามองเขาด้วยความงุนงง
“พี่รู้สึกมีลางสังหรณ์บางอย่าง”สุเรนหลับตาลง ขณะที่ลมพัดแรง ทำให้คลื่นกระหน่ำพัดเข้าหาฝั่งลูกแล้วลูกเล่า
“มีอะไรเหรอคะ”เธออยากรู้
“พี่อาจจะแค่คิดมากไปเอง”เขาพยายามปัดความรู้สึกนั้นออกไป
“งั้นลงไปเล่นน้ำกันดีกว่าค่ะ จะได้ไม่ต้องคิดมาก”สิมันตราบอก พร้อมทั้งดึงมือเขาให้เดินลงทะเลไปด้วยกัน
“ว่ายน้ำแข่งกันไหม”เธอถามขณะที่เดินลงทะเลซึ่งลึกลงไปเรื่อยๆ
“ถ้าว่ายแข่งกันในร่างมนุษย์พี่ไม่น่าจะมีปัญหา”สุเรนกล่าว
“รับรอง สิไม่เล่นตุกติกแน่นอน สาบานว่าจะไม่แปลงกาย”สิมันตราให้คำมั่น
“ถ้าอย่างนั้นก็ลองดู อยากรู้เหมือนกันว่าใครจะชนะ”เขายิ้มให้
เธอรีบดำลงไปก่อน ขณะที่สุเรนยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น สายตามองไปยังร่างที่ดำผุดดำว่ายห่างออกไปเรื่อยๆ
สิมันตราหันกลับมาแล้วก็พบว่าเขายังยืนอยู่ที่เดิม ก็รู้ว่าตัวเองถูกหลอก
“นี่พี่แกล้งเค้าเหรอ”เธอรีบว่ายน้ำกลับมา จากนั้นก็แปลงร่างสู่นาคราชแล้วว่ายวนรอบๆ ตัวเขา
“เอ้ยๆ นี่ พี่ไม่เล่นนะ”สุเรนบอก
แต่ก็ไม่ทันเสียแล้ว ร่างของเขาจมลงสู่น้ำวนที่สิมันตราสร้างขึ้น
“สิ”สุเรนดำผุดดำว่าย “พี่ ..ว่ายน้ำ ..ไม่เก่ง”
เธอคิดว่าเขายังคงแกล้ง จึงไม่รับฟัง
สุเรนดำดิ่งลงสู่ใต้ผืนน้ำ จมสู่ท้องทะเล ลมหายใจถูกพ่นออกมาเป็นฟองอากาศภายใต้ผืนน้ำสีน้ำเงินคล้ำ เพราะแสงจันทร์ที่สาดส่องลงมาทำให้ทะเลมีสีครึ้มทึม
สิมันตราค่อยๆ โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ สายตามองไปรอบๆ
“ขึ้นมาได้แล้วพี่เรน”เธอบอก “เค้าไม่แกล้งแล้ว”
เธอมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่มีวี่แววว่าสุเรนจะโผล่ขึ้นมา
“พี่เรน เค้าไม่เล่นแล้วนะ”สิมันตรามองเห็นแค่เพียงทะเลที่ว่างเปล่า “พี่เรน”
เธอใจคอไม่ดี มองไปทางไหนก็มีเพียงคลื่นและผืนน้ำ
“พี่เรน”สิมันตรารีบดำลงไปใต้ทะเล สายตาสาดส่ายมองหาสุเรนด้วยความเป็นห่วง
“ผุง!”ฟองอากาศค่อยๆ หมดไป ร่างของเขาค่อยๆ ดำดิ่งจมลึก
เปลือกตาของสุเรนค่อยๆ ปิดลง
ทันใดนั้นเอง สิมันตราในร่างนาคราชได้เข้ามานำร่างเขาขึ้นสู่ผืนน้ำ