เพียงหนึ่งดวงใจ บทที่ ๒

กระทู้สนทนา
บทนำ + บทที่ ๑  http://pantip.com/topic/33609275


เพียงหนึ่งดวงใจ บทที่ ๒

คนตัวโตราวยักษ์ปักหลั่นเดินตามคนตัวเล็กต้อยๆ มือน้อยเกาะเกี่ยวมือใหญ่จับจูงไปยังลำธารแห่งหนึ่ง น้ำใสเย็นไหลเอื่อยกระทบฝั่งเป็นครั้งคราว
    “นั่ง” เด็กสาวสั่งสั้นๆ พร้อมกับคว้าแขนของเขาดึงให้นั่งลง “นั่งซี่”

    “จะทำแผลตรงนี้น่ะนะ”

    “ก็ใช่น่ะสิ ต้องล้างแผลให้สะอาดก่อน” รอจนชายหนุ่มนั่งลงแล้วจึงชี้มือชี้ไม้ไปยังริมตลิ่ง “พวกนี้มันเป็นสมุนไพร ห้ามเลือดแล้วก็สมานบาดแผลได้ด้วย”
    ‘พวกนี้’ คือดอกหญ้าสีเหลืองอ่อนมีกลีบสามกลีบเกสรสีน้ำตาลเข้มขึ้นเป็นกลุ่มๆ ทอดยาวไปตามตลิ่ง

    “ตอนนี้หาได้เท่านี้ ไว้เจ้ากลับบ้านเมื่อไรค่อยหาสมุนไพรที่ดีกว่านี้    แล้วกัน”

    คนที่ไม่ค่อยมีความรู้เรื่องสมุนไพรมากนักหันไปจ้องดอกสีเหลืองอย่างพิจารณา ใครคนหนึ่งที่ยืนคุมเชิงทางด้านหลังก้มหน้าลงมากระซิบ
    “ไว้ใจได้หรือขอรับ”

    คนถูกถามเลิกคิ้ว นิ่งคิดอยู่อึดใจจึงอ้าปากจะตอบ แต่ยังไม่ทันเอื้อนเอ่ย ‘หมอจำเป็น’ กลับขัดขึ้นมาเสียก่อน

    “เราไม่ใส่ยาพิษบนแผลเจ้าหรอกน่า เราไม่ใช่คนใจร้าย” จบคำนั้นก็เดินไปทางด้านหลัง ก้มตัวสำรวจบาดแผลบนนั้น “อืม...แผลลึกเหมือนกันนา”

    มทนาลัยฉีกเสื้อของเขาให้กว้างขึ้นแล้วหันไปขอผ้าชุบน้ำกับลูกน้องของเขา ก่อนสั่งให้เก็บสมุนไพรเหล่านั้นมาสักกำมือหนึ่ง...จะบดให้ละเอียดก็คงไม่ได้ เพราะไม่มีอุปกรณ์ สุดท้ายเจ้าหล่อนจึงสั่ง

    “ใช้มือขยำๆ เอา” พอเห็นมีคนทำอยู่คนเดียว หล่อนจึงมองคนที่เหลือตาขุ่นควั่ก “แล้วพวกเจ้าน่ะยืนเฉยทำไม มาช่วยกันสิ!”

    คนพวกนั้นกุลีกุจอทำตามแข็งขัน ส่วนหล่อนก็หันมาทำความสะอาดบาดแผล ใช้ผ้าชุบน้ำหมาดๆ ในมือแตะลงบนปากแผลอย่างนุ่มนวลและระมัดระวัง
    มทนาลัยรู้ว่ามันต้องทั้งเจ็บทั้งแสบ แต่คนตัวโตกลับไม่สะดุ้งสะเทือนเลยแม้แต่น้อย

    “ไม่เจ็บเลยเหรอ” เจ้าตัวชะโงกหน้ามองคนที่เคี้ยวชมพู่ม่าเหมี่ยวอย่างเอร็ดอร่อยด้วยความฉงน “แผลขนาดนี้น่าจะเจ็บสิ”

    “ก็บอกแล้วว่าข้าไม่เป็นไร เจ้าไม่เชื่อเองนี่” เขาจับชมพูยัดปากจนหมด ก่อนใช้นิ้วชี้จิ้มหน้าผากของหล่อน แล้วดันไปด้านหลัง “กลับไปทำแผลให้ข้าได้แล้ว อย่าถามมาก”

    คนตัวเล็กปัดมือใหญ่อย่างแรง ทำปากยื่นยาวอย่างไม่สบอารมณ์  ถึงกระนั้นก็ยังก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดบาดแผลต่อไปแต่โดยดี

    “นี่ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าช่วยชีวิตเราไว้ เราไม่ทำแผลให้หรอก” พูดพลางหันไปขอสมุนไพรที่ขยำแล้วจากคนที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุด นำมาพอกบนปากแผลแล้วผูกผ้าคาดเอวของลูกน้องคนใดคนหนึ่งของเขารอบแผ่นอกกำยำ

    “เสร็จแล้ว!” เจ้าตัวยืดอกยกมือเท้าสะเอวแล้วมองผลงานของตัวเองอย่างภาคภูมิใจ “รับรองเลยว่าเลือดเจ้าจะไม่ไหลอีก แผลเจ้าก็จะดีขึ้นด้วย!”

    “ดีไม่ดีเดี๋ยวก็รู้”

    โจรป่าหันมามองหล่อนชั่วอึดใจก่อนจะคว้าข้อมือเล็ก ดึงให้นั่งลงตรงหน้าเขา

    “เจ้าอายุเท่าไรแล้ว”
    คนถูกถามเบิกตาโตเท่าไข่ห่าน ทำเสียงจิ๊จ๊ะในลำคอแล้วส่ายหน้า

    “เจ้าไม่รู้เหรอว่าถามอายุผู้หญิงแบบนี้มันหยาบคายมาก!”

    “ผู้หญิง เจ้าน่ะนะผู้หญิง! เฮอะ! ในสายตาข้าเจ้ายังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกอยู่เลย  ยังไม่เป็นผู้หญิงสำหรับข้าหรอก!”
    “เอ๊ะ! เราโตแล้วนะไม่ใช่เด็กๆ!”

    “เด็กสิ! เด็กมากด้วย!” ชายหนุ่มยกมือลูบไปตามแนวกรามของตัวเอง ทำสีหน้าครุ่นคิด อึดใจใหญ่ๆจึงดีดนิ้วเปาะ โพล่งออกไปว่า “แปดขวบ               ใช่รึเปล่า!...ข้ามั่นใจว่าเจ้ายังไม่เกินสิบแน่ๆ!”

    “จะบ้าเหรอ! เกินแล้ว!”

    “เกินแล้ว! นี่ข้าเดาผิดเหรอเนี่ย!” แสร้งทำสีหน้าผิดหวังแล้วยื่นหน้าเข้าไปกระซิบถาม “แล้วเกินมากี่ปีแล้วละ บอกมาเถอะน่า”
    คนตัวเล็กทำเสียงฮึในลำคอก่อนยกมือขึ้นมาบีบจมูกโด่งๆ นั้นอย่างแรง

    “ฝันไปเถอะ! ข้าไม่บอกหรอก!”

    “โอ๊ย!” คนตัวโตอุทาน พลางยกมือคลำปลายจมูกตัวเองป้อยๆ  ขณะที่เด็กสาวผุดลุกแล้วกระตุกคิ้วท้าทายเขา

    “เราไม่บอกเจ้าหรอก อย่ามาหลอกถามซะให้ยาก!” เจ้าหล่อนเหลียวซ้ายแลขวา สีหน้าเป็นกังวลขึ้นมาเล็กน้อย “เราต้องกลับแล้วละ”
    มทนาลัยโบกมือลา เผื่อแผ่ไปยังคนของเขาด้วย แต่ก่อนจะออกวิ่ง หัวหน้าโจรป่ากลับคว้าข้อมือหล่อนไว้อีก

    “อะไรอีกล่ะ! เราช่วยเจ้าทำแผลแล้วนะ ให้ทั้งชมพู่ แถมยังผ้าผูกข้อมือที่เราทั้งรักทั้งหวงนั่นอีก เจ้ายังไม่พอใจอีกเหรอ! เอ้า! ว่ามา! เจ้าอยากได้อะไรอีก!”

    โจรป่าลุกขึ้นยืน ตัวของเขาสูงมากจนหล่อนต้องแหงนเงยมอง

    “เดินในป่าคนเดียว อันตราย...ข้าจะไปส่ง”

    “ไม่ต้องๆ เราไม่ใช่เด็กๆ ที่ต้องมีคนพาไปนู่นมานี่ซะหน่อย เราจำทางได้ไม่หลงเหมือนตอนเด็กๆ หรอก!”

    “ตอนนี้เจ้าก็ยังไม่โตนะเด็กน้อย”

    คนถูกหาว่าเด็กยกมือกอดอก ชักสีหน้าไม่พอใจ แต่ก่อนที่จะทันได้เถียงหรือโต้แย้ง เขาก็ถามต่อโดยเร็ว
    “ข้ายังไม่รู้ชื่อเจ้าเลย...ทำความรู้จักกันหน่อยดีไหม”

    “ทำความรู้จัก”

    “อื้อ...ทำความรู้จัก” เขาส่งยิ้มให้หล่อน เป็นยิ้มของความจริงใจ  เอื้อเอ็นดูและเป็นมิตรจนกลบอารมณ์หงุดหงิดของหล่อนลงไปได้บ้าง
    “เจ้าชื่ออะไร”

    “แล้วเจ้าล่ะชื่ออะไร”

    เมื่อถูกย้อนถาม โจรป่าก็หัวเราะน้อยๆ ก่อนตอบ

    “เสือดำ” เขาตอบเสียงห้วนห้าว ก่อนถามกลับ “เจ้าล่ะ”

    คนถูกถามกลอกตาขึ้นฟ้า เอียงคอครุ่นคิดราวกับจำชื่อตัวเองไม่ได้เสียอย่างนั้น
    “เรา...เราชื่อ...กระต่ายน้อย!”

    คนฟังเลิกคิ้ว กวาดตามองเด็กตัวจ้อยตรงหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนพ่นเสียงหัวเราะออกมาอย่างหยุดไม่อยู่
    “เหมาะกับเจ้าดีนี่! ตัวเล็กๆ อ้วนๆ กลมๆ เหมือนไอ้เจ้าตัวนั้นเลย!”

    “เจ้าหาว่าเราอ้วนงั้นเหรอ!”

    นอกจากไม่ชอบคำว่าเด็กแล้ว เจ้าหล่อนท่าจำไม่ชอบคำว่าอ้วนๆ กลมๆด้วย เด็กสาวทำตาวาววะวับ...ดวงตาคู่นี้มีทั้งความใสซื่อบริสุทธิ์ มีทั้งความเมตตาปรานี และยามโกรธมักจะวาววามชวนมองยิ่งกว่าดวงตาของสตรีคนใดที่เขาเคยพบ

    “อ้วนแล้วไม่ดีตรงไหน” ใช่แค่พูด เขายังบีบแก้มของหล่อนอย่างหยอกล้อ “แก้มนิ่มๆ ยุ้ยๆ แบบนี้น่ารักจะตาย!”
    เด็กสาวแทบจะสำลักน้ำลายตัวเอง ดวงตากลมโตวาวโรจน์ด้วยโทสะทำให้คนชอบแกล้งนึกอยากแกล้งขึ้นมาอีก

    “อย่ามาจับแก้มเรานะ!” เจ้าหล่อนปัดมือเขาอย่างแรงแล้วถอยกรูด ก่อนจะยกมือคลำแก้มตัวเองป้อยๆ

    “เราไม่คุยกับเจ้าแล้ว!” มทนาลัยหมุนตัวหันหลัง ก้าวฉับๆ จากไป แต่เพียงแค่ห้าก้าว โจรป่าก็มาขวางทางหล่อนจนได้
    “อะไรอีกล่ะ!”

    “ให้คนของข้าไปส่งเถอะ” คราวนี้ดวงตาที่มองสบมาทีแต่ความจริงจัง และมีความห่วงใยเต็มเปี่ยม
    “ก็เราบอกแล้วว่าไม่เป็นไร แถวนี้เรามาบ่อย ไม่หลงหรอก”

    คนตัวโตทอดถอนใจราวกับเอือมระอา “ดื้อ!”

    “ไม่นะ” หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่ เด็กสาวก็สั่นศีรษะดิก “เราไม่ได้ดื้อ”

    “แบบนี้นี่แหละดื้อ”

    “เราไม่...”

    การถกเถียงคงไม่มีวันจบ เพราะคนตัวเล็กทำท่าว่าจะไม่ยอมแพ้ โจรป่าน่าจะไม่อยากเสียเวลาจึงยกมือยอมแพ้
    “เอาเถอะ! กลับเองก็กลับเอง!”

    มทนาลัยยิ้มกว้าง มองเขาด้วยตายิบหยี

    “งั้นเราไปละนะ” ยกมือโบกลาอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเดิน เขาก็คว้าต้นแขนของหล่อนไว้เสียก่อน

    “ขอบคุณที่ทำแผลให้” เอ่ยพลางดึงสร้อยเส้นหนึ่งออกทางศีรษะ...เป็นสร้อยเส้นยาว มีป้ายเหล็กห้อยอยู่...บนนั้นสลักตักอักษรไว้ตรงกลาง

    “เสือดำ”

    “ชื่อข้าไง” จบคำนั้นเขาก็สวมมันลงบนศีรษะของหล่อน “ข้าให้... เป็นที่ระลึกว่าเราเคยได้พบกัน”

    เด็กสาวจับป้ายเหล็กนั้นไว้ในมือและก้มมองอย่างพิจารณา
    “ไม่ชอบเหรอ”

    พอหล่อนเงยหน้า...ดวงตาเป็นประกายคือคำตอบโดยที่ไม่จำเป็นต้องพูดอะไร

    “ให้เราจริงๆ เหรอ”
    “อื้อ”

    “มันไม่ใช่ของสำคัญของเจ้าเหรอ”

    “มันเป็นของสำคัญของข้า” ชายหนุ่มดึงผ้าผูกข้อมือที่เหน็บไว้ที่เอวออกมา  ชูเสมอไหล่ “เจ้าเองก็ให้ของที่เจ้ารักกับข้า ข้าก็ควรให้เจ้าเช่นกัน”
    “แต่...เราให้ก็เพราะเจ้าช่วยชีวิตเราไว้”

    “เจ้าเองก็ช่วยทำแผลให้ข้าเหมือนกัน รับไว้เถอะน่า ผู้ใหญ่ให้ของก็ต้องรับสิ!” คนตัวโตดีดนิ้วกลางหน้าผากเกลี้ยงเกลา มทนาลัยอุทานเบาๆ ก่อนยกมือถูไถหน้าผากของตนไปมา ขณะที่เขาโน้มตัวลงเพื่อมองจ้องหล่อนใกล้ๆ

    “หวังว่าจะได้พบกันอีก”

    การพบกัน...น่าจะยาก กระนั้นเด็กสาวก็ยังพยักหน้า

    “อื้อ...เราต้องได้พบกันอีกแน่ ต้องไปแล้วละ ขอบคุณที่ให้ของสำคัญกับเรา เราจะเก็บรักษามันไว้อย่างดี” จากนั้นก็ก้าวฉับๆ จากไป
    โจรป่าส่งสัญญาณสั่งลูกน้องให้เดินตามไปส่งแบบไม่ให้หล่อนรู้ตัว

    มทนาลัยเดินไปได้ไม่กี่ก้าว กระต่ายน้อยหันกลับมา ยิ้มกว้างทั้งปาก  ทั้งตา โบกมือเหยงๆ พร้อมกับเอ่ยคำลา

    “แล้วพบกันนะเสือดำ!” เมื่อหันกลับไป หล่อนก็เร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ป้ายเหล็กที่เขาคนนั้นมอบให้แกว่งไกวตามการก้าวย่าง เด็กสาวแตะมันแผ่วเบา ยังอุ่นๆ...ราวกับคนตัวโตฝากคำอำลามาถึงหล่อน

    “ลาก่อนเสือดำ” หล่อนพึมพำกับตัวเอง แล้วถลกผ้าซิ่นขึ้นก่อนออกวิ่งเต็มฝีเท้า

    เสือดำกับกระต่ายน้อยคงไม่มีทางได้พบกันอีก

    เป็นธรรมดาของโลก เมื่อมีพบก็ต้องมีจาก...ไม่จากเป็นก็จากตาย

    ทว่า...หากฟ้าลิขิตให้ได้พบ ย่อมต้องได้พบ...ในสักวัน!

โภไคย , ปัจจุบัน

    ลายมือขนาดใหญ่โย้ไปเย้มาซึ่งปรากฏบนกระดาษสีน้ำตาลอ่อนตรงหน้า ทำให้คนที่กำลังกวาดสายตาอ่าน ค่อยๆ แย้มมุมปากออกทีละน้อย       ก่อนจะกว้างขึ้นจนอวดไรฟันขาวสะอาดเรียงเป็นระเบียบชวนมองเมื่ออ่านประโยคถัดมา

    ริมาคิดถึง

    ภาพของเด็กตัวจ้อย กลมป้อม แก้มยุ้ย ปากแดงห้อยย้อยผุดขึ้นมาในความคิด

    เด็กหญิงวัยห้าขวบ แสนซน ช่างพูด และถอดพิมพ์เดียวมาจากผู้เป็นแม่ไม่ผิดเพี้ยน

    ริมาร้าก...

    เด็กที่เรียกตัวเองว่าริมาเขียน ก.ไก่ ลากยาวไปจนเต็มบรรทัด ก่อนจะเขียนคำว่ารักอีกนับสิบ

    รัก รัก รัก รักทุกคน ทั้งทูลหม่อมพ่อ ทูลหม่อมแม่ น้องวี อาอัศ อาอัง แม่นม...

    มีชื่ออีกหลายชื่อที่ไม่คุ้น แต่เด็กหญิงริมากลับตั้งหน้าตั้งตาเขียนราวกับมั่นใจว่าคนอ่านจะต้องรู้จัก

    แล้วก็...รักลุงรุทด้วยค่ะ มาหาริมาเร็วๆนะคะ ริมาจะรอ

    ลงท้ายด้วยชื่อเต็มๆของตนเอง ‘มธุริมา’...ชื่อที่แปลว่าความอ่อนหวาน  แต่จะอ่อนหวานได้อีกสักกี่ปีก็ยากจะคาดเดาในเมื่อผู้เป็นแม่ทั้งดื้อ ทั้งซน ทั้งแสบสันต์ลูกสาวก็คงไม่แคล้วเป็นลูกไม้หล่นไม่ไกลต้นแน่แล้ว

    เขาพับจดหมายฉบับนั้นเก็บไว้ในซอง เปิดลิ้นชักโต๊ะชั้นบนสุดซึ่งมีจดหมายฉบับอื่นวางซ้อนทับกันอยู่หลายสิบฉบับ เขาวางจดหมายลงไปในนั้น ปิดลิ้นชักเรียบร้อยจึงผุดลุก เดินไปที่หน้าต่าง ม่านรูดไว้ทางหนึ่งปล่อยให้แสงตะวันสาดส่องเข้ามาภายใน...อดไม่ได้ที่จะนึกถึงใครบางคน

    ดวงตาคมเรืองรองยามแสงตะวันส่องกระทบ...เป็นความเรืองรอง     เฉกเช่นทุกครั้งยามความทรงจำเมื่อหกปีก่อนผุดพร่างขึ้นมา

    เด็กตัวจ้อยแก้มยุ้ย ที่ทั้งดื้อ ทั้งซน ทั้งน่ารักสดใสคนนั้น...แม้ได้พบกันแค่ช่วงสั้นๆ แต่น่าแปลกที่เขากลับจดจำคนตัวเล็กขาสั้นไว้ในหัวใจไม่เคยลืมเลือน

    แม้เมื่อออกไปล่าสัตว์ เจอกระต่ายป่า เขายังไม่กล้าแม้แต่จะง้างสายธนู

    ‘ปล่อยมัน’

    หนำซ้ำยังสั่งให้คนอื่นๆปล่อยมันไปเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้น...เนื้อกระต่ายที่แสนโปรดปราน เขากลับไม่ยอมแตะต้อง
    ‘ไก่ป่าก็มี ไปล่ามาสิ’

    เพราะเหตุนี้ ออกลาดตระเวนคราใด สัตว์ที่เขาล่าและได้ทานเป็นประจำก็มีแค่ไก่ป่า หรือไม่ก็หมูป่าเพียงเท่านั้น ส่วนกระต่ายป่าของโปรดนั้นลืมไป       ได้เลย

    มุมปากของเขายกขึ้นเล็กน้อยเมื่อนึกถึงกระต่ายน้อยผู้นั้น...เด็กสาวที่สร้างความทรงจำประหลาดไว้บนหัวใจของเขา ให้เขาคิดถึงและระลึกถึง       เป็นบางครั้งคราว พร้อมกับคำถามในหัวใจ

    ‘ป่านนี้จะโตรึยัง’

    ‘ยังชอบวิ่งไล่กระต่ายอยู่รึเปล่า’

    ภาพของเด็กสาวผู้นั้นยามจากกันยังแจ่มชัด

    กระต่ายน้อยยิ้มกว้างทั้งปากทั้งตา โบกมือเหยงๆ พร้อมกับเอ่ยคำลา

    ‘แล้วพบกันนะเสือดำ!’

    เป็นคำอำลาครั้งสุดท้ายระหว่างกัน
    เสือดำกับกระต่ายน้อยไม่ได้พบกันอีกเลยนับตั้งแต่วันนั้น

    ผ่านมาหกปี อะไรๆย่อมเปลี่ยนไป กระต่ายน้อยเองก็คงเปลี่ยนไปเช่นกัน และถ้าบังเอิญได้พบกันอีกครั้ง เขาก็คงจำหล่อนไม่ได้
    ความคิดของเขาสะดุดลงเพียงแค่นั้นเมื่อได้ยินเสียงเคาะประตู


มีต่อค่ะ >>>
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่