หนึ่งใจในแผ่นดิน
ตอนที่ 55 (1/2)
สารวัตรใหญ่รวบรวมข้อมูลและหลักฐานพร้อม อีกทั้งพยานที่อยู่ในความดูแลก็ครบเช่นกัน ไม่นึกว่าคดีการลอบยิงเด็กช่างกลจะเชื่อมโยงกับการตามล่าลูกสมุนที่เหลือของนายพนาได้ และหลักฐานสำคัญอีกหนึ่งอย่างคือทองคำแท่งสลักสัญลักษณ์ของโจรป่าในตำนานจำนวนมากมายมหาศาลที่พบในคฤหาสน์ของเสี่ยบัญชาทำให้แน่ใจว่าคุณนายดาราเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับเวสต์วูดโดยไม่ต้องสงสัย
น่าเสียดายที่ตัวผู้ต้องหาสาวคนนี้หมดสิ้นลมหายใจก่อนนำตัวขึ้นศาลเพื่อไขข้อพิสูจน์คดีท้องถิ่นอีกเรื่องที่ทางเจ้าหน้าฝั่งนั้นลงทุนขุดศพขึ้นมากันทีเดียว
การผ่าพิสูจน์ศพได้รับการช่วยเหลือจากผู้ใหญ่บ้านที่ช่วยพูดเจรจากับเหล่าลูกบ้านและชาวหมู่บ้านกะเหรี่ยงให้เข้าใจ ส่วนคุณหมอสาวท้องถิ่นก็ให้ความร่วมมือกับทีมพิสูจน์หลักฐานที่ถูกส่งไปเสริม และความจริงที่ทำให้หลายๆ คนตกใจถูกเปิดเผยจนนำไปสู่การการจับกุมนักเลงเจ้าถิ่นนั่นคือ ผลการพิสูจน์ศพของหญิงสาวทั้งสอง
เมื่อคำสารภาพ หลักฐานทุกชนิด และคำให้การที่ตรงกันของพยานรู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดในที่เกิดเหตุ ขั้นตอนสุดท้ายที่เหลือคือรอศาลเรียกพิพากษาความผิดของนักโทษต่อไป
สารวัตรคนเก่งเก็บรูปถ่ายของนักโทษชายคดีฆ่าคนตายโดยเจตนาใส่ซองเพื่อเก็บเข้าแฟ้มอาชญากรสำคัญลำดับต่อจากนายพนา นึกอดใจไม่ได้ที่จะเปิดย้อนไปดูรูปถ่ายใบหน้าของโจรป่าผู้ล่วงลับ ตลอดเวลาที่ทำงานมา ไม่เคยเสียดายชีวิตแทนคนชั่วผู้ใด แต่เขากลับเสียดายชีวิตนายพนาผู้สร้างความเลวมากมายจนปิดบังความดีที่มีเพียงเศษธุลีไปจนหมด เสียดายแทนที่ไม่ได้รับรู้ว่ามีใครบางคนสู้คดีเพื่อเขา
เสียงเปิดประตูทำให้สารวัตรหันไปเอ่ยกับชายหนุ่มกำลังเดินตรงเข้ามาหา
“ข้าต้องขอบใจเอ็งมากที่ช่วยเหลือ” สารวัตรบอกกับชายหนุ่มที่กำลังรอฟังคำตันสินเมื่อเขาทำงานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จ
“สารวัตรยอมล้างคดีให้ผมแล้วหรือครับ” กลางถามเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง แม้ทางสารวัตรจะแจ้งผ่านผู้ใต้บังคับบัญชาไปแล้ว แต่ก็ยังให้เขามาพบที่นี่เพียงเพื่อพูดแค่นี้อย่างนั้นหรือ
“ไม่เชิงล้าง แต่ความดีความชอบนี้อาจช่วยให้เอ็งพ้นโทษจากคดีเก่าได้” นายตำรวจใหญ่เอ่ยบอกพลางนั่งลงบนเก้าอี้แล้วมองชายหนุ่มด้วยใบหน้าแช่มชื่นยินดี
“ถ้าอย่างนั้นผมจะช่วยจนจบคดีนี้เลยก็ได้นะครับ ถือซะว่าช่วยชาติ” กลางเสนอต่อ
แต่สารวัตรกลับทำหน้าเบะแล้วยกมือขึ้นทูนหัวเอ่ยพูดว่า
“ไม่ต้องแล้วพ่อคุณเอ๊ย แค่นี้เอ็งก็ประเสริฐศรีแล้ว บอกตามตรงเวลาเห็นเอ็งปฏิบัติงานทีไร หัวใจข้าทำงานหนักกว่าออกไปปะทะกับผู้ร้ายเสียเอง”
แต่แทนที่เขาจะดีใจกระโดดโลดเต้นที่เป็นไทจากประวัติคดีอาญา กลางกลับยิ้มเพียงนิดที่มุมปากแล้วเอ่ยขอบคุณ แล้วถามถึงเรื่องราวต่อ “แล้ว... พยานทุกคนถูกสอบปากคำเสร็จแล้วหรือครับ”
“ใช่ พวกพยานที่ต้องคอยระวังความปลอดภัยให้ก็ยังอยู่ในการควบคุมตัว” อัชวินเอ่ยพร้อมกับเลิกคิ้วเชิงถาม “แต่ถ้าเอ็งเจาะจงถามถึงเฉพาะแม่และน้องๆ ของเอื้อยล่ะก็ ไม่ต้องห่วง พวกเขาปลอดภัยดี”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ แม้จะไม่ได้เห็นมาได้พบหน้ากันแล้ว มูนไลท์ผับก็ถูกปิดไม่มีใครเข้ามาดูแลกิจการต่อ ส่วนเอื้อยผันจากโคโยตี้เป็นนักเต้นในแบบที่เธอชอบ เขายังได้เห็นเธอตามข่าวสังคมหรือข่าวกีฬาในฐานะว่าที่ภรรยาของนักแข่งลูกครึ่งชื่อดัง
แต่จนวันนี้เขายังเป็นห่วงเธออยู่เลย เขาอาจจะเป็นคนใจง่ายที่ใกล้ชิดใครแล้วก็หลงชอบคนนั้นทุกครั้งไป แต่กับเอื้อยแล้วมันแตกต่างกับผู้หญิงที่ผ่านมาในอดีตเพราะเธอทำให้เขารู้สึกถึงความรับผิดและอยากปกป้อง คำพูดที่บอกผ่านเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นยังสะท้อนก้องในหู เธอไม่ได้คิดอะไรกับเขาไปมากกว่าพี่ชาย แม้เธอจะบอกว่าไม่ได้โกรธเคืองเรื่องที่เขาเป็นต้นเหตุชีวิตบัดซบ แต่ส่วนลึกนั้นเธอคงไม่อยากมองหน้าคนที่ทำให้เห็นแต่อดีตที่เจ็บปวด
“แต่เอ็งมีข้อหาใหม่นะ มามะ... มาลงชื่อยอมรับข้อหาเสียดีๆ”
คำพูดของคนรุ่นพ่อทำให้เขาออกจากความคิดทันที
“ข้อหาใหม่ ?” ชายหนุ่มถามหน้างง
“ก็เสพยาไง เอ็งโดนข้อหาเสพยา ส่วนตฤณโดนข้อหามียาเสพติดในครอบครอง ฝากบอกตฤณด้วยว่าอย่าคิดหนี หลักฐานมีพร้อม บารมีพ่อของมันก็ช่วยอะไรไม่ได้ อ้อ... บอกมันด้วยว่าข้าขอทวงคำสัญญาที่มันให้กับข้าไว้”
“แต่ถ้าผมกับตฤณไม่ยอมรับข้อกล่าวหาล่ะครับ”
“ข้อหา ไม่ใช่ ข้อกล่าวหา” สารวัตรพูดช้าๆ ชัด ๆ “เอ็งก็จะโดนข้อหาหนักขึ้น แต่ถ้ายอมรับข้อหาก็จะลดโทษลง” สารวัตรยิ้มเผล่และยืนปากกาเชื้อเชิญให้ลงลายชื่อ
ดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่สนใจรับปากกามาลงชื่อเหมือนเคย กลางเอ่ยกับสารวัตรคนเก่งผู้ซื่อตรงต่อหน้าที่ช้า ๆ ชัดๆ ว่า
“ผมไม่ยอมรับข้อกล่าวหา อ้อ ผมไม่ว่าง มีสอบ ถ้าสะดวกเมื่อไหร่จะมาพร้อมกับตฤณ ในระหว่างนี้สารวัตรก็ทำการพิสูจน์หลักฐานไปก็แล้วกันครับ ผมไปล่ะ อ้อ... เรื่องรถมอเตอร์ไซค์ที่ให้ผมยืมใช้ ผมคืนให้นะครับ คิดว่าคงไม่ต้องใช้มันอีกแล้ว”
พูดจบก็เดินโบกมือลาหันหลังออกจากห้องพลางยกมือโบกลาทิ้งให้สารวัตรยืนถือปากกาค้างด้วยความงุนงง
หนึ่งใจในแผ่นดิน ตอนที่ 55 (1/2)
ตอนที่ 54 (2/3)http://pantip.com/topic/33060846
ตอนที่ 54 (3/3)http://pantip.com/topic/33069533
ตอนที่ 55 (1/2)
สารวัตรใหญ่รวบรวมข้อมูลและหลักฐานพร้อม อีกทั้งพยานที่อยู่ในความดูแลก็ครบเช่นกัน ไม่นึกว่าคดีการลอบยิงเด็กช่างกลจะเชื่อมโยงกับการตามล่าลูกสมุนที่เหลือของนายพนาได้ และหลักฐานสำคัญอีกหนึ่งอย่างคือทองคำแท่งสลักสัญลักษณ์ของโจรป่าในตำนานจำนวนมากมายมหาศาลที่พบในคฤหาสน์ของเสี่ยบัญชาทำให้แน่ใจว่าคุณนายดาราเป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับเวสต์วูดโดยไม่ต้องสงสัย
น่าเสียดายที่ตัวผู้ต้องหาสาวคนนี้หมดสิ้นลมหายใจก่อนนำตัวขึ้นศาลเพื่อไขข้อพิสูจน์คดีท้องถิ่นอีกเรื่องที่ทางเจ้าหน้าฝั่งนั้นลงทุนขุดศพขึ้นมากันทีเดียว
การผ่าพิสูจน์ศพได้รับการช่วยเหลือจากผู้ใหญ่บ้านที่ช่วยพูดเจรจากับเหล่าลูกบ้านและชาวหมู่บ้านกะเหรี่ยงให้เข้าใจ ส่วนคุณหมอสาวท้องถิ่นก็ให้ความร่วมมือกับทีมพิสูจน์หลักฐานที่ถูกส่งไปเสริม และความจริงที่ทำให้หลายๆ คนตกใจถูกเปิดเผยจนนำไปสู่การการจับกุมนักเลงเจ้าถิ่นนั่นคือ ผลการพิสูจน์ศพของหญิงสาวทั้งสอง
เมื่อคำสารภาพ หลักฐานทุกชนิด และคำให้การที่ตรงกันของพยานรู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดในที่เกิดเหตุ ขั้นตอนสุดท้ายที่เหลือคือรอศาลเรียกพิพากษาความผิดของนักโทษต่อไป
สารวัตรคนเก่งเก็บรูปถ่ายของนักโทษชายคดีฆ่าคนตายโดยเจตนาใส่ซองเพื่อเก็บเข้าแฟ้มอาชญากรสำคัญลำดับต่อจากนายพนา นึกอดใจไม่ได้ที่จะเปิดย้อนไปดูรูปถ่ายใบหน้าของโจรป่าผู้ล่วงลับ ตลอดเวลาที่ทำงานมา ไม่เคยเสียดายชีวิตแทนคนชั่วผู้ใด แต่เขากลับเสียดายชีวิตนายพนาผู้สร้างความเลวมากมายจนปิดบังความดีที่มีเพียงเศษธุลีไปจนหมด เสียดายแทนที่ไม่ได้รับรู้ว่ามีใครบางคนสู้คดีเพื่อเขา
เสียงเปิดประตูทำให้สารวัตรหันไปเอ่ยกับชายหนุ่มกำลังเดินตรงเข้ามาหา
“ข้าต้องขอบใจเอ็งมากที่ช่วยเหลือ” สารวัตรบอกกับชายหนุ่มที่กำลังรอฟังคำตันสินเมื่อเขาทำงานที่ได้รับมอบหมายสำเร็จ
“สารวัตรยอมล้างคดีให้ผมแล้วหรือครับ” กลางถามเพื่อความมั่นใจอีกครั้ง แม้ทางสารวัตรจะแจ้งผ่านผู้ใต้บังคับบัญชาไปแล้ว แต่ก็ยังให้เขามาพบที่นี่เพียงเพื่อพูดแค่นี้อย่างนั้นหรือ
“ไม่เชิงล้าง แต่ความดีความชอบนี้อาจช่วยให้เอ็งพ้นโทษจากคดีเก่าได้” นายตำรวจใหญ่เอ่ยบอกพลางนั่งลงบนเก้าอี้แล้วมองชายหนุ่มด้วยใบหน้าแช่มชื่นยินดี
“ถ้าอย่างนั้นผมจะช่วยจนจบคดีนี้เลยก็ได้นะครับ ถือซะว่าช่วยชาติ” กลางเสนอต่อ
แต่สารวัตรกลับทำหน้าเบะแล้วยกมือขึ้นทูนหัวเอ่ยพูดว่า
“ไม่ต้องแล้วพ่อคุณเอ๊ย แค่นี้เอ็งก็ประเสริฐศรีแล้ว บอกตามตรงเวลาเห็นเอ็งปฏิบัติงานทีไร หัวใจข้าทำงานหนักกว่าออกไปปะทะกับผู้ร้ายเสียเอง”
แต่แทนที่เขาจะดีใจกระโดดโลดเต้นที่เป็นไทจากประวัติคดีอาญา กลางกลับยิ้มเพียงนิดที่มุมปากแล้วเอ่ยขอบคุณ แล้วถามถึงเรื่องราวต่อ “แล้ว... พยานทุกคนถูกสอบปากคำเสร็จแล้วหรือครับ”
“ใช่ พวกพยานที่ต้องคอยระวังความปลอดภัยให้ก็ยังอยู่ในการควบคุมตัว” อัชวินเอ่ยพร้อมกับเลิกคิ้วเชิงถาม “แต่ถ้าเอ็งเจาะจงถามถึงเฉพาะแม่และน้องๆ ของเอื้อยล่ะก็ ไม่ต้องห่วง พวกเขาปลอดภัยดี”
ชายหนุ่มพยักหน้ารับ แม้จะไม่ได้เห็นมาได้พบหน้ากันแล้ว มูนไลท์ผับก็ถูกปิดไม่มีใครเข้ามาดูแลกิจการต่อ ส่วนเอื้อยผันจากโคโยตี้เป็นนักเต้นในแบบที่เธอชอบ เขายังได้เห็นเธอตามข่าวสังคมหรือข่าวกีฬาในฐานะว่าที่ภรรยาของนักแข่งลูกครึ่งชื่อดัง
แต่จนวันนี้เขายังเป็นห่วงเธออยู่เลย เขาอาจจะเป็นคนใจง่ายที่ใกล้ชิดใครแล้วก็หลงชอบคนนั้นทุกครั้งไป แต่กับเอื้อยแล้วมันแตกต่างกับผู้หญิงที่ผ่านมาในอดีตเพราะเธอทำให้เขารู้สึกถึงความรับผิดและอยากปกป้อง คำพูดที่บอกผ่านเจ้าหน้าที่ตำรวจนั้นยังสะท้อนก้องในหู เธอไม่ได้คิดอะไรกับเขาไปมากกว่าพี่ชาย แม้เธอจะบอกว่าไม่ได้โกรธเคืองเรื่องที่เขาเป็นต้นเหตุชีวิตบัดซบ แต่ส่วนลึกนั้นเธอคงไม่อยากมองหน้าคนที่ทำให้เห็นแต่อดีตที่เจ็บปวด
“แต่เอ็งมีข้อหาใหม่นะ มามะ... มาลงชื่อยอมรับข้อหาเสียดีๆ”
คำพูดของคนรุ่นพ่อทำให้เขาออกจากความคิดทันที
“ข้อหาใหม่ ?” ชายหนุ่มถามหน้างง
“ก็เสพยาไง เอ็งโดนข้อหาเสพยา ส่วนตฤณโดนข้อหามียาเสพติดในครอบครอง ฝากบอกตฤณด้วยว่าอย่าคิดหนี หลักฐานมีพร้อม บารมีพ่อของมันก็ช่วยอะไรไม่ได้ อ้อ... บอกมันด้วยว่าข้าขอทวงคำสัญญาที่มันให้กับข้าไว้”
“แต่ถ้าผมกับตฤณไม่ยอมรับข้อกล่าวหาล่ะครับ”
“ข้อหา ไม่ใช่ ข้อกล่าวหา” สารวัตรพูดช้าๆ ชัด ๆ “เอ็งก็จะโดนข้อหาหนักขึ้น แต่ถ้ายอมรับข้อหาก็จะลดโทษลง” สารวัตรยิ้มเผล่และยืนปากกาเชื้อเชิญให้ลงลายชื่อ
ดูเหมือนชายหนุ่มจะไม่สนใจรับปากกามาลงชื่อเหมือนเคย กลางเอ่ยกับสารวัตรคนเก่งผู้ซื่อตรงต่อหน้าที่ช้า ๆ ชัดๆ ว่า
“ผมไม่ยอมรับข้อกล่าวหา อ้อ ผมไม่ว่าง มีสอบ ถ้าสะดวกเมื่อไหร่จะมาพร้อมกับตฤณ ในระหว่างนี้สารวัตรก็ทำการพิสูจน์หลักฐานไปก็แล้วกันครับ ผมไปล่ะ อ้อ... เรื่องรถมอเตอร์ไซค์ที่ให้ผมยืมใช้ ผมคืนให้นะครับ คิดว่าคงไม่ต้องใช้มันอีกแล้ว”
พูดจบก็เดินโบกมือลาหันหลังออกจากห้องพลางยกมือโบกลาทิ้งให้สารวัตรยืนถือปากกาค้างด้วยความงุนงง