เที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก กับเพื่อนสุดเฟล ตอนที่ 2 : อากิฮาบาระ



ตอนแรก - http://pantip.com/topic/33056147

** บทความนี้ เพื่อนอนุญาตให้สามารถเอามาเขียนเป็นบทความแล้วครับ **

หลังจากเกิดเหตุความแผ่นดินไหวแล้ว พวกเราจึงได้เดินทางต่อเพื่อไปยังที่พักของเรา (ซึ่งหลังจากที่ตึกไม่ได้สั่น เราก็คิดว่าคงไม่มีอะไรแล้ว) เพื่อนนำทางของผมก็ได้นำทางพวกเราเพื่อขึ้นรถไฟเดินทางต่อทันที
ผมได้ Line รายงานบอกญาติพี่น้องผมเล่าว่าเจอแผ่นดินไหวมาจริงๆ พร้อมกับเล่าว่าสภาพของรถไฟนั้นเป็นยังไง ซึ่งก็แปลกดีที่มีญาติอายุน้อยกว่าคนนึงบอกว่าดีจังเลยเจอแผ่นดินไหว โดยพี่ชายของเธอก็ปรามว่า ดีตรงไหนกันฟะ เจอภัยธรรมชาติเนี่ย แต่ผมมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าแม้ว่าคนญี่ปุ่นจะนิ่งๆ และยังจิ้มๆ มือถือกันอยู่ก็จริง แต่ก็ยังมองไปรอบๆ รถไฟราวกับว่าต้องการดูสถานการณ์ว่าเป็นอย่างไรในตอนนี้
เมื่อปลายปีที่แล้ว ทางการรถไฟของญี่ปุ่นได้ขยายการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อป้องกันรถไฟตกรางระหว่างการเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งนับตั้งแต่เกิดแผ่นดินไหวเมื่อปี 2547 ซึ่งทำให้รถไฟขบวนหนึ่งตกราง ซึ่งนั่นทำให้มั่นใจได้ว่า ถ้ามีเหตุแผ่นดินไหวที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น อย่างน้อยรถไฟก็จะไม่มีปัญหาอุบัติเหตุอะไรที่จะคร่าชีวิตผู้คนอย่างไร แต่ต้องบอกว่าเห็นคนญี่ปุ่นนิ่งๆ กันแบบนี้ แต่จากที่ทุกคนมองไปรอบๆ และนั่งทวิสเตอร์บนมือถือกันนั้น ผมคาดเดาว่าพวกเขาไม่ประมาทเสียมากกว่า
เราได้เดินทางมาถึงสถานีรถไฟ Monzennakacho ซึ่งเป็นสถานีที่เราเช็ดเส้นทางเพื่อที่จะไปที่พัก (แต่ก็มารู้ทีหลังว่า ถ้านั่งเลยไปอีกสถานีนึงจะเดินไปที่พักด้วยระยะทางสั้นกว่า เวรกรรม) ซึ่งตอนนั้นก็ยังงๆ กับเส้นทางอยู่ Google Map เองก็เกิดผีทะเลบอกทิศทางแปลกๆ ส่วนตาเพื่อนสุดเฟลก็ไม่ได้มาช่วยดูแผนที่อะไรกันเลย ได้แต่บ่นๆ ว่าเมื่อไหร่จะไปกินข้าว (เอ็งนิ)
และตอนนั้นเองผมกับเพื่อนที่นำทางจึงได้ตัดสินใจทำในสิ่งที่ต้องทำ นั่นก็คือสอบถามที่พักกับเจ้าหน้าที่รถไฟ ซึ่งผมเป็นฝ่ายทักเข้าไปก่อนโดยการเปิดแผนที่ในมือถือให้ดูว่าที่พักมันอยู่ตรงนี้ เราต้องเดินไปตรงไหน ซึ่งทางเขาได้หยิบแผนที่ออกมา ใช้ไม้บรรทัดขึ้นมากางเพื่อเทียบตำแหน่งให้ดู ซึ่งผมได้ให้เพื่อนที่นำทางมาคุยกับเขาต่อทันที ซึ่งเหตุผลที่ผมกล้าเข้าไปทักเจ้าหน้าที่คนญี่ปุ่นเพื่อขอความช่วยเหลือนั้น ก็เพราะผมอ่านเจอมาเยอะมากว่า คนญี่ปุ่นต่อให้เราคุยกันไม่รู้เรื่อง แต่เขาก็เต็มที่ในการช่วยเหลือเรามากๆ ผมเองยังไม่คิดด้วยซํ้าว่าเขาจะถึงขั้นหยิบแผนที่ขึ้นมากางและใช้ไม้บรรทัดช่วยในการหาสถานที่ เพราะคิดว่าเขาคงจะชี้ๆ บอกว่าไปทางนี้นะ จบเสียมากกว่า
แต่ที่ไหนได้ เมื่อคุยกันเสร็จแล้ว เพื่อนที่นำทางผมดันเกิดความไม่ชัวร์ซะงั้นว่าใช่ทางนี้รึเปล่า ผมเลยต้องพึ่ง Google Map เหมือนเดิม ฮ่วย!





เส้นทางที่เราจะต้องเดินทางไปยังที่พักนั้น จะต้องผ่านร้านค้าหลายร้าน ตามที่ผมนั่งกดดูใน Google map มาแล้วล่วงหน้า ซึ่งทำให้ผมได้เดินดูบรรยากาศของชาวญี่ปุ่นไปด้วยในตัว ซึ่งผมเองก็พบว่ามันก็ไม่ได้ต่างจากเมืองไทยมากนักหรอก แต่มันก็มีอะไรที่ต่างอยู่เยอะมว๊ากกก! เรียกได้ว่าคนละโลกกันเลยว่างั้นเถอะ อย่างเช่นเรื่องขยะบนพื้นถนนนี่แทบไม่มีให้เห็นเลย หรือถ้ามีก็ไม่เคยเกิน 5 ชิ้น! จะบอกว่ากฎหมายแรงก็น่าจะใช่ แต่อีกภาพที่ท่านกำลังจะได้เห็น ท่านจะรู้ทันทีว่าอีกเรื่องที่ว่าทำไมขยะถึงไม่ค่อยมี..
การที่คนญี่ปุ่นมีระเบียบวินัยเนี่ยแหละ



จริงๆ เส้นทางจากสถานีรถไฟไปยังที่พักนั้นจะขึ้นรถเมล์ไปก็ได้ แต่พวกผมเลือกที่จะไม่ขึ้นเพราะเห็นว่าเดินเอาก็ได้ และตอนที่พวกผมเดินผ่านป้ายรถเมล์นั้นเห็นได้เลยว่า มีคนญี่ปุ่นยืนต่อแถวรอขึ้นรถเมล์กันแถวเดียวเป็นระเบียบเรียบร้อยมากๆ แม้แต่โอบ้าจัง หรือคุณป้าทั้งหลายก็ยังต่อคิวกัน ต้องบอกว่าภาพแบบนี้มันเห็นได้ยากมากๆ ในบ้านเราจนน่าจะเรียกว่าเป็นแรร์เลยดีกว่า เพราะคนไทยจะไม่มีการต่อแถวเดียวแน่ๆ จะต้องมีหลายแถวต่อๆ กัน หรือต่อให้มีการต่อแถวกันเป็นระเบียบเรียบร้อยจริง แต่มนุษย์ป้าทั้งหลายในบ้านเราก็ไม่มีคำว่าระเบียบวินัยในหัว ป้าจะแซง ป้าจะขึ้นคนแรก ใครจะทำไม ป้าไม่สน... ก็เพราะนิสัยแบบเนี่ยแหละ บ้านเมืองเราเลยไม่ค่อยจะมีระเบียบวินัยกันเท่าไหร่











ก็พอเข้าใจอะนะว่าที่มันแคบ แต่เห็นแล้วก็อดตลกไม่ได้ แล้วคันหลังจะออกยังไงละนั่น



หน้าทางเข้าที่พัก



ผมกับเพื่อนที่นำทางนั้นได้เดินไปถึงหัวมุมถนนที่จะเลี้ยวไปยังที่พักของเรานั้น พวกผมก็ได้เดินทางไปยังที่พักของเรา นั่นก็คือ Kurumi Weekly Mansion ซึ่งเป็นที่พักแนวแมนชั่น และเมื่อเข้าไปแล้วผมก็ได้ไปติดต่อเจ้าของที่พักทันที ซึ่งเป็นคุณลุงที่หน้าตาใจดี และโชคดีที่คุณลุงพูดภาษาอังกฤษได้ (แถมพูดศัพท์ง่ายๆ ทั้งนั้น) คุณลุงได้พาพวกผมเข้าไปในห้องพัก และได้แนะนำในห้องพักว่า เปิด-ปิดไฟยังไง เข้าห้องนํ้าต้องเปิดนํ้ายังไง ในห้องมีอะไรบ้าง จะเปิดใช้ WIFI ของแมนชั่นยังไง และรอบๆ นี้มีสถานีรถไฟอะไรและที่เที่ยวที่ไหนบ้าง คุณลุงพูดอธิบายดีมาก มีเอกสารมีอะไรพร้อม
และความเฟลครั้งที่สามของเพื่อนผมก็ได้เริ่มต้นขึ่น ทำไมนะเหรอ ? ก็เพราะว่ามันเป็นคนเดียวที่ไม่ได้ฟังที่คุณลุงเขาพูดเลย มัวแต่ก้มหน้าก้มตาจิ้มมือถืออยู่นั่น ซึ่งมารู้ทีหลังว่านั่งคุย LINE  กับแฟนเจ้าตัวอยู่ ทั้งๆ ที่ผมกับเพื่อนอีกคนที่นำทางมาต่างตั้งใจฟังเขาเต็มที่ แถมมีการเดินไปนั่งลงบนเตียงในสุด หลีกเลี่ยงการสนทนาแล้วก็ไม่สนใจใครด้วย ผมเองก็มองทางหางตาตลอดเพื่อดูว่าเขาจะเลิกเล่นแล้วมานั่งฟังคุณลุงอธิบายไหม ? เปล่าเลยครับ นั่งเล่นมือถือไม่สนใจอะไรตั้งแต่คุณลุงอธิบายตั้งแต่ต้นจนจบ และจะบอกว่าคุณลุงเขาพูดนํ้าเสียงก็ไม่ได้หนักแน่นอะไรมาก เพราะคุณลุงเองก็อายุเยอะแล้ว
หลังจากที่คุณลุงอธิบายเสร็จและเดินออกจากห้อง ผมรีบใส่เพื่อนผมทันที
"ทำไมเมื่อกี้นายไม่ฟังคุณลุงเขาอธิบายเลยห๊ะ" ผมถามเขา
"อะไร ก็ฟังอยู่" เพื่อนสุดเฟลของผมก็บอกต่อด้วยท่าทางเฉยๆ
"งั้นถามหน่อยสิว่าคุณลุงเขาบอกอะไรบ้าง" ผมถามต่อ
"ก็บอกว่าห้องเมื่อล็อคกุญแจแล้วไฟฟ้าจะดับ ให้ปิดแอร์ก่อน และมี WIFI ใช้ฟรี แล้ว... เอ๊ะ แล้วอะไรนะ"
นั่นไง ตรูกะแล้วเชียว ผมคิด
"มันเป็นมรรยาทนะเว้ย เจ้าบ้านเขาอุตส่าห์มาอธิบาย ปกติเขาโยนกุญแจแล้วก็ไม่ตามมาถึงห้องหรอก นี่เอกสารอะไรก็มีครบ แล้วคนญี่ปุ่นเขาค่อนข้างถือด้วย เอ็งไม่ควรจะมานั่งเล่นมือถือแบบนี้...."
ผมนั่งเทศน์อีกฝ่ายไปราวกับอีกฝ่ายเป็นเด็กประถม ถ้าว่ากันตรงๆ แล้ว อีกฝ่ายเขาก็อายุเยอะกว่าผม น่าจะมีความคิดหรืออะไรที่ดีกว่าผมด้วยซํ้า แต่เจอแบบนี้เข้าจริงๆ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดได้ยังไง กับการที่ไม่นั่งฟังเจ้าบ้านเขาอธิบาย ทำตัวยังกับมาเที่ยวพัทยาอย่างไรอย่างนั้น
พูดถึงห้องพักนั้นต้องบอกว่าถึงที่นี่จะเป็นแมนชั่น และอยู่ห่างจากสถานีรถไฟ (ไม่) หน่อย แต่ก็มีของทุกอย่างเหมือนโรมแรมปกติเลย มีเตียงมาให้สามเตียงสำหรับนอนสามคน (อย่างที่บอกในตอนแรกไปว่า จองห้องพักแบบสามคนแล้วนอนด้วยกันนี่มันไม่ได้ง่ายๆ เลย) มีแอร์ให้สองเครื่องในห้อง และโทรทัศน์มาให้ แน่นอนว่าห้องนํ้าเองก็มีเครื่องทำนํ่าอุ่นพร้อมอ่างอาบนํ้ามาด้วย แต่ที่ไม่มีก็คือซักโครกไม่ได้มีปุ่มหรรษามาให้กดนํ้าพุ่งเล่นเท่านั้น และยังมีเตาอบ , กาต้มนํ้าไฟฟ้า และอุปกรณ์เครื่องครัวพร้อมอ่างล้างจานครบเลยทีเดียว เรียกได้ว่าต่อให้ไม่มีอาหารเช้าอะไร แต่มันก็มีมินิมาร์ทอยู่ข้างหน้า ซึ่งยังไงรับรองว่าไม่อดตายแน่ๆ ข้อเสียก็คือหมอนอาจจะไม่ได้นุ่มแบบบุ๋มเหมือนโรมแรมระดับสี่หรือห้าดาวเท่าไหร่นัก แต่อย่างว่าแหละ ที่พักราคาถูก ได้มาขนาดนี้ก็ถือว่าหรูแล้วหละครับ
หลังจากนั้นพวกเราต่างก็เก็บของ ถอดถุงเท้าอะไรออกเพื่อเปลี่ยนเป็นรองเท้าแตะเพราะอากาศนั้นร้อนพอๆ กับเมืองไทย จากนั้นพวกผมก็ได้เดินออกไปหาข้าวเที่ยงกิน เพราะเวลาล่วงเลยมาบ่ายสองแล้ว อาหารเที่ยงยังไม่ตกถึงท้องกันเลย โดยเพื่อนที่นำทางของผมได้พาให้ผมทั้งสองคนไปกินร้านข้าวหน้าเนื้อที่เป็นร้านแบบตู้หยอดเหรียญ ซึ่งผมเข้าไปก็แอบเอ๋อระดับหนึ่งเหมือนกัน แต่พอคุ้นชินแล้วก็ต้องบอกว่า เฮ้ย ระบบนี้มันสะดวกดีจริงๆ แฮะ
ระบบที่ว่านี้ก็คือ ลูกค้าจะต้องไปหยอดเหรียญที่ตู้หยอดก่อน โดยจะมีเมนูอาหารบอกตรงตู้เรียบร้อยโดยที่เราไม่ต้องขอเมนูจากทางร้านอาหารเลยแม้แต่น้อย และเมื่อเลือกได้แล้วก็แค่หยอดเงินเข้าไป แล้วเราก็จะได้ตั๋วอาหารมา เราก็แค่ไปยื่นตั๋วอาหารนี้ให้กับพนักงานร้าน แล้วเราก็แค่นั่งรอ ซึ่งสำหรับคนต่างชาติที่อ่านไม่ออกอย่างผมแล้ว มันก็มีทั้งข้อดีข้อเสียนะ ข้อดีก็คือ ถ้าเจ้าของร้านหรือพนักงานร้านพูดภาษาอังกฤษไม่ได้นี่ เราก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกับเขาเลย แค่ยื่นตั๋วให้เขาไปก็จบ แต่จริงๆ แล้วข้อเสียของมันก็คือ ถ้าเกิดว่าตรงตู้หยอดนั้นไม่มีรูปอาหารมาให้ และเราอ่านไม่ออกก็จบข่าวละครับ เพราะจะเจอกับอะไรทีนี้ไม่รู้เรื่องเลย



น่าเสียดายที่ตอนนั้นหิวมาก เลยไม่ได้ถ่ายมาแบบชัดเท่าไหร่นัก แต่อาหารที่ผมสั่งนั้นก็คือ ข้าวหน้าเนื้อ ซึ่งหน้าตาก็คล้ายๆ กับข้าวหน้าเนื้อที่มีขายในร้านเราเนี่ยแหละ แต่ข้อต่างก็คือ ให้เนื้อกันมาแบบแทบไม่อั้น ซึ่งต่างจากบ้านเราที่ว่ามีเนื้อให้ไม่มากเท่าของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งจากที่ผมคุยกับเพื่อนผ่าน Chat ใน Facebook นั้น เพื่อนผมบอกว่า ข้าวหน้าเนื้อเป็นอาหารที่ถูกมากในประเทศเขา คนไทยที่ไปเที่ยวแบบไปกันเองนิยมเข้าร้านข้าวหน้าเนื้อมาก ซึ่งผมก็ว่ามันก็อร่อยและสะดวกดีเหมือนกัน เพราะจานเดียวกินดีๆ ก็อิ่มแล้ว ส่วนรสชาตินั้นรับประกันความอร่อยได้ไม่อยากเลยหละครับ







หลังจากนั้นพวกผมก็ได้กลับที่พักเพื่อเตรียมตัวไปยังย่านอากิฮาบาระ ตามกำหนดการแล้วพวกผมจะต้องไปถึงอากิฮาบาระบ่ายสองแล้ว แต่ตอนนี้คือบ่าย 3 โมงกว่าจนเกือบจะบ่ายโมง (เหตุผลที่ช้าเพราะเพื่อนสุดเฟลเนี่ยแหละเอาแต่กดเล่นเนตมือถือในห้องพักอยู่นั่นนะ) พวกผมได้เดินทางไปโดยการเดินไปขึ้นสถานีรถไฟอีกแห่งที่อยู่ห่างจากที่พักราวๆ 15 - 20 นาที นั่นก็คือสถานี Kayabacho ซึ่งจะห่างจากอากิฮาบาระไปแค่ 3 สถานีเท่านั้น เรียกได้ว่าใกล้มากๆ และการเดินทางไปยังสถานีรถไฟด้วยบรรยากาศยามเย็นนั้น ทำให้ผมพบเห็นอีกมุมมองหนึ่งของสังคมประเทศญี่ปุ่นนอกจากเรื่องความมีระเบียบวินัยและขยะที่เห็นตามถนนไม่เกิน 5 ชิ้นของถนนทั้งสาย



ญี่ปุ่นนั้นผมบอกได้เลยว่ามันเป็นสวรรค์ของนักปั่นจักรยานชัดๆ เพราะว่าตามถนนคนเดินนั้นจะมีเลนส์จักรยานที่มีการทาสีพร้อมป้ายบอกทางพร้อม คนญี่ปุ่นก็จะไม่มีการเดินข้ามเส้นไปยังเลนส์จักรยานเลยเพราะจะมีคนนั่งปั่นจักรยานตลอด ต่อให้ถนนนั้นๆ ไม่มีเลนส์จักรยานมาให้ จักรยานก็จะปั่นทางขวาและให้คนเดินทางซ้ายแทน แต่เอาจริงๆ ก็สลับกันมั่วเหมือนกัน


แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่