ประสบการณ์และความประทับใจในญี่ปุ่นของนักเรียนทุน

สวัสดีค่ะ เป็นการเขียนครั้งแรก การบ้านส่งคุณครูค่ะ ติชมด้วยค่ะ

จะมาเล่าประสบการณ์และความประทับใจในประเทศญี่ปุ่น ซึ่ง จขกท ได้มีโอกาสไปเรียนเป็นเวลา 3 ปี คิดว่าคงมีหลายๆคนอยากไปเหมือนกัน ประเทศที่มีแต่ความสุภาพ น่ารัก ฟรุ้งฟริ้ง

การไปเรียนญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นการไปเหยียบญี่ปุ่นครั้งแรก ดีใจมาก เพราะตอนเด็กๆฝันว่าอยากไปเรียนเมืองนอกซักครั้งหนึ่ง วันแรกที่ไปญี่ปุ่น เป็นช่วงฤดูใบไม้ร่วง อากาศกำลังดี อาจารย์ที่ปรึกษาใจดี ไปรับถึงสนามบิน พาไปหอพัก ฝากฝังคุณลุงคุณป้าดูแลหอให้ช่วยดูแล และพาขึ้นรถไฟใต้ดินและรถเมล์ไปมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก

ขอเล่าให้ฟังก่อนว่า หอพักของนักเรียนที่ญี่ปุ่นมีหลายแบบ หอในมหาลัย หรือ เป็นเช่าห้องพักข้างนอก อีกแบบนึงก็คือหอที่เราไปอยู่เนี่ยแหละค่ะ เหมือนหอเอกชนของเด็กนักเรียน  มีลุงป้าดูแล มีอาหารเช้า อาหารเย็นให้ทาน มีเวลาเปิดปิดหอชัดเจน ห้องน้ำรวม ห้องครัวรวม นักเรียนที่พักที่หอนี้ส่วนมากเป็นนักเรียนญีปุ่น และมีเด็กไต้หวัน ฮ่องกงที่มาเรียนภาษาญี่ปุ่นอยู่บ้าง
ลุงป้าที่ดูแลหอใจดีมากๆ ด้วยความต่างของภาษา ลุงป้าพูดอังกฤษไม่ได้ เราก็พูดญี่ปุ่นไม่ได้ ลุงป้าก็ไปรบกวนเด็กฮ่องกงให้มาช่วยอธิบายให้เป็นภาษาอังกฤษ โชคดีอีก ที่เราพอพูดจีนได้ ทำให้มีเพื่อนเป็นคนไต้หวัน มีเพื่อนคุยเวลาอยู่หอ คลายเหงาไปได้บ้าง
ทุกคนเคยทราบมาบ้างว่าคนญี่ปุ่นเป็นคนมีน้ำใจ ใจดี ขอบอกว่าจริงที่สุดค่ะ…..
วันแรกที่ต้องไปมหาวิทยาลัยด้วยตัวเอง เดิน ขึ้นรถ ตามที่อาจารย์สอน พอมาถึงตอนจะลงรถบัส ด้วยความเพลิดเพลินกับบ้านเมืองเค้า นั่งเลยป้ายค่า งงค่ะ ต้องเดินไปทางไหน เลยลองถามคุณป้าที่ลงรถพร้อมกันว่า “โตโยต้า โคเงียวไดคากุ วะ โด้อิคิมัสก๊ะ?” แปลว่ามหาวิทยาลัยโตโยต้าไปยังไงคะ คุณป้าใจดีมาก พยายามอธิบาย อยู่นานสองนาน แต่คนมันไม่เข้าใจอะ ภาษาญี่ปุ่นได้แค่นับเลข คุณป้าก็ไม่ยอมไป อธิบายซ้ำอีกหลายรอบ สุดท้าย ต้องแกล้งทำเป็นเข้าใจแล้วเดินไปถามพนักงานร้านขายของใกล้ๆ พนักงานวิ่งหายเข้าไปในร้าน แล้วกลับออกมาพร้อมแผนที่ ซึ้งใจมาก หลังจากวันนั้นก็ไม่หลงอีกเลย

มีคนกล่าวว่าของหายที่ญี่ปุ่น ยังไงก็ได้คืน อันนี้ก็จริงค่ะ

เรื่องมีอยู่ว่า ที่ญี่ปุ่นเนี่ย จะทิ้งเครื่องใช้ไฟฟ้า โน่นนี่เสียตังค์หมด ทิ้งจักรยานก็ต้องเสียตังค์ เพราะฉะนั้นจึงมีการส่งต่อจักรยานกันระหว่างนักเรียนต่างชาติรุ่นต่อรุ่น เราก็ได้รับมาเช่นกัน จากเพื่อนไต้หวันคนนึง และมีการพาไปโอนชื่อเรียบร้อย (จักรยานที่ญี่ปุ่นต้องลงทะเบียนนะจ๊ะ) เราเลยได้จักรยานมาใช้ฟรีๆ และด้วยความใจดี แต่ประเด็นไม่ใช่จักรยานคันนี้ (เล่ามาซะยาว) เราได้ขอจักรยานเพื่อนไต้หวันอีกคนนึงด้วย เพื่อให้เพื่อนคนไทย แต่คันนี้เก่ามาก ได้มานาทีสุดท้ายก่อนเพื่อนไต้หวันจะขึ้นเครื่อง เลยทำให้ไม่ได้โอนชื่อมา เวลาผ่านไปสามเดือน มีตำรวจโทรมาที่มหาลัย โทรมาคุยกับอาจารย์ว่า มีจักรยานโดนขโมย จับขโมยได้ เลยโทรไปถามที่หอพักว่าจักรยานของใคร ซึ่งลุงป้าได้บอกตำรวจว่า เพื่อนไต้หวันยกให้เราแล้ว (ตอนนั้นย้ายออกจากหอนั้นแล้ว) ตำรวจเลยโทรหาถามว่าเป็นเจ้าของใช่ไหม จะเอามาคืน สองวันผ่านไป ตำรวจก็มา พร้อมกับขนจักรยานสภาพเก่าๆมาให้ แล้วให้เขียนกรอกข้อมูลลงในแบบฟอร์มของตำรวจ เป็นภาษาญี่ปุ่นด้วยลายมือตัวเอง คือแบบ..ไม่ต้องเอามาคืนก็ได้ หนูไม่ได้อยากได้คืน
เรื่องยังไม่จบเพียงเท่านี้ ช่วงใกล้กลับไทย ยกจักรยานคันที่เป็นชื่อตัวเองให้รุ่นน้องคนไทย รุ่นน้องก็ขี่กลับหอตัวเองไป และในวันนั้น ก็ได้รับโทรศัพท์จากตำรวจญี่ปุ่น ถามว่าเจอรถจักรยาน ใช่ของคุณไม๊ งงสิคะ เลยตอบไปว่าใช่ค่ะ ยกให้รุ่นน้องไป สรุปคือ ระหว่างทางที่น้องปั่นกลับหอตัวเอง โดนตำรวจเรียก นึกว่าขโมย…ต่างด้าวสินะ มั่นใจคนไทยหลายคนโดนตำรวจญี่ปุ่นเรียก

ความเป็นระเบียบวินัยของคนญี่ปุ่นเนี่ย เค้าจริงจังกันมาก

ช่วงที่อยู่ญี่ปุ่น จะสังเกตได้ว่า เวลามีการทำหรือซ่อมถนน จะมีเจ้าหน้าที่มายืนโบกรถชัดเจน ก่อนถึงจุดที่มีการซ่อมประมาณ 100 เมตร ส่วนที่มีการสร้างรถไฟใต้ดิน ก็ทำการปิดถนนส่วนนั้นไปเลย รวมถึงมีการกั้นป้องกันฝุ่น ไม่เพียงแค่นั้น แม้แต่ในห้องเรียน ห้องพักนักเรียน สายไฟระโยงระยางนี่ ห้ามค่ะ ถ้ามีสายไฟที่พื้น ต้องทำการติดเทปกาว ป้องกันคนสะดุด และเกิดอุบัติเหตุ ส่วนตู้สูงจะถูกยึดติดกับกำแพง ของบนตู้ จะต้องมีกล่องวาง และมีเชือกกั้นป้องกันกล่องหล่นลงมา หากเกิดแผ่นดินไหว
การแยกขยะ แต่ละเมืองจะแยกไม่เหมือนกัน โชคดี๊ โชคดี อยู่เมืองที่มีการแยกขยะเยอะมาก เยอะจนงง แต่ทุกคนก็พร้อมใจกันแยก และทำไปจัดวางตามที่ที่เค้ากำหนดไว้ เพื่อให้เทศบาลมาเก็บไป
สวัสดิการของคนญี่ปุ่นเค้าดีมาก รถเมล์ รถไฟใต้ดิน ให้ความสะดวกสบายกับคนแก่และคนพิการเป็นอย่างดี ถ้ามีรถเข็น สามารถโทรแจ้งนายสถานีให้นำแผ่นไม้มาเทียบรถไฟกับชานชาลาได้เลย เพียงแจ้งล่วงหน้าว่าลงสถานีไหน และอยู่ตู้ที่เท่าไหร่ รถเมล์ก็เช่นกัน คนขับจะไม่ออกรถจนกว่าทุกคนนั่งที่เรียบร้อย เพราะฉะนั้นจะเป็นคนแก่เดินทางไปไหนมาไหนเองได้อย่างสบาย คนพิการก็สะดวก อยากให้ประเทศไทยเป็นแบบนี้จัง

แต่ที่น่าแปลกใจอย่างนึง คือ โรงพยาบาล โรงพยาบาลที่ญี่ปุ่น (ไม่รู้เป็นเพราะไป รพ รัฐบาลหรือป่าว) จะไม่มีการบริการดีเท่ากับ รพ ของไทย ครั้งแรกที่ไป ส่วนงานลงทะเบียนต้องยืนกรอก ไม่มีเก้าอี้ให้นั่งสบายๆ เหมือน รพ เอกชน บ้านเรา และเมื่อเรามีบัตรนัด สิ่งที่ทำคือ เอาบัตรประจำตัว รพ ไปติ๊ดที่เครื่อง ว่าเรามาแล้วนะ จากนั้นเอาใบนัด ไปแผนกที่ต้องการไปหาได้เลย สมมติว่าไปตรวจเลือดก่อน ก็ไปเจาะเลือด และรอรับผล เพื่อเดินไปหาหมอเอง คนญี่ปุ่นเค้านิยมพึ่งพาตัวเองกันมากๆเลย มีครั้งนึง ป่วยมาก จะอาเจียนจะเป็นลม ไม่มีบัตรนัด ต้องยืนกรอกข้อมูลก่อน กรอกไปได้ซักพักไม่ไหวแล้ว วิ่งเข้าห้องน้ำไปอาเจียน จากนั้นพยาบาลเลยตระหนักได้ว่าป่วยหนักจริง เลยได้นอนเตียง หมอมาหาถึงเตียงเลย สบายไป
(การป่วยครั้งนี้ เนื่องจากเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ไม่รู้ใครบอกน้ำก๊อกกินได้ กินได้ที่ไหนล่ะ นิ่วมาเลย)

จบละค่ะ ไว้คุณครูสั่ง จะมาเขียนอีก (ใช่หรอ)  
ถ้าใครอยากไปเรียนที่ประเทศนี้ แนะนำเลยค่ะ ได้เรียนรู้วัฒนธรรม ความเป็นคนมีระเบียบวินัย เทคโนโลยี คนญี่ปุ่นเป็นคนใจดีมากๆ มีโอกาสก็ไปเรียนโลด ไม่มีก็หาโอกาส มีเยอะค่ะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่