ภูกระดึง.....ผมนี่ซึ้งเลย

กลับจากภูเก็ต ผมก็ต้องปีนภูกระดึงต่อ ไม่อยากจะเชื่อตัวเองว่า จะไหวหรอ.......เอาจริงๆ นะ กลับมาจากภูเก็ตนี่
ผมก็เพลียมากเลย แต่เมื่อเรารับปากกับสายรหัสและเพื่อนๆมหาลัยแล้ว โปรเจคนี้เลยไม่สามารถยกเลิกได้ อีกทั้ง
ทริปภูกระดึงนี้ได้มีการเตรียมการณ์นัดหมายมานานแล้ว เอาว่ะสู้ๆ

ทริปนี้เกิดขึ้นจาก เพื่อสายโค 027 070 129 สมัยเรียนมหาลัย ชวนกันว่าอยากไปไหนดี กลมมนนี่เสนอมาเลยครับว่า
ไปภูกระดึง วินาทีนั้นทวนความคิดว่าไปก็ไปว่ะ ก็ไม่เคยขึ้นเหมือนกัน คงไปชิวๆ มั้ง จากนั้นก็ก็รวบรวมพลพรรค
ได้ทั้งหมด 7 คน คือ กลมมน ตุ้ยนุ้ย น้องแพตตี้ จิโร่ มะเหมี่ยว แล้วก็ธาดา ครับ ทริปนี้ต้องขอบคุณที่กลมมน
เป็นตัวตั้งตัวตี หาข้อมูลทุกอย่าง จองที่พัก รีวิวว่าภูกระดึงมีอะไรบ้าง เพราะฉะนั้นกะเดินทางนี่ เหมือนกับเรา
เรารู้เกือบทุกซอกของภูกระดึงแล้วครับผม

เราตกลงกันว่าอยากได้เสื้อทีมครับ จากนั้นสมาชิกทีมเราที่มีฝีที่มือ เอ้ย ฝีมือ
นั่นก็คือมะเหมี่ยว ได้ออกแบบลายเสื้อ ภาพนี้คือลายสกรีนของพวกเราครับ


พี่น้องครับ แค่ออกแบบลายเสื้อนี่ก็ใช้เวลานานนะครับ มีการถกเถียงกันอย่างกว้างขวางถึงแนวคิดแล้วที่มา
ก่อนจะมาเป็นลายนี้มีหลายมาก ที่มะเหมี่ยวออกแบบ เช่นภาพล่างนี้ ก็มีการถกเถียงกันว่ามันโล่งไป
แต่อยากจะบอกว่า พอเข้าร้านสกรีนเท่านั้น จบเลยครับ ไม่ได้ตามลายเลย ถ้าใครคิดจะทำเลือกร้านให้ดีนะครับ


พวกเรามีการวางแผนการเดินทางแบ่งเป็น สองกลุ่ม กลุ่ม กทม. กับ กลุ่มขอนแก่น โดยพวกเด็กเทพ จะนั่งรถทัวร์
มาลงผานกเค้า เด็กขอนแก่น จะนั่งรถขอนแก่น-เลย ไปลงท่ารถสองแถว ขึ้นภูกระดึง เด็กเทพจะถึงก่อนครับ
เราเลยให้ทีมเด็กเทพนำขึ้นเขาก่อน เพราะเด็กขอนแก่นน่าจะถึงสักแปดโมง

พอถึงวันที่ 28 พย. 2557 ก็เดินทางตามแผนครับ ทีมเด็กขอนแก่น ถึงท่ารถสองแถว แวะทานข้าว เข้าห้องน้ำ
แล้วก็นั่งรถสองแถวให้จุดบริการนักท่องเที่ยว มีเรา สามคนกับ นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ อีกสองคน
คนไม่เต็มรถ เขาเคยคิดเราคนละ 50 บาทครับ ปกติ จะอยู่ราวๆ 30 บาท

พอถึงอุทยานก็จ่ายค่าขึ้นอุทยาน แล้วก็ตรงที่ไปลูกหาบเลยครับ ผมนี่ให้เขาหาบทุกอย่าง ไม่ถือแม้กระทั่งน้ำ
แล้วนั่นก็เป็นเหตุผลที่ดีเลยครับ แค่เดินตัวเปล่ายังจะไม่ไหวแล้วครับพี่น้อง ปล. ค่าหาบของ กิโลละ 30 บาท
ถ้าไม่ถึงกิโล ก็ปัดเศษเป็นกิโลนะครับผม ราคานี้ถือว่าถูกมาก เมื่อเทียบกับการขึ้นไปอย่างยากลำบากครับผม


เหล่าลูกหาบเรียงรายเป็นแถว ยาวเหยียด เพื่อรอบริการหาบของขึ้นให้กับ นักท่องเที่ยว บางคนมือใหม่
หรือตัวเล็ก ก็เอาข้างละ 20 กิโล บางคนโหดมาก แบกข้างละ 40 กิโลกร้ม แบกไปได้ไง
ถ้าวันหนึ่งมีการสร้างกระเช้า รายได้ของชาวบ้านแถวนั้น คงหายไปในพริบตาครับ


ต้องยอมรับเขาเลย ลูกหาบแต่ละคนอึดมาก เวลาเราเดินตามหลัง เราจะเห็น น้ำหยดเป็นทางเลยครับ บางคนจะสงสัย
ว่าคืออะไร.....หยาดเหงื่อล้วนๆ ครับ มาพร้อมกับเสียงดนตรี ดังออกจากลำโพงส่วนตัวของแต่ละคน
ว่าจะเต้นท์เข้าจังหวะสักหน่อย งงจังหวะเลยเพราะ เพลงหลายค่ายเกิน


ชอบภาพนี้มาก เขาคงชินแล้วเนาะ เดินขึ้นลงตลอดทุกวัน


มีความน่ารักมุ้งมิ้งระหว่างทางมาฝากด้วยนะครับ


เส้นทางชันมากเลยครับ


มีทั้งสะพานเหล็ก สะพานไม้ และสะพานหิน


แบกถังแก๊สนะ แต่ทำไมเขาทำเหมือนแบบกระสอบนุ่นเลย


เราขึ้นมาถึงก่อนกระเป๋าครับพี่น้อง นั่งรอกันอยากมีความหวัง


รอกระเป๋าไม่ไหวแล้ว มันจะมืดก่อน เราให้หน่วยซุ่ม สองคน ซุ่มรอกระเป๋าที่วังกวาง แล้วทีมที่เหลือออกเดินทางไปดู
พระอาทิตย์ตกที่ผาหมากดูก อยากจะบอก ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า มันใช่ สองกิโลเมตรจริงหรอ ทำไมมัน
ไม่ถึงสักที บางคนถึงกับมโนว่าเห็นเส้นขอบฟ้าแล้ว น่าจะถึงแล้ว เจอเส้นของฟ้าอยู่หลายครั้ง ก็ยังไม่ถึงครับ


ทิวสนสวยๆๆ ตลอดทางเดินบนภูกระดึง มีเสน่ห์มากครับ


เป็นจิ้มจุ่ม ที่อร่อยที่สุดที่เคยได้กินมา .... อร่อย หรือ หิวก็ไม่รู้ครับ วินาทีนั้น มีอะไรวางอยู่ข้างหน้า ฟาดเรียบ
อิ่มเสร็จไปอาบน้ำอันเยื่อกเย็นครับพี่หนาว บางคนมีการเอาทากมาจากห้องน้ำด้วย แหม่...รักสัตว์จริงๆ
ก่อนนอน ห้ามลืมนวดยาเด็ดขาด เดี๋ยวตื่นเช้ามา คุณอาจจะขยับแข้งขยับขาไม่ได้นะครับ


ตื่นเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นเลยครับ พากันแหกขี้ตา เดินไปผานกแอ่น เพื่อไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้นครับ



ก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเหมือนดูดาว บนพื้นดินครับ เพราะมีแสงไฟจากบ้าน ส่องประกายระยิบระยับ
น่าเสียดายที่วันนี้ไม่มีทะเลมอก ได้ชมแค่พระอาทิตย์ครับ


เจอสัญญาณมีชีพระหว่างเดินทางกลับที่พัก เลยเก็บภาพมาฝากครับ



เดินถึงก็ตรงดิ่งไปโซนอาหารเลยครับ มีน้องกวางคอยต้อนรับ เป็นกันเองมาก พอเข้ามาอยู่ในหมู่คน
ดูไม่เหมือนกวางป่าเลย น่าจะเป็นกวางเลี้ยง....เสียชื่อกวางหมดเลย


พอทำธุระส่วนตัวเรียบร้อย เราก็ประชุมวางแผนเส้นทางการเดินของวันนี้ โดยเป้าหมาย คือ ผาหล่มสัก
พอตกลงกันได้ เราก็ไปไหว้พระที่ลานพระพุทธเมตตา สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ก่อนออกเดินทาง




หลังจากนั้นก็ไปชมน้ำตกกันครับ บรรยากาศร่มรื่นมาก แต่ทางลงค่อนข้างทรหดพอสมควร
แต่ทุกคนไม่หวั่นเกรง เพราะเมื่อวานหนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ววววว ครับท่าน


ที่สำคัญเมเปิ้ล กำลังสลัดใบสีแดง โปรยไปตามต้นไม้และโขดหิน สีแดงสด แต่ยังไม่เยอะเท่าไหร่ครับ


ทีมงานร่วมเดินทางกำลังครุ่นคิดว่า นี่คือ "สระแก้ว" จริงๆ หรอ ไม่ใช่ทางน้ำไหล เฉยๆ ใช่ไหม


เป็นต้นไม้ในป่าปิศาจที่เราเดินผ่าน โคตรหลอนเลย เส้นทางนี้คือเส้นทางหาอาหารของเรา
เราไม่ไหวแล้ว ต้องเติมน้ำมันคน


ผานาน้อย คือจุดที่เรามาทานอาหารเที่ยง เพราะเส้นทางเรียบเขาที่เป็นหน้าผาเท่านั้น ถึงจะมีร้านอาหาร
ในป่าไม่มีร้านอาหาร เราจำเป็นต้องเดินฉีกออกมาเพื่อมาทานข้าวเที่ยง แล้วค่อยกลับเข้าป่าอีกครั้ง


จากนั้นก็เดินเพื่อไปสระอโนดาต เป็นจุดที่เราเล่นน้ำกันสนุกสนานมากครับ ทำสปาทากกันด้วย 555555


ธารน้ำระหว่างทางเดิน ชะอุ่มชุ่มชื้นมาก


ถึงแล้วครับ น้ำตกแห่งที่สอง สวยดีครับ ใจจริงก็อยากลงไปอาบนะ แต่ไม่มีเพื่อนลงเล่นเลยครับ





ธรรมชาติที่สวยงามระหว่างทางครับ มีความหลากหลายทางชีวภาพ แม้กระทั่งคนก็หลากหลาย
ท่าข้ามลำธาร สวยงามมาก


ถึงแล้วผาหล่มสัก แต่ตอนนี้พระอาทิตย์ยังไม่ตก


ระหว่างพัก พระอาทิตย์จะมาที่ขอบฟ้า ของีบแป๊บนะ ไม่ไหวจริงๆ


พระอาทิตย์จะตกแล้วครับ มุมอาจจะไม่คุ้น เพราะตรงจุดชะง่อนหิน ต้นสน คนเยอะมาก พวกผมเลยเดิน
สำรวจแลนมาร์คใหม่ เดินเลยมานิดหนึ่ง ได้ทำเลเหมาะมากครับ


ภาพนี้ชอบมากเลยครับ อาทิตย์ตกที่ผาหล่มสัก วันนี้เราเดินทั้งวัน เพื่อมารอสิ่งนี้เลยครับ


พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว พระจันทร์ขึ้นมาแทนที่ ได้เวลาที่เราจะเคลื่อนคาราวาน เดินทางต่อละครับ




ท้องฟ้าขณะเดินทางกลับ ทั้งสวยงาม และน่ากลัวไปในคราวเดียวกันครับ ดีที่ระหว่างทาง
มีหลายกลุ่มเดินทางทิ้งขบวนกันเป็นระยะๆ เลยไม่น่ากลัวสักเท่าไหร่


ไม่ต้องกลัวว่าจะอดตาย ระหว่างทางเดิน มีของให้กินเป็นระยะๆ


ระหว่างทางมีทั้งกลุ่มเดิน กลุ่มวิ่ง แล้วก็ กลุ่มจักรยาน....แสงไฟจากจักรยาน สวยดีครับ

ถึงที่พักประมาณสัก สี่ทุ่มครับ ส่วนอาหารเย็นเรียบร้อยไปแล้วระหว่างทาง เป็นการเดินทางทั้งวันที่ทรหดมาก
ถึงเต้นท์ รีบไปอาบน้ำ แช่ตู้เย็น แล้วกลับมานอน หลับแบบไม่ตื่นมากลางดึกเลยครับ
เช้าวันกลับ วันที่ 30 พย. 2557 ตื่นสายกันเล็กน้อย เก็บข้าวของ คืนผาห่ม คืนเต้นท์
แล้วก็เริ่มออกเดินทาง กลับสู่โลกความเป็นจริง แต่การที่จะออกจากโลกแห่งความฝันนี่ เป็นเส้นทางที่ทรหดมาก


ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะเดินเท้าได้ไกลขนาดนี้ ที่มีทางเดินทุกรูปแบบ
ทั้งขึ้นเขา ลงห้วย ทางลาด ทางชัน ทั้งกลางวันและกลางคืน
ขอบคุณบททดสอบของภูกระดึง ที่ทำให้เราก้าวข้าม ขีดจำกัด (ที่คิดเอง)
ขอบคุณเพื่อนร่วมเดินทาง ที่ฝ่าฟันอุปสรรคมาด้วยกัน
คลุกเคล้า เสียงหัวเราะ หยดเหงื่อ และน้ำตา ตามด้วยพารา ยานวด และยาคลายกล้ามเนื้อ
ระยะทางไป-กลับ กว่า 48,028 เมตร ในเวลา 3 วัน 2 คืน จะตราตรึงใจเราตลอดไป
See U next trip
ปล. คำนวนระยะทางอย่างหยาบ


ปล. ภาพนี้เป็นภาพที่เราถ่ายเลือนแบบลายที่สกรีนบนเสื้อครับ ^___^
ขอบคุณภาพนี้จากกล้อง Klommon

ภู......เขาใหญ่ ตั้งตะหง่าน สะท้านฟ้า
กระ..............ด้วยตา มิอาจรู้ สู้ปีนป่าย
ดึง..........ดันมา สู้เต็มแรง ไม่เห็นตาย
ซึ้งสหาย ร่วมก้าวเดิน เพลิดเพลินใจ

ตลอดการเดินทาง อยู่ในกวีข้างต้นแล้ว
๒๘ ๒๙ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๗
คือวันที่จารึกว่าเราคือผู้พิชิตภูกระดึง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่