กลับมาแล้วค่าาา ตามคำเรียกร้องของหลายๆท่าน (มโนเองว่ามีคนเรียกร้อง อิอิ) ฝากผลงานไว้กับรีวิวการไปเที่ยวฟิจิคนเดียวเก๋ๆ (ใครยังไม่อ่านดูได้ที่
http://pantip.com/topic/32724642 นะคะ) กลับมาคราวนี้ จะมาเล่าเรื่องราวการเดินทางในออสเตรเลียกันบ้าง ไม่ได้เขียนบล็อกมาน้านนาน ยังเขียนอยู่นะคะ ยังไม่ได้ปิดกิจการ ผู้เขียนยุ่งนิดนึง อ่านกระทู้พันทิปเอย เฟซบุ้คเอย หมดไปแล้วค่ะวันวัน (ข้ออ้าง...)
มาเข้าเรื่องเลยดีกว่า... พูดถึงออสเตรเลีย นึกถึงอะไร? พลาดไม่ได้ก็คงเป็นจิงโจ้ โคอาล่า เมลเบิร์น ซิดนีย์ อะไรเถือกๆนี้เนาะ ไม่รู้จะมีซักกี่คนนึกถึงทะเลทราย.... ใช่ล้าว ไปทะเลทรายมา! จริงๆแล้วประเทศออสเตรเลียมีทะเลทรายคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 18 ของพื้นที่เมนแลนด์ทั้งหมด แต่นี่ยังไม่รวมพื้นที่แห้งแล้งที่เกือบจะเป็นทะเลทรายแต่ไม่ใช่ทะเลทรายนะ โดยภาพรวมแล้ว มีแต่เมืองชายทะเล ขอบๆทวีปออสเตรเลียเท่านั้นที่มีคนมาตั้งรกรากอยู่อาศัยทำมาหารับประทานกัน เพราะอากาศตรงอื่นมันช่างโหดร้ายเหลือเกิน ปลูกพืชอะไรก็ไม่ขึ้น
ทีนี้กันยายนปีที่แล้ว มีเพื่อนมาชวนไปอูลูรู่ (Uluru)ด้วยกัน เป็นกลุ่มเพื่อนชาวยุโรปหลายๆชาติสิริรวม 6 คน เราก็ตบปากรับคำแบบไม่คิดเลย เพราะอยากไปเที่ยวจนตัวสั่น กลัวไม่ได้ไป 555 แต่ถามว่าตอนแรกรู้มั้ยว่าแพลนเป็นยังไง ไปยังไง นอนยังไง อะไรยังไง บอกเลยว่าไม่รู้ นี่ก็ใจง่าย รู้อย่างเดียวไปอูลูรู่!
ถามว่าอูลูรู่คืออะไร นางคือก้อนหินยักษ์สีแสดแดง เหมือนภูเขา แต่ไม่มีพืชต้นไม้หรือสิ่งมีชีวิตใดๆเท่าไหร่ ตั้งอยู่กลางที่โล่งกว้างกลางประเทศออสเตรเลียที่เค้าเรียกกันว่าดิเอ้าท์แบ๊ค (The Outback) เป็นกลางพื้นแผ่นทวีปที่แห้งแล้ง อัตราผู้อยู่อาศัยต่ำมากๆ เป็นทะเลทรายว่างั้นเถอะ พูดง่ายๆ สิ่งมีชีวิตก็ประกอบด้วยหมาจิ้งจอกดิงโก้ จิงโจ้ และ สัตว์เลื้อยคลานต่างๆ (เท่าที่สังเกตเห็นเอง)
สรุปคือพวกนางจะไปแบบ road trip คือขับรถกันไปเองนั่นแหละ ประเด็นคือดิฉันขับรถไม่เป็น เติมน้ำมันรถก็ไม่เป็น(เมืองนอกเค้าให้เติมเอง...) ซ่อมรถก็ไม่เป็น สรุปคือเป็นตัวไร้ประโยชน์มาก ทำเป็นแต่กับข้าวกับปลาฟรุ้งฟริ้งๆ แต่ความพีคสำหรับหญิงสาวชาวเมืองหลวงอย่างดิฉันแล้ว ก็คือการนอนในรถ! เห้ย เดี๋ยว แปบนะ ตลกละ (แต่ก็ยังอยากไป... เอาวะ ดิบต้องดิบให้สุด) แต่นอนในรถที่ว่านี้คือ เป็นรถแบบแคมเปอร์แวนคันนึง กับรถธรรมดาอีกคันนึงแล้วนอนในเต้นท์ สองคันนอนได้ 7 คนพอดี้พอดี (อ่อมันชวนเรามาเป็นตัวหารนี่เอง ขรรม) สรุป แพลนก็คือ ขับรถจากอะดิเหลด (ทางตอนใต้) ยิงยาวไปประมาณ 10 วัน จรดเมืองดาร์วิน ซึ่งอยู่ตอนเหนือ สิริรวม 3000 ฝ่ากิโลเมตร !!!
รถที่เช่านั้น ข้างในก็มีเตียงนอนที่พับเก็บได้ มีซิงค์ล้างจาน มีเตาแก๊ซ มีตู้เย็น มีไมโครเวฟ ซิงค์ล้างจานก็ใช้ได้อยู่ 3 วัน น้ำหมด หาที่เติมไม่ได้ ต้องอาศัยใช้น้ำจากแท็งค์น้ำที่รัฐบาลมีไว้บริการตามจุดพักรถต่างๆ ส่วนแก๊ซมาหมดเอาวันท้ายๆ ก็ไม่เป็นไร พอไหวอยู่ ทีนี้การมาแบบนี้ต้องคิดให้ดีเลยค่ะ ว่าจะเอาอะไรมากินบ้าง ต้องเป็นอาหารที่อยู่ได้โดยไม่ต้องแช่เย็น อาหารสดตัดไปได้เลย เพราะฉะนั้นก็ได้งานปลาทูน่ากระป๋อง มาม่า เส้นพาสต้า ข้าวโพด ถั่วกระป๋อง แอปเปิ้ลเก็บได้นาน ขนมปังแผ่นและนูเทลล่าค่ะ ไม่ต้องแช่เย็น อันนี้เป็นเบสิกๆที่เพื่อนๆชาวยุโรปเตรียมมา เราก็เตรียมไปบ้าง แต่รู้สึกว่าไม่อิ่มแหงเลย เราเลยจัดงานอาหารสำเร็จรูปแบบไมโครเวฟเอา ก็มีข้าวแกงเขียวหวาน ผัดเปรี้ยวหวาน ผัดกะเพรา อะไรทำนองนี้ กะว่าเปรมแน่ๆ พวกแกต้องอิจฉาชั้น แต่!!!!! ตอนไปจริงๆพบว่า ตู้เย็นกับไมโครเวฟนี่ใช้ไม่ได้เลยค่ะ T_T เพราะมันต้องไปต่อไฟฟ้ากับที่ๆเค้ารับจอดรถแคมเปอร์แวน (campground) ซึ่งนิยมมากที่ออสเตรเลีย แต่คือเสียตังค่าจอดน่ะ เพื่อนๆผู้น่ารักของเราเป็นคอนเสปดิบและงก ก็เลยไม่จอดในแคมป์กราวด์ถ้าไม่จำเป็น ถึงจอดก็เอาแบบไม่มีไฟฟ้า (เลือกได้ คนละราคา) ชะเอิงเอย ซื้อมาแล้ว 15แพค ทำไงเดดดดด เหลือบไปพบว่าเอ้ย มันเอาซองๆอาหารสำเร็จรูปนี้ไปต้มในน้ำร้อนแทนได้ จากนั้นมาก็เลยต้มกินมาเรื่อยๆ ฟินค่ะบอกเลย แต่มีอยู่คืนนึง แก๊ซหมด อดต้ม คือไร เสียใจมาก ต้องกินข้าวแบบกรุบๆ กับผัดเปรี้ยวหวานอุณหภูมิห้อง T_T
นอกจากนั้นมีบางวันที่ต้องกินเสบียงอย่างกระมิดกระเมี้ยน เพราะกลัวว่าจะไม่พอสำหรับทั้งทริป (ระหว่างทางไม่มีร้าน หรือมีก็จะแพงมาก) บางมื้อก็กินแอปเปิ้ลลูกเดียว นี่เป็นความรู้สึกครั้งแรกๆของการอดยาก ชีวิตนี้เกิดมา แย่สุดก็ลงไปต้มมาม่า ข้าวผัดไข่ ว่าไป มาแคมปิ้งนี่ฝึกวิชาเอาตัวรอดได้มาสิบกระโหลกเลยทีเดียว เหมือนเรียนลูกเสือเนตรนารี 20 ปีรวมกัน เป็นหลักสูตรเร่งรัด.... แต่หันไปมองเพื่อนๆชาวยุโรป เหมือนเค้าก็ชิวๆนะ มีชาวเยอรมันเป็นพี่น้องคู่นึง บางมื้อกินขนมปังแข็งๆแบบ stone bread กับแครอทดิบๆ งับๆๆเลย ไม่ปลอกเปลือกด้วย กับเพื่อนฝรั่งเศสอีกคนนึง กินหนมปังทาน้ำผึ้ง แอปเปิ้ลลูกนึง จบ เลยมีโอกาสได้นั่งคุยกับเค้านะ ว่ามารู้สึกลำบากมั้ย ลำบากกว่าที่คิดมั้ย เค้าบอกว่า ตอนเด็กๆครอบครัวเค้าไปแคมปิ้งกันบ่อย นี่ก็สบายๆนะ เหมือนคนยุโรปก็คงชอบความลำบากนิดนึง ให้แสบๆคันๆ ต่างจากเรามาก ที่เป็นเด็กเมืองกรุง ไม่เคยได้สัมผัสอะไรลำบากๆเลย นอกจากไปค่ายเนตรนารีของโรงเรียน (ที่เค้าก็ทำอาหารเลี้ยงอยู่ดี...)
วันแรกผ่านพ้นไป ทั้งวันที่ผ่านมานอกจากนั่งอืดๆแล้วก็นอนสับผงก ไร้ความหมายบนรถมาก คนดูแผนที่วางแผนอะไรก็เป็นอีกคนนึง กะคนขับอีกคนนึง เรานั่งหลังกันไป คร่อกกกกก ถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ต้องรีบหาที่จอดนอนให้เร็วที่สุด เพราะตามสัญญาห้ามขับรถตอนกลางคืนค่ะ (เอาจริงๆใครจะกล้าขับ คือมืดแบบไม่มีไฟอะไรเลย) สรุปก็นอนที่ปั๊มน้ำมัน พื้นที่บริเวณเค้าใหญ่พอสมควร จริงๆเค้าห้ามทำอาหาร เพราะอยู่ในปั๊มจะจุดไฟได้ไงล่ะเอ้ออออ แต่ได้แคร์มั้ย ก็ไม่ ก็ทำกันอยู่ดี เพราะไม่งั้นจะกินกันยังไงเส้นพาสต้าดิบๆ 555 และแล้ววันนี้ก็ค้นพบความสามารถของตนเองค่ะ คือการจุดเตาแก๊ซและเอาน้ำปะปามาต้ม เพื่อให้ทุกคนได้กินข้าวกัน น้ำตาจะไหล
วันรุ่งขึ้นไปถึงจุดสต๊อปแรกค่ะ Salt Lake ชื่อก็บอกแล้วล่ะว่าเป็นทะเลเกลือ เหมือนมีชายหาด แต่ทรายทั้งหมดเป็นเกลือ ก็เป็นอะไรที่แปลกดี
เชื่อว่าหลายๆคนเวลาขับรถไกลๆ แบบชนิดที่มองไม่เห็นจุดจบของถนนซักที อาจจะทำให้ล้าสายตาได้ง่ายๆ นี่คือขับเป็นพันๆกิโล ตรงอย่างเดียว ไม่มีแยก ไม่มีไฟแดง มีซากจิงโจ้กับ มีซากรถคว่ำอยู่ทุกๆร้อยกิโลเห็นจะได้ ไม่มีใครรู้ว่ารถคว่ำตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เป็นเครื่องชูกำลังชูใจ ให้ตั้งใจขับรถได้อย่างดีทีเดียวค่ะ
สงสัยมั้ยว่าแล้วแผนที่มันจะวาดยังไง จะมีอะไรเป็นจุดบ่งบอกว่าถึงแล้วหรือยังไม่ถึง จริงๆในแผนที่ก็มีชื่อเมืองต่างๆมาร์กไว้ตลอดทางหลวง Sturt Highway ค่ะ แต่อิแต่ละเมืองที่ว่านี้ ก็คือปั๊มน้ำมันนั่นเอง !! มีครั้งนึงด้วยความแบ๊วของคณะ เมื่อไปถึงปั๊มน้ำมันแห่งนึง เราก็ไปถามคนในมินิมาร์ตว่า เห้ นี่ city centre อยู่ตรงไหนง่ะ นางก็ตอบมาว่า ตรงนี้แหละจ่ะแม่หนู สรุป ใจกลางเมืองของนางก็ประกอบไปด้วยสถานีบริการน้ำมันเก่าๆสองกล่อง ไม่มีหลังคา... ผ่างงงง

อันนี้ถ่ายด้วยกล้องบีบี กากนิสนึง

อันนี้เป็นปั๊มแรกที่เรานอนเมื่อคืน
ทันทีที่พ้นรัฐออสเตรเลียใต้ (South Australia) เข้าเขตปกครองพิเศษเหนือ (Northern Territory) เราก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ งานทรายเริ่มมา สีแสดๆแดง เหมือนอูลูรู่เลย เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเราได้ใกล้นางเข้าไปทุกวินาที ท้องฟ้าวันนั้นก็สดใสมาก ไม่มีเมฆเลย ช่างตัดกับสีของทรายสีแดงได้อย่างดีทีเดียว

นี่ขึ้นไปเดินเล่นชมวิวกันซะหน่อย นี่ใส่รองเท้าแตะสานๆไป พังสิครับ อ้าก ทรายร้อนมากก
ค่ำวันนั้นเราก็หาที่จอดนอนตรงจุดพักรถที่ใกล้ที่สุด ซึ่งห่างอูลูรู่ออกไปประมาณ 60 กิโล (ใกล้สุดแล้วหรอเนี่ยยยย) จุดพักรถนี้จริงๆเค้าก็ให้พักเฉยๆแหละ แต่ด้วยความงกอีกอะ บวกกลับเป็นพื้นที่ห่างไกลตำรวจที่ไหนจะมาปรับ ก็เลยจอดนอนมันตรงนี้แหละ น้ำเค้าก็มีให้ เป็นแท็งก์ใหญ่ๆ มีม้านั่งพอกุ๊กกิ๊ก ไว้กินข้าวเย็นในความมืดกัน
วันรุ่งขึ้นตื่นตี4 เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่อูลูรู่ ไปถึงผ่าง เค้ายังไม่เปิด! ก็เลยเลี้ยวรถกลับแล้วตามป้าย "ชมพระอาทิตย์ขึ้น" ไป จึงได้พบกับจุดชมวิวที่อลังการมาก
พวกเรา 7 คนนั่งอยู่ในความเงียบ มองหน้ากันแต่ไม่มีใครพูดอะไร (สงสัยง่วงนอน) ต่างคนต่างซึมซับบรรยากาศตอนเช้ากันไป จริงๆตอนแรกโคตรขัดใจเลย เพราะไม่ชอบตื่นเช้ากับดูพระอาทิตย์ขึ้น รู้สึกเป็นอะไรที่ Cliché แต่ก็เออออตามเค้าไปไม่อยากเรื่องมาก
พอมาได้เห็นจริงๆก็ทึ่งนะ ทึ่งที่ธรรมชาติสร้างสรรค์อะไรแบบนี้ไว้กลางออสเตรเลีย คือนั่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่ฟ้ายังมืดตึ้บ จนพระอาทิตย์ขึ้นพ้นยอดอูลูรู่ เหมือนดูสารคดีที่เค้ากอภาพพระอาทิตย์ขึ้นเร็วๆแล้วมีมนุษย์เมืองเดินไปเดินมายั่วเยี้ยนั่นแหละ แต่นี่เป็นภาพแบบเรียบๆง่ายๆ ทุกอย่างนิ่ง มีแค่พระอาทิตย์เท่านั้นที่ขยับ
ซึบซับบรรยากาศกันเสร็จก็จะเข้าไปชมเจ้าหินบ้านี่แล้วนะ!! มาก่อนเวลาอุทยานเปิดครึ่งชม.ก็ต่อคิวรอไป ไม่นานก็ได้เข้า อุทยานกินบริเวณกว้างพอสมควรเลย สร้างเป็นถนนสามารถขับวนรอบ Uluru และ Kata Tjuta (ใครออกเสียงถูก ช่วยหน่อย >.<) เราก็ขับไปอูลูรู่กันก่อน พอมาถึงนี่ก็เพิ่งรู้ว่าต้องเดินป่าเดินเขาด้วย นอกจากจะนอนข้างทางแล้ว นี่เพื่อนๆที่น่ารักพาเรามาออกกำลังกายอีก ดี!! ซึ่งทางเดินมีให้เลือกหลายระดับง่ายไปจนถึงยาก ไม่ต้องแปลกใจเลย เพื่อนๆที่น่ารักเราก็บอกว่าจัดไปเอาที่ยากสุด!! อะ 15 กิโลมเมตร Loop แปลว่าทางเข้ากับทางออกคนละทาง ห้ามขี้แยหยุดกลางทางแล้วหวังจะให้เพื่อนมารับกลับ! งิดไปเบาๆ สีหน้าออกอาการ เพื่อนถามเธอไหวป่าวอะ เราบอกเราว่าเราไม่ไหวอะ ปกติเป็นคนไม่ออกกำลังกาย พวกนางบอกบ้าชิวๆ เรายังวัยรุ่น เราแข็งแรง You can do this! ปกติประโยคนี้จะช่วยให้คนฮึดมีกำลังใจทำอะไรใช่มะ ป่าวเลย เรานี่ อิห่าาา ก็พวกเธออยากเดินหนิ บังคับช้าน T_T
แล้วก็การเดินทางครั้งนี้จำเป็นมากที่ต้องไปไหนไปด้วยกัน เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณจ้า!!!

ภาพก่อนรับรู้ชะตากรรมว่าต้องเดินเยอะขนาดนั้น
ทางเดินแรกๆก็ยังเป็นทางเรียบๆ ซักพักงานหินกรวดเม็ดใหญ่ก็เริ่มมา โอยเดินไกลไม่พอ ปวดติงอีกต่างหาก นอกจากนั้นดิฉันลืมเอาหมวกมา มะเร็งกินหัวแน่ๆๆๆ (โอโซนรั่วตรงออสเตรเลียพอดี) ฮือ แม่จ๋ามารับกลับบ้านที T_T แต่เอาจริงๆพอผ่านพ้นวันนั้นมาได้ ไม่ได้รู้สึกแข็งแรงที่น่องอะไรขึ้นมา แต่สัมผัสได้สีผิวที่เปลี่ยนไป เพราะส้มมาก! ทั้งแดดเลีย ทั้งฝุ่นดินสีส้ม เป็นสีผิวที่สวยมากจริงๆค่ะ นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นค่ะ.. จริงๆทริปยังไม่จบอิอิ ไว้ต่อภาคสองเน้อออ
ยังไงก็ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ค่า
+++++ อูลูรู่ ดิเอ้าท์แบ๊ค ทะเลทรายแดนจิงโจ้ ตุเลงๆนอนมันบนรถนี่แหละ! +++++
มาเข้าเรื่องเลยดีกว่า... พูดถึงออสเตรเลีย นึกถึงอะไร? พลาดไม่ได้ก็คงเป็นจิงโจ้ โคอาล่า เมลเบิร์น ซิดนีย์ อะไรเถือกๆนี้เนาะ ไม่รู้จะมีซักกี่คนนึกถึงทะเลทราย.... ใช่ล้าว ไปทะเลทรายมา! จริงๆแล้วประเทศออสเตรเลียมีทะเลทรายคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ 18 ของพื้นที่เมนแลนด์ทั้งหมด แต่นี่ยังไม่รวมพื้นที่แห้งแล้งที่เกือบจะเป็นทะเลทรายแต่ไม่ใช่ทะเลทรายนะ โดยภาพรวมแล้ว มีแต่เมืองชายทะเล ขอบๆทวีปออสเตรเลียเท่านั้นที่มีคนมาตั้งรกรากอยู่อาศัยทำมาหารับประทานกัน เพราะอากาศตรงอื่นมันช่างโหดร้ายเหลือเกิน ปลูกพืชอะไรก็ไม่ขึ้น
ทีนี้กันยายนปีที่แล้ว มีเพื่อนมาชวนไปอูลูรู่ (Uluru)ด้วยกัน เป็นกลุ่มเพื่อนชาวยุโรปหลายๆชาติสิริรวม 6 คน เราก็ตบปากรับคำแบบไม่คิดเลย เพราะอยากไปเที่ยวจนตัวสั่น กลัวไม่ได้ไป 555 แต่ถามว่าตอนแรกรู้มั้ยว่าแพลนเป็นยังไง ไปยังไง นอนยังไง อะไรยังไง บอกเลยว่าไม่รู้ นี่ก็ใจง่าย รู้อย่างเดียวไปอูลูรู่!
ถามว่าอูลูรู่คืออะไร นางคือก้อนหินยักษ์สีแสดแดง เหมือนภูเขา แต่ไม่มีพืชต้นไม้หรือสิ่งมีชีวิตใดๆเท่าไหร่ ตั้งอยู่กลางที่โล่งกว้างกลางประเทศออสเตรเลียที่เค้าเรียกกันว่าดิเอ้าท์แบ๊ค (The Outback) เป็นกลางพื้นแผ่นทวีปที่แห้งแล้ง อัตราผู้อยู่อาศัยต่ำมากๆ เป็นทะเลทรายว่างั้นเถอะ พูดง่ายๆ สิ่งมีชีวิตก็ประกอบด้วยหมาจิ้งจอกดิงโก้ จิงโจ้ และ สัตว์เลื้อยคลานต่างๆ (เท่าที่สังเกตเห็นเอง)
สรุปคือพวกนางจะไปแบบ road trip คือขับรถกันไปเองนั่นแหละ ประเด็นคือดิฉันขับรถไม่เป็น เติมน้ำมันรถก็ไม่เป็น(เมืองนอกเค้าให้เติมเอง...) ซ่อมรถก็ไม่เป็น สรุปคือเป็นตัวไร้ประโยชน์มาก ทำเป็นแต่กับข้าวกับปลาฟรุ้งฟริ้งๆ แต่ความพีคสำหรับหญิงสาวชาวเมืองหลวงอย่างดิฉันแล้ว ก็คือการนอนในรถ! เห้ย เดี๋ยว แปบนะ ตลกละ (แต่ก็ยังอยากไป... เอาวะ ดิบต้องดิบให้สุด) แต่นอนในรถที่ว่านี้คือ เป็นรถแบบแคมเปอร์แวนคันนึง กับรถธรรมดาอีกคันนึงแล้วนอนในเต้นท์ สองคันนอนได้ 7 คนพอดี้พอดี (อ่อมันชวนเรามาเป็นตัวหารนี่เอง ขรรม) สรุป แพลนก็คือ ขับรถจากอะดิเหลด (ทางตอนใต้) ยิงยาวไปประมาณ 10 วัน จรดเมืองดาร์วิน ซึ่งอยู่ตอนเหนือ สิริรวม 3000 ฝ่ากิโลเมตร !!!
รถที่เช่านั้น ข้างในก็มีเตียงนอนที่พับเก็บได้ มีซิงค์ล้างจาน มีเตาแก๊ซ มีตู้เย็น มีไมโครเวฟ ซิงค์ล้างจานก็ใช้ได้อยู่ 3 วัน น้ำหมด หาที่เติมไม่ได้ ต้องอาศัยใช้น้ำจากแท็งค์น้ำที่รัฐบาลมีไว้บริการตามจุดพักรถต่างๆ ส่วนแก๊ซมาหมดเอาวันท้ายๆ ก็ไม่เป็นไร พอไหวอยู่ ทีนี้การมาแบบนี้ต้องคิดให้ดีเลยค่ะ ว่าจะเอาอะไรมากินบ้าง ต้องเป็นอาหารที่อยู่ได้โดยไม่ต้องแช่เย็น อาหารสดตัดไปได้เลย เพราะฉะนั้นก็ได้งานปลาทูน่ากระป๋อง มาม่า เส้นพาสต้า ข้าวโพด ถั่วกระป๋อง แอปเปิ้ลเก็บได้นาน ขนมปังแผ่นและนูเทลล่าค่ะ ไม่ต้องแช่เย็น อันนี้เป็นเบสิกๆที่เพื่อนๆชาวยุโรปเตรียมมา เราก็เตรียมไปบ้าง แต่รู้สึกว่าไม่อิ่มแหงเลย เราเลยจัดงานอาหารสำเร็จรูปแบบไมโครเวฟเอา ก็มีข้าวแกงเขียวหวาน ผัดเปรี้ยวหวาน ผัดกะเพรา อะไรทำนองนี้ กะว่าเปรมแน่ๆ พวกแกต้องอิจฉาชั้น แต่!!!!! ตอนไปจริงๆพบว่า ตู้เย็นกับไมโครเวฟนี่ใช้ไม่ได้เลยค่ะ T_T เพราะมันต้องไปต่อไฟฟ้ากับที่ๆเค้ารับจอดรถแคมเปอร์แวน (campground) ซึ่งนิยมมากที่ออสเตรเลีย แต่คือเสียตังค่าจอดน่ะ เพื่อนๆผู้น่ารักของเราเป็นคอนเสปดิบและงก ก็เลยไม่จอดในแคมป์กราวด์ถ้าไม่จำเป็น ถึงจอดก็เอาแบบไม่มีไฟฟ้า (เลือกได้ คนละราคา) ชะเอิงเอย ซื้อมาแล้ว 15แพค ทำไงเดดดดด เหลือบไปพบว่าเอ้ย มันเอาซองๆอาหารสำเร็จรูปนี้ไปต้มในน้ำร้อนแทนได้ จากนั้นมาก็เลยต้มกินมาเรื่อยๆ ฟินค่ะบอกเลย แต่มีอยู่คืนนึง แก๊ซหมด อดต้ม คือไร เสียใจมาก ต้องกินข้าวแบบกรุบๆ กับผัดเปรี้ยวหวานอุณหภูมิห้อง T_T
นอกจากนั้นมีบางวันที่ต้องกินเสบียงอย่างกระมิดกระเมี้ยน เพราะกลัวว่าจะไม่พอสำหรับทั้งทริป (ระหว่างทางไม่มีร้าน หรือมีก็จะแพงมาก) บางมื้อก็กินแอปเปิ้ลลูกเดียว นี่เป็นความรู้สึกครั้งแรกๆของการอดยาก ชีวิตนี้เกิดมา แย่สุดก็ลงไปต้มมาม่า ข้าวผัดไข่ ว่าไป มาแคมปิ้งนี่ฝึกวิชาเอาตัวรอดได้มาสิบกระโหลกเลยทีเดียว เหมือนเรียนลูกเสือเนตรนารี 20 ปีรวมกัน เป็นหลักสูตรเร่งรัด.... แต่หันไปมองเพื่อนๆชาวยุโรป เหมือนเค้าก็ชิวๆนะ มีชาวเยอรมันเป็นพี่น้องคู่นึง บางมื้อกินขนมปังแข็งๆแบบ stone bread กับแครอทดิบๆ งับๆๆเลย ไม่ปลอกเปลือกด้วย กับเพื่อนฝรั่งเศสอีกคนนึง กินหนมปังทาน้ำผึ้ง แอปเปิ้ลลูกนึง จบ เลยมีโอกาสได้นั่งคุยกับเค้านะ ว่ามารู้สึกลำบากมั้ย ลำบากกว่าที่คิดมั้ย เค้าบอกว่า ตอนเด็กๆครอบครัวเค้าไปแคมปิ้งกันบ่อย นี่ก็สบายๆนะ เหมือนคนยุโรปก็คงชอบความลำบากนิดนึง ให้แสบๆคันๆ ต่างจากเรามาก ที่เป็นเด็กเมืองกรุง ไม่เคยได้สัมผัสอะไรลำบากๆเลย นอกจากไปค่ายเนตรนารีของโรงเรียน (ที่เค้าก็ทำอาหารเลี้ยงอยู่ดี...)
วันแรกผ่านพ้นไป ทั้งวันที่ผ่านมานอกจากนั่งอืดๆแล้วก็นอนสับผงก ไร้ความหมายบนรถมาก คนดูแผนที่วางแผนอะไรก็เป็นอีกคนนึง กะคนขับอีกคนนึง เรานั่งหลังกันไป คร่อกกกกก ถึงเวลาพระอาทิตย์ตกดิน ต้องรีบหาที่จอดนอนให้เร็วที่สุด เพราะตามสัญญาห้ามขับรถตอนกลางคืนค่ะ (เอาจริงๆใครจะกล้าขับ คือมืดแบบไม่มีไฟอะไรเลย) สรุปก็นอนที่ปั๊มน้ำมัน พื้นที่บริเวณเค้าใหญ่พอสมควร จริงๆเค้าห้ามทำอาหาร เพราะอยู่ในปั๊มจะจุดไฟได้ไงล่ะเอ้ออออ แต่ได้แคร์มั้ย ก็ไม่ ก็ทำกันอยู่ดี เพราะไม่งั้นจะกินกันยังไงเส้นพาสต้าดิบๆ 555 และแล้ววันนี้ก็ค้นพบความสามารถของตนเองค่ะ คือการจุดเตาแก๊ซและเอาน้ำปะปามาต้ม เพื่อให้ทุกคนได้กินข้าวกัน น้ำตาจะไหล
วันรุ่งขึ้นไปถึงจุดสต๊อปแรกค่ะ Salt Lake ชื่อก็บอกแล้วล่ะว่าเป็นทะเลเกลือ เหมือนมีชายหาด แต่ทรายทั้งหมดเป็นเกลือ ก็เป็นอะไรที่แปลกดี
เชื่อว่าหลายๆคนเวลาขับรถไกลๆ แบบชนิดที่มองไม่เห็นจุดจบของถนนซักที อาจจะทำให้ล้าสายตาได้ง่ายๆ นี่คือขับเป็นพันๆกิโล ตรงอย่างเดียว ไม่มีแยก ไม่มีไฟแดง มีซากจิงโจ้กับ มีซากรถคว่ำอยู่ทุกๆร้อยกิโลเห็นจะได้ ไม่มีใครรู้ว่ารถคว่ำตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เป็นเครื่องชูกำลังชูใจ ให้ตั้งใจขับรถได้อย่างดีทีเดียวค่ะ
สงสัยมั้ยว่าแล้วแผนที่มันจะวาดยังไง จะมีอะไรเป็นจุดบ่งบอกว่าถึงแล้วหรือยังไม่ถึง จริงๆในแผนที่ก็มีชื่อเมืองต่างๆมาร์กไว้ตลอดทางหลวง Sturt Highway ค่ะ แต่อิแต่ละเมืองที่ว่านี้ ก็คือปั๊มน้ำมันนั่นเอง !! มีครั้งนึงด้วยความแบ๊วของคณะ เมื่อไปถึงปั๊มน้ำมันแห่งนึง เราก็ไปถามคนในมินิมาร์ตว่า เห้ นี่ city centre อยู่ตรงไหนง่ะ นางก็ตอบมาว่า ตรงนี้แหละจ่ะแม่หนู สรุป ใจกลางเมืองของนางก็ประกอบไปด้วยสถานีบริการน้ำมันเก่าๆสองกล่อง ไม่มีหลังคา... ผ่างงงง
อันนี้ถ่ายด้วยกล้องบีบี กากนิสนึง
อันนี้เป็นปั๊มแรกที่เรานอนเมื่อคืน
ทันทีที่พ้นรัฐออสเตรเลียใต้ (South Australia) เข้าเขตปกครองพิเศษเหนือ (Northern Territory) เราก็สัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของภูมิทัศน์ งานทรายเริ่มมา สีแสดๆแดง เหมือนอูลูรู่เลย เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเราได้ใกล้นางเข้าไปทุกวินาที ท้องฟ้าวันนั้นก็สดใสมาก ไม่มีเมฆเลย ช่างตัดกับสีของทรายสีแดงได้อย่างดีทีเดียว
นี่ขึ้นไปเดินเล่นชมวิวกันซะหน่อย นี่ใส่รองเท้าแตะสานๆไป พังสิครับ อ้าก ทรายร้อนมากก
ค่ำวันนั้นเราก็หาที่จอดนอนตรงจุดพักรถที่ใกล้ที่สุด ซึ่งห่างอูลูรู่ออกไปประมาณ 60 กิโล (ใกล้สุดแล้วหรอเนี่ยยยย) จุดพักรถนี้จริงๆเค้าก็ให้พักเฉยๆแหละ แต่ด้วยความงกอีกอะ บวกกลับเป็นพื้นที่ห่างไกลตำรวจที่ไหนจะมาปรับ ก็เลยจอดนอนมันตรงนี้แหละ น้ำเค้าก็มีให้ เป็นแท็งก์ใหญ่ๆ มีม้านั่งพอกุ๊กกิ๊ก ไว้กินข้าวเย็นในความมืดกัน
วันรุ่งขึ้นตื่นตี4 เพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นที่อูลูรู่ ไปถึงผ่าง เค้ายังไม่เปิด! ก็เลยเลี้ยวรถกลับแล้วตามป้าย "ชมพระอาทิตย์ขึ้น" ไป จึงได้พบกับจุดชมวิวที่อลังการมาก
พวกเรา 7 คนนั่งอยู่ในความเงียบ มองหน้ากันแต่ไม่มีใครพูดอะไร (สงสัยง่วงนอน) ต่างคนต่างซึมซับบรรยากาศตอนเช้ากันไป จริงๆตอนแรกโคตรขัดใจเลย เพราะไม่ชอบตื่นเช้ากับดูพระอาทิตย์ขึ้น รู้สึกเป็นอะไรที่ Cliché แต่ก็เออออตามเค้าไปไม่อยากเรื่องมาก
พอมาได้เห็นจริงๆก็ทึ่งนะ ทึ่งที่ธรรมชาติสร้างสรรค์อะไรแบบนี้ไว้กลางออสเตรเลีย คือนั่งอยู่ตรงนั้นตั้งแต่ฟ้ายังมืดตึ้บ จนพระอาทิตย์ขึ้นพ้นยอดอูลูรู่ เหมือนดูสารคดีที่เค้ากอภาพพระอาทิตย์ขึ้นเร็วๆแล้วมีมนุษย์เมืองเดินไปเดินมายั่วเยี้ยนั่นแหละ แต่นี่เป็นภาพแบบเรียบๆง่ายๆ ทุกอย่างนิ่ง มีแค่พระอาทิตย์เท่านั้นที่ขยับ
ซึบซับบรรยากาศกันเสร็จก็จะเข้าไปชมเจ้าหินบ้านี่แล้วนะ!! มาก่อนเวลาอุทยานเปิดครึ่งชม.ก็ต่อคิวรอไป ไม่นานก็ได้เข้า อุทยานกินบริเวณกว้างพอสมควรเลย สร้างเป็นถนนสามารถขับวนรอบ Uluru และ Kata Tjuta (ใครออกเสียงถูก ช่วยหน่อย >.<) เราก็ขับไปอูลูรู่กันก่อน พอมาถึงนี่ก็เพิ่งรู้ว่าต้องเดินป่าเดินเขาด้วย นอกจากจะนอนข้างทางแล้ว นี่เพื่อนๆที่น่ารักพาเรามาออกกำลังกายอีก ดี!! ซึ่งทางเดินมีให้เลือกหลายระดับง่ายไปจนถึงยาก ไม่ต้องแปลกใจเลย เพื่อนๆที่น่ารักเราก็บอกว่าจัดไปเอาที่ยากสุด!! อะ 15 กิโลมเมตร Loop แปลว่าทางเข้ากับทางออกคนละทาง ห้ามขี้แยหยุดกลางทางแล้วหวังจะให้เพื่อนมารับกลับ! งิดไปเบาๆ สีหน้าออกอาการ เพื่อนถามเธอไหวป่าวอะ เราบอกเราว่าเราไม่ไหวอะ ปกติเป็นคนไม่ออกกำลังกาย พวกนางบอกบ้าชิวๆ เรายังวัยรุ่น เราแข็งแรง You can do this! ปกติประโยคนี้จะช่วยให้คนฮึดมีกำลังใจทำอะไรใช่มะ ป่าวเลย เรานี่ อิห่าาา ก็พวกเธออยากเดินหนิ บังคับช้าน T_T
แล้วก็การเดินทางครั้งนี้จำเป็นมากที่ต้องไปไหนไปด้วยกัน เพราะอะไรน่ะหรือ เพราะโทรศัพท์ไม่มีสัญญาณจ้า!!!
ภาพก่อนรับรู้ชะตากรรมว่าต้องเดินเยอะขนาดนั้น
ทางเดินแรกๆก็ยังเป็นทางเรียบๆ ซักพักงานหินกรวดเม็ดใหญ่ก็เริ่มมา โอยเดินไกลไม่พอ ปวดติงอีกต่างหาก นอกจากนั้นดิฉันลืมเอาหมวกมา มะเร็งกินหัวแน่ๆๆๆ (โอโซนรั่วตรงออสเตรเลียพอดี) ฮือ แม่จ๋ามารับกลับบ้านที T_T แต่เอาจริงๆพอผ่านพ้นวันนั้นมาได้ ไม่ได้รู้สึกแข็งแรงที่น่องอะไรขึ้นมา แต่สัมผัสได้สีผิวที่เปลี่ยนไป เพราะส้มมาก! ทั้งแดดเลีย ทั้งฝุ่นดินสีส้ม เป็นสีผิวที่สวยมากจริงๆค่ะ นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องราวดีๆที่เกิดขึ้นค่ะ.. จริงๆทริปยังไม่จบอิอิ ไว้ต่อภาคสองเน้อออ
ยังไงก็ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้ค่า