บทก่อนหน้า
บทที่ ๑
http://pantip.com/topic/32012168
บทที่ ๒
http://pantip.com/topic/32150649
บทที่ ๓
http://pantip.com/topic/32175985
บทที่ ๔
http://pantip.com/topic/32186430
บทที่ ๕
http://pantip.com/topic/32205446
บทที่ ๖
http://pantip.com/topic/32219524
บทที่ ๗
http://pantip.com/topic/32236238
บทที่ ๘
http://pantip.com/topic/32452555
บทที่ ๙
สถานที่ที่ดาริกานำชายหนุ่มมาเพื่อมาหา ‘แม่’ นั้นตั้งอยู่คนละฟากของเกาะอย่างที่คุณปวินท์บอก ถึงแม้เกาะดาริกาจะเป็นเกาะที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่โต แต่กว่าจะเดินถึงจุดหมายก็ทำเอาเหงื่อซึมอยู่เหมือนกัน
ดาริกาหยุดเดินเมื่อมาถึงบริเวณที่ร่มรื่นไปด้วยไม้ยืนต้นขนาดไม่สูงนักที่ออกดอกขาวโพลนทั้งต้น ส่งกลิ่นหอมหวานกำจายไปทั่วบริเวณ ตรงกลางเป็นแถวของต้นไม้ปลูกเรียงกันสองฝั่ง ระหว่างแถวเป็นทางเดินปูแผ่นหินทอดยาว
ดาริกาพาชายหนุ่มเดินไปบนทางเดินเล็ก ๆ นั้นจนกระทั่งมองเห็นเจดีย์บรรจุอัฐิหลังย่อมสูงเพียงไหล่ ที่วางอยู่บนลานที่ปูด้วยแผ่นหินชนิดเดียวกับทางเดิน เป็นลานวงกลมที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้ชนิดเดียวกับที่ถูกจัดวางให้เป็นป่าย่อม ๆ ที่สองหนุ่มสาวเพิ่งเดินผ่านเข้ามา
“ที่เก็บอัฐิของแม่ค่ะพี่วี” ดาริกาหันไปบอกชายหนุ่มที่เดินเคียงกันมาก่อนจะเดินไปทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าหน้าเจดีย์ ตรงเหนือฐานเจดีย์มีรูปของหญิงสาวที่มีใบหน้าละม้ายคนที่นั่งเรียบร้อยอยู่ตรงหน้า ซึ่งกรุกระจกเพื่อป้องกันรูปไม่ให้ถูกทำลายด้วยแดดและฝน กระจกสี่เหลี่ยมนั้นใสแจ๋วอย่างที่ทำให้รู้ว่าได้รับการดูแลทำความสะอาดอย่างดี
ปรวีร์นั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ คนที่นั่งลงก่อน มองเห็นหญิงสาวจ้องมองไปที่รูปถ่ายที่ฐานเจดีย์ พึมพำพูดกับคนในรูปเบา ๆ
“แม่ขา น้องดากลับมาแล้วนะคะ ต่อไปนี้น้องดาคงได้มาหาแม่บ่อยขึ้น วันนี้น้องดาจะพาพ่อมาอยู่กับแม่ด้วยนะ จากนี้พ่อกับแม่จะได้เดินเล่นในสวนโมกกันสองคนสบายไปเลย ไม่มีน้องดาเป็นกขค อย่าสนุกกันเพลินจนลืมน้องดาล่ะ แต่ไม่ต้องดีใจไป น้องดาจะมากวนพ่อกับแม่บ่อย ๆ แน่ ๆ” พูดแล้วก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตา คนที่นั่งจับตามองอยู่จึงเลื่อนมือไปกุมมือบางไว้อย่างปลอบประโลม ดาริกาปรายสายตาลงไปมองมือใหญ่ที่กอบกุมมือเล็กของเธอไว้แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเจ้าของมือ หญิงสาวยิ้มให้ชายหนุ่มบางเบา ก่อนจะหันกลับไปเอ่ยกับคนในรูปอีกครั้ง
“แม่ขา จำพี่วีได้ไหมคะ พี่วีลูกชายคุณลุงปวินท์ไงคะ ตอนนี้น้องดาอยู่กับพี่วี คุณพ่อฝากน้องดาไว้กับพี่วีและคุณลุง ทั้งสองคนดูแลน้องดาอย่างดี แม่ไม่ต้องเป็นห่วงน้องดานะคะ วันนี้พี่วีกับคุณลุงมากับน้องดาเพื่อพาพ่อมาอยู่กับแม่ด้วย” ว่าแล้วก็หันมายิ้มให้ชายหนุ่มอีกครั้ง ปรวีร์ขยับเข้าไปก่อนจะกล่าวกับคนในรูปบ้าง
“คุณอาดารินไม่ต้องเป็นห่วงน้องดานะครับ ผมสัญญาว่าจะดูแลน้องดาอย่างดีที่สุด” พูดพร้อม ๆ กับบีบกระชับมือเล็กในอุ้งมือของตน ราวกับกล่าวคำสัญญานั้นต่อเจ้าของมือด้วย
หลังจากนั่งนิ่ง ๆ ต่อหน้าเจดีย์บรรจุอัฐิของมารดาของหญิงสาวกันสักพัก ดาริกาก็หันมาถาม
“พี่วีอยากเดินไปดูทางนู้นไหมคะ” พูดพร้อมชี้มือไปด้านหน้า ปรวีร์มองตามเห็นเพียงแนวของต้นไม้ที่ขึ้นหนาจนไม่รู้ว่าด้านหลังต้นไม้นั่นมีอะไร แต่ก็พยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น
เมื่อเดินไปจนถึงแถวของต้นไม้ หญิงสาวใช้มือแหวกใบและกิ่งไม้ออกให้ชายหนุ่มดู ซึ่งภาพที่เห็นอยู่ด้านหน้าคือท้องทะเลอันกว้างใหญ่
“ตรงนี้เป็นหน้าผาค่ะ จริง ๆ สวนโมกนี้เป็นแหลมที่ยื่นเข้าไปในทะเล ข้างล่างเป็นหน้าผาสูงชัน ไม่มีชายหาด พ่อสร้างสวนนี้ให้แม่เพราะโมกเป็นดอกไม้โปรดของแม่ ก่อนแม่จะเสียได้ขอให้พ่อเอาอัฐิมาไว้ที่นี่ ในสวนโมกที่แม่ชอบมาเดินเล่นเสมอเวลาเรามาที่เกาะนี้” หญิงสาวเล่าขณะเดินไปตามแนวของต้นไม้ที่สูงเหนือศีรษะ ใบสีเขียวอ่อนที่มองเห็นให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวา ช่อดอกไม้สีขาวเป็นพวงก้านผอมยาวโน้มดอกลงดิน ส่งกลิ่นหอมหวานสดชื่น
ดาริกายกมือขึ้นไล้กลีบดอกอันบอบบางสีขาวบริสุทธิ์ซึ่งแยกออกเป็นแฉกห้ากลีบ ลักษณะกลีบคล้ายกับดอกมะลิแต่ยาวกว่าและมีเพียงชั้นเดียว ก่อนจะพูดต่อ
“นี่คือโมกพวง พ่อเลือกใช้พันธุ์นี้เพราะออกดอกตลอดทั้งปี กลิ่นหอมมาก และดอกเป็นพวงสวย โมกเป็นพืชที่ชอบแดดและน้ำ บังสนดูแลอย่างดี ไม่เคยมีวันไหนที่มาที่นี่แล้วจะไม่เห็นดอกโมกให้ชื่นใจ” ว่าพลางหันไปยิ้มให้คนฟัง นัยน์ตาฉายแววเปี่ยมสุขเมื่อได้พูดถึงดอกไม้อันเป็นดอกไม้โปรดของมารดา เมื่อมองเห็นป่าโมก เห็นดอกไม้กลีบบอบบางสีขาวบริสุทธิ์ จมูกได้กลิ่นหอมหวานจรุงใจ ก็ทำให้รู้สึกราวกับยังมีมารดาอยู่ใกล้ ๆ แม้จะไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้ก็ตาม
“น้องดาอยากได้ไปปลูกที่ ‘บ้านเรา’ ไหม” ชายหนุ่มถามเมื่อมองท่าทางไล้มือไปบนกลีบดอกอย่างทะนุถนอมแล้วสัมผัสได้ว่าดอกไม้นี้มีความสำคัญกับเธอเพียงใด
“พี่วีรู้ไหมว่าที่รีอสร์ทของพี่วีก็มีต้นโมก” หญิงสาวว่า ก่อนจะหัวเราะกิ๊กเมื่อมองเห็นสีหน้าของชายหนุ่ม
“ตรงหน้าห้องอาหารไงคะพี่วี แต่ต้นนั้นน่ะเป็นโมกซ้อน ดอกมันมีหลายชั้น ไม่ได้เป็นแบบนี้” หญิงสาวบอก ซึ่งเห็นชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ แต่เขาคงนึกไม่ออกแน่ว่าเธอกำลังพูดถึงต้นไม้ต้นไหน ก่อนจะตัดสินใจบอกเขา
“ถ้าพี่วีไม่ว่าอะไร น้องดาอยากได้แบบปลูกในกระถางในสวนเอาท์ดอร์ฝั่งของน้องดาสักต้นค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นพอเรากลับภูเก็ตแล้วไปเดินร้านต้นไม้กันสักวันเนอะ” ชายหนุ่มบอกซึ่งเรียกรอยยิ้มกว้างและดวงตาเป็นประกายจากคนฟังได้
“กลับกันหรือยังคะพี่วี น้องตาต้องไปช่วยพี่จอยเตรียมอาหารด้วย เดี๋ยวจะไม่ทัน”
“ไปสิ” ชายหนุ่มว่าพลางยื่นแขนให้อย่างที่เคย และคราวนี้ดาริกาก็ยื่นมือมาคว้าแขนเขาไปเกาะเดินอย่างที่ทำเสมอมา เพราะถึงแม้เธอจะรู้สึกกับเขาแตกต่างไปจากเดิม แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็คือพี่วี พี่ชายที่จะคอยยื่นแขนให้เธอเกาะเดินอยู่เสมอ แม้ว่าตอนนี้น้องสาวอย่างเธอจะเริ่มคิดไม่ซื่อกับพี่ชายสักเท่าไหร่ก็ตาม
สองหนุ่มสาวเดินควงกันไปบนทางเดินแผ่นหินที่เดินเข้ามาในตอนแรก กลิ่นหอมหวานของดอกโมกยังอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ ความสงบเงียบของบรรยากาศรอบ ๆ ทำให้ทั้งสองเดินกันไปเงียบ ๆ นาน ๆ ทีก็หันมาสบตาและยิ้มให้กันเสียทีหนึ่ง และแต่ละคนก็ไม่ได้รู้เลยว่า อีกฝ่ายมีความรู้สึกอย่างไรกับตน
ได้แต่หวังว่าคงมีสักวันที่ทั้งสองจะตระหนักว่า อีกฝ่ายก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน และไม่มีเหตุผลที่จะต้องพยายามรักษาความสัมพันธ์แบบพี่น้องที่ไม่เคยมีอยู่นับแต่ครั้งแรกที่สบตากันที่สนามบินแล้ว
พันธนาการสีกุหลาบ บทที่ ๙
บทที่ ๑ http://pantip.com/topic/32012168
บทที่ ๒ http://pantip.com/topic/32150649
บทที่ ๓ http://pantip.com/topic/32175985
บทที่ ๔ http://pantip.com/topic/32186430
บทที่ ๕ http://pantip.com/topic/32205446
บทที่ ๖ http://pantip.com/topic/32219524
บทที่ ๗ http://pantip.com/topic/32236238
บทที่ ๘ http://pantip.com/topic/32452555
สถานที่ที่ดาริกานำชายหนุ่มมาเพื่อมาหา ‘แม่’ นั้นตั้งอยู่คนละฟากของเกาะอย่างที่คุณปวินท์บอก ถึงแม้เกาะดาริกาจะเป็นเกาะที่ไม่ได้มีขนาดใหญ่โต แต่กว่าจะเดินถึงจุดหมายก็ทำเอาเหงื่อซึมอยู่เหมือนกัน
ดาริกาหยุดเดินเมื่อมาถึงบริเวณที่ร่มรื่นไปด้วยไม้ยืนต้นขนาดไม่สูงนักที่ออกดอกขาวโพลนทั้งต้น ส่งกลิ่นหอมหวานกำจายไปทั่วบริเวณ ตรงกลางเป็นแถวของต้นไม้ปลูกเรียงกันสองฝั่ง ระหว่างแถวเป็นทางเดินปูแผ่นหินทอดยาว
ดาริกาพาชายหนุ่มเดินไปบนทางเดินเล็ก ๆ นั้นจนกระทั่งมองเห็นเจดีย์บรรจุอัฐิหลังย่อมสูงเพียงไหล่ ที่วางอยู่บนลานที่ปูด้วยแผ่นหินชนิดเดียวกับทางเดิน เป็นลานวงกลมที่ล้อมรอบด้วยต้นไม้ชนิดเดียวกับที่ถูกจัดวางให้เป็นป่าย่อม ๆ ที่สองหนุ่มสาวเพิ่งเดินผ่านเข้ามา
“ที่เก็บอัฐิของแม่ค่ะพี่วี” ดาริกาหันไปบอกชายหนุ่มที่เดินเคียงกันมาก่อนจะเดินไปทรุดตัวลงนั่งคุกเข่าหน้าเจดีย์ ตรงเหนือฐานเจดีย์มีรูปของหญิงสาวที่มีใบหน้าละม้ายคนที่นั่งเรียบร้อยอยู่ตรงหน้า ซึ่งกรุกระจกเพื่อป้องกันรูปไม่ให้ถูกทำลายด้วยแดดและฝน กระจกสี่เหลี่ยมนั้นใสแจ๋วอย่างที่ทำให้รู้ว่าได้รับการดูแลทำความสะอาดอย่างดี
ปรวีร์นั่งคุกเข่าลงข้าง ๆ คนที่นั่งลงก่อน มองเห็นหญิงสาวจ้องมองไปที่รูปถ่ายที่ฐานเจดีย์ พึมพำพูดกับคนในรูปเบา ๆ
“แม่ขา น้องดากลับมาแล้วนะคะ ต่อไปนี้น้องดาคงได้มาหาแม่บ่อยขึ้น วันนี้น้องดาจะพาพ่อมาอยู่กับแม่ด้วยนะ จากนี้พ่อกับแม่จะได้เดินเล่นในสวนโมกกันสองคนสบายไปเลย ไม่มีน้องดาเป็นกขค อย่าสนุกกันเพลินจนลืมน้องดาล่ะ แต่ไม่ต้องดีใจไป น้องดาจะมากวนพ่อกับแม่บ่อย ๆ แน่ ๆ” พูดแล้วก็ยกมือขึ้นปาดน้ำตา คนที่นั่งจับตามองอยู่จึงเลื่อนมือไปกุมมือบางไว้อย่างปลอบประโลม ดาริกาปรายสายตาลงไปมองมือใหญ่ที่กอบกุมมือเล็กของเธอไว้แล้วจึงเงยหน้าขึ้นมาสบตากับเจ้าของมือ หญิงสาวยิ้มให้ชายหนุ่มบางเบา ก่อนจะหันกลับไปเอ่ยกับคนในรูปอีกครั้ง
“แม่ขา จำพี่วีได้ไหมคะ พี่วีลูกชายคุณลุงปวินท์ไงคะ ตอนนี้น้องดาอยู่กับพี่วี คุณพ่อฝากน้องดาไว้กับพี่วีและคุณลุง ทั้งสองคนดูแลน้องดาอย่างดี แม่ไม่ต้องเป็นห่วงน้องดานะคะ วันนี้พี่วีกับคุณลุงมากับน้องดาเพื่อพาพ่อมาอยู่กับแม่ด้วย” ว่าแล้วก็หันมายิ้มให้ชายหนุ่มอีกครั้ง ปรวีร์ขยับเข้าไปก่อนจะกล่าวกับคนในรูปบ้าง
“คุณอาดารินไม่ต้องเป็นห่วงน้องดานะครับ ผมสัญญาว่าจะดูแลน้องดาอย่างดีที่สุด” พูดพร้อม ๆ กับบีบกระชับมือเล็กในอุ้งมือของตน ราวกับกล่าวคำสัญญานั้นต่อเจ้าของมือด้วย
หลังจากนั่งนิ่ง ๆ ต่อหน้าเจดีย์บรรจุอัฐิของมารดาของหญิงสาวกันสักพัก ดาริกาก็หันมาถาม
“พี่วีอยากเดินไปดูทางนู้นไหมคะ” พูดพร้อมชี้มือไปด้านหน้า ปรวีร์มองตามเห็นเพียงแนวของต้นไม้ที่ขึ้นหนาจนไม่รู้ว่าด้านหลังต้นไม้นั่นมีอะไร แต่ก็พยักหน้ารับอย่างกระตือรือร้น
เมื่อเดินไปจนถึงแถวของต้นไม้ หญิงสาวใช้มือแหวกใบและกิ่งไม้ออกให้ชายหนุ่มดู ซึ่งภาพที่เห็นอยู่ด้านหน้าคือท้องทะเลอันกว้างใหญ่
“ตรงนี้เป็นหน้าผาค่ะ จริง ๆ สวนโมกนี้เป็นแหลมที่ยื่นเข้าไปในทะเล ข้างล่างเป็นหน้าผาสูงชัน ไม่มีชายหาด พ่อสร้างสวนนี้ให้แม่เพราะโมกเป็นดอกไม้โปรดของแม่ ก่อนแม่จะเสียได้ขอให้พ่อเอาอัฐิมาไว้ที่นี่ ในสวนโมกที่แม่ชอบมาเดินเล่นเสมอเวลาเรามาที่เกาะนี้” หญิงสาวเล่าขณะเดินไปตามแนวของต้นไม้ที่สูงเหนือศีรษะ ใบสีเขียวอ่อนที่มองเห็นให้ความรู้สึกมีชีวิตชีวา ช่อดอกไม้สีขาวเป็นพวงก้านผอมยาวโน้มดอกลงดิน ส่งกลิ่นหอมหวานสดชื่น
ดาริกายกมือขึ้นไล้กลีบดอกอันบอบบางสีขาวบริสุทธิ์ซึ่งแยกออกเป็นแฉกห้ากลีบ ลักษณะกลีบคล้ายกับดอกมะลิแต่ยาวกว่าและมีเพียงชั้นเดียว ก่อนจะพูดต่อ
“นี่คือโมกพวง พ่อเลือกใช้พันธุ์นี้เพราะออกดอกตลอดทั้งปี กลิ่นหอมมาก และดอกเป็นพวงสวย โมกเป็นพืชที่ชอบแดดและน้ำ บังสนดูแลอย่างดี ไม่เคยมีวันไหนที่มาที่นี่แล้วจะไม่เห็นดอกโมกให้ชื่นใจ” ว่าพลางหันไปยิ้มให้คนฟัง นัยน์ตาฉายแววเปี่ยมสุขเมื่อได้พูดถึงดอกไม้อันเป็นดอกไม้โปรดของมารดา เมื่อมองเห็นป่าโมก เห็นดอกไม้กลีบบอบบางสีขาวบริสุทธิ์ จมูกได้กลิ่นหอมหวานจรุงใจ ก็ทำให้รู้สึกราวกับยังมีมารดาอยู่ใกล้ ๆ แม้จะไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสได้ก็ตาม
“น้องดาอยากได้ไปปลูกที่ ‘บ้านเรา’ ไหม” ชายหนุ่มถามเมื่อมองท่าทางไล้มือไปบนกลีบดอกอย่างทะนุถนอมแล้วสัมผัสได้ว่าดอกไม้นี้มีความสำคัญกับเธอเพียงใด
“พี่วีรู้ไหมว่าที่รีอสร์ทของพี่วีก็มีต้นโมก” หญิงสาวว่า ก่อนจะหัวเราะกิ๊กเมื่อมองเห็นสีหน้าของชายหนุ่ม
“ตรงหน้าห้องอาหารไงคะพี่วี แต่ต้นนั้นน่ะเป็นโมกซ้อน ดอกมันมีหลายชั้น ไม่ได้เป็นแบบนี้” หญิงสาวบอก ซึ่งเห็นชายหนุ่มพยักหน้ารับรู้ แต่เขาคงนึกไม่ออกแน่ว่าเธอกำลังพูดถึงต้นไม้ต้นไหน ก่อนจะตัดสินใจบอกเขา
“ถ้าพี่วีไม่ว่าอะไร น้องดาอยากได้แบบปลูกในกระถางในสวนเอาท์ดอร์ฝั่งของน้องดาสักต้นค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นพอเรากลับภูเก็ตแล้วไปเดินร้านต้นไม้กันสักวันเนอะ” ชายหนุ่มบอกซึ่งเรียกรอยยิ้มกว้างและดวงตาเป็นประกายจากคนฟังได้
“กลับกันหรือยังคะพี่วี น้องตาต้องไปช่วยพี่จอยเตรียมอาหารด้วย เดี๋ยวจะไม่ทัน”
“ไปสิ” ชายหนุ่มว่าพลางยื่นแขนให้อย่างที่เคย และคราวนี้ดาริกาก็ยื่นมือมาคว้าแขนเขาไปเกาะเดินอย่างที่ทำเสมอมา เพราะถึงแม้เธอจะรู้สึกกับเขาแตกต่างไปจากเดิม แต่ไม่ว่าอย่างไร เขาก็คือพี่วี พี่ชายที่จะคอยยื่นแขนให้เธอเกาะเดินอยู่เสมอ แม้ว่าตอนนี้น้องสาวอย่างเธอจะเริ่มคิดไม่ซื่อกับพี่ชายสักเท่าไหร่ก็ตาม
สองหนุ่มสาวเดินควงกันไปบนทางเดินแผ่นหินที่เดินเข้ามาในตอนแรก กลิ่นหอมหวานของดอกโมกยังอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศ ความสงบเงียบของบรรยากาศรอบ ๆ ทำให้ทั้งสองเดินกันไปเงียบ ๆ นาน ๆ ทีก็หันมาสบตาและยิ้มให้กันเสียทีหนึ่ง และแต่ละคนก็ไม่ได้รู้เลยว่า อีกฝ่ายมีความรู้สึกอย่างไรกับตน
ได้แต่หวังว่าคงมีสักวันที่ทั้งสองจะตระหนักว่า อีกฝ่ายก็มีความรู้สึกไม่ต่างกัน และไม่มีเหตุผลที่จะต้องพยายามรักษาความสัมพันธ์แบบพี่น้องที่ไม่เคยมีอยู่นับแต่ครั้งแรกที่สบตากันที่สนามบินแล้ว