เมื่อเช้า ผมได้ตั้งกระทู้อันนึง แต่เพราะไม่มีเวลานั่งหน้าคอมฯ ตลอดช่วงเช้า ก็เลยไม่ได้ตอบอะไร
http://pantip.com/topic/32150089
ก็เลยขอยกประเด็นที่น่าสนใจ มาตั้งกระทู้นี้ตอบอีกครั้ง
________________________________
เริ่มต้นขอเริ่มตรงประเด็นกระทู้ เพราะคิดว่าหลายคนที่ให้ความเห็น น่าจะไม่เข้าใจประเด็นที่ผมอยากนำเสนอ
จริง ๆ มันก็คือ ผมคิดว่า ไทยมีข้าวเหลือจากการใช้บริโภคในประเทศประมาณ 10 ล้านตันทุกปี แต่ช่วงสองปีที่ผ่านมา (2555,2556) รัฐบาลพยายามจะดึงราคาส่งออกให้สูงขึ้น ก็เลยทำการกักข้าว พยายามระบายออกมาให้น้อย เพื่อให้ขายได้ราคาแพงขึ้น ซึ่งอาจจะได้เงินมากกว่า การขายข้าวมากก็ได้
เลยทำให้ช่วงสองปีนั้น ไทยส่งออกข้าวลดลงจาก 9-10 ล้าน ในช่วง 2-3 ก่อนหน้านั้น ลงมาเหลือไม่ถึง 7 ล้านตัน โดยที่มูลค่าการส่งออกเฉลี่ยต่อตันสูงขึ้น
แต่ก็ทำให้ไทยมีสต๊อกข้าวจำนวนมาก เลยเป็นผลให้ปีนี้ ไทยต้องเร่งส่งออก ทำให้ราคาตกลง จากที่ 4 เดือนแรกปีก่อน เฉลี่ยได้ตันละ 2 หมื่นกว่าบาท ลงเหลือเป็น 16,700 บาท ในปีนี้เท่านั้น
ประเด็นของผมก็คือ ข้าวไม่ใช่สินค้าที่เก็บไว้ได้นาน และไม่ใช่ของที่ใช้พื้นที่เก็บน้อย ดังนั้น ยิ่งเก็บนาน ค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บก็สูง และมีความเสี่ยงต่อการเสียหายด้วย
สองปีที่ผ่านไป แม้จะขายข้าวได้ราคาดีขึ้น แต่เมื่อนำมาเฉลี่ยกับปีนี้แล้ว สุดท้ายประโยชน์ที่คิดว่าน่าจะได้จากสองปีที่ผ่านมา ก็ต้องเสียไปกลับการขายข้าวในปีนี้หมด
แล้วผลกระทบที่เกิด ก็ยังไม่หมดในปีนี้แน่ เพราะขายยังไง ข้าวที่มีอยู่ก็ไม่หมด ค่าใช้จ่ายก็เดินไป ปริมาณข้าวที่มี ก็ทำให้ราคาข้าวในปีหน้า ก็ยังคงต่ำต่อไปอีก
ดังนั้น การที่มีคนเอาเรื่องการเป็นแชมป์ส่งออกข้าว มาตีความว่าไม่น่าเป็น เพราะชาวนาขายข้าวได้ถูก แล้วจะเป็นไปทำไม
ก็คงต้องย้อนถามไปว่า แล้วข้าวที่ปลูกมาแล้ว จะเก็บไว้ทำไมให้มันเสียหาย ขายได้ราคาต่ำ ก็น่าจะดีกว่า เก็บไว้ไม่ขาย สุดท้ายต้องเอามาเลหลังขายถูกกว่า แบบนี้
ย้ำนะครับ ผมไม่ได้สนใจว่าไทยจะเป็นแชมป์ส่งออกข้าวหรือไม่ แต่การตั้งกระทู้เมื่อเช้า ก็อยากชี้ให้เห็นว่า ไทยจำเป็นต้องส่งออกข้าวระดับ 10 ล้านตัน เพื่อรักษาสมดุลของปริมาณข้าวที่ผลิตได้ ไม่ให้เหลือค้างสต๊อกมากจนเกินไป ซึ่งถ้าส่งออกได้ในระดับนี้ แล้วประเทศอื่นส่งออกน้อยกว่า ไทยก็ต้องรับตำแหน่งแชมป์ แต่ไม่ใช่ให้ไขว่คว้าหาทางให้ได้มา แต่เป็นเพราะไทยจำเป็นต้องขายข้าวให้ได้ยอดนี้ ไม่อย่างนั้น ก็จะเหลือเต็มประเทศแบบที่เป็นอยู่ในวันนี้
______________________________________
อันแรกที่ขอตอบ ก็คงเป็นประเด็นของจุก ที่แสดงความไม่ฉลาด ด้วยการไม่ยอมอ่าน ได้เรื่อย ๆ ไม่ยอมพัฒนาตัวเองจริง ๆ
เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับ คสช. แล้วในเนื้อหาในกระทู้ผม ก็ไม่มีคำว่า คสช.สักคำ แต่ก็มาแนวเดิม จุกอยากด่าประเด็นนี้ ก็ด่า ไม่ว่าเขียนถึงหรือเปล่า ก็จะด่า เสือ+ไก่ ไม่เขียนถึงเอง
เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของ เมื่อข้าวไทยราคาถูกลง ยิ่งถูกกว่าเวียดนามแล้ว มันก็ยิ่งแข่งขันได้มาก คนก็อยากซื้อมากขึ้น เทียบกับสองปีก่อน ที่ราคาแพงกว่าเวียดนามเป็นร้อยเหรียญ คนก็ซื้อน้อย
เมื่อมีคนซื้อมาก ก็ส่งออกได้มาก มันก็คาดเดาว่า จะทวงแชมป์ส่งออกได้ ก็เท่านั้น
ไม่มี คสช.นะจุก หัดอ่านก่อนด่าด้วย
__________________________________
อันนี้ก็อีกนิสัยถาวรของจุก คือ จริง ๆ ไม่รู้อะไรหรอก แต่อยากอวดรู้ ก็พยายามพูดให้กว้าง ๆ คลุมเครือไว้ ผมถามคำถามเดิม ๆ ไปจุกก็คงตอบได้แต่แบบเดิม ๆ เพราะจุกแม้คุยเรื่องนี้มาสองปีแล้ว ก็ยังไม่พัฒนาสักที
สมมติเอาแบบที่จุกว่านั่นแหละ ชาวนาขายข้าวได้ 6,500 บาท จุกรู้มั้ยว่า ราคานี้ คิดเป็นราคาข้าวสารกี่บาท ถ้าหากวันนี้ชาวนาขายได้ราคานี้ จุกรู้มั้ยว่า พ่อค้าต้องส่งออกข้าวราคาไหน ถึงจะมีกำไร 10% (เผื่อจุกไม่เข้าใจ อธิบายนิดนึง ก็คือ ถ้าข้าว 6,500 บาท แปลงเป็นข้าวสารแล้วได้ราคา 7,000 บาท (ตัวเลขสมมตินะครับ ของจริงให้จุกไปหาข้อมูลดูว่าประมาณเท่าไหร่) พ่อค้าต้องขาย 7,700 บาท ถึงกำไร 10% นะครับ)
คำว่าต่างกันลิบของจุกนั้น คงไม่ใช่กำไร 10% แน่ ๆ ดังนั้น ถ้าจุกคิดเสร็จ น่าจะตอบได้ว่า ทุกวันนี้ที่ราคาส่งออกต่ำกว่า 400 เหรียญ (ก็ไม่เกินตันละ 12,000 บาท) พ่อค้าจะกำไรเท่าไหร่ ถ้าเริ่มต้นที่ราคาข้าวเปลือกหักความชื้นแล้วเป็น 6,500 บาท
________________________________________
มาที่ความเห็นต่อไป
จริง ๆ แล้วประเด็นราคาส่งออก กับ ผลตอบแทนชาวนา มันเป็นสองเรื่องที่แยกกันอย่างชัดเจนอยู่แล้ว
ที่ผ่านมา รัฐบาลก็แยกสองเรื่องนี้อย่างชัดเจน
เทียบกันในสองรัฐบาลย้อนหลังก็พอ
สมัยประกันรายได้ ก็คือปล่อยกลไกตลาดทำงานไป ราคาข้าวแพงถูก ก็ตามกลไก แต่รัฐมีการกำหนดราคาขั้นต่ำไว้ ชาวนาควรได้ตันละเท่าไหร่ รัฐก็ชดเชยให้ครบไปตามนั้น (ขอแค่หลักการนะครับ พวกมีปัญหาในขั้นตอนปฏิบัติ ก็ต้องปรับปรุงไป) ดังนั้น ไม่ว่าราคาตลาดจะเลวร้ายขนาดไหน ตามหลักการแล้ว ชาวนาก็จะได้ค่าตอบแทน ตามที่รัฐกำหนดไว้เป็นขั้นต่ำ
มาสมัยจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ รัฐบาลก็กำหนด ราคาขั้นต่ำการรับซื้อว่า อยู่ที่ 15,000 บาท ชาวนาก็จะได้เงินประมาณนี้ ส่วนรัฐบาลจะไปขายแล้วได้เงินเท่าไหร่ ก็ไม่เกี่ยวกับชาวนาแล้ว
จะเห็นว่า ทั้งสองโครงการ ราคาที่ชาวนาขายได้ ไม่ได้ผูกพันกับราคาตลาดเลย เป็นราคาที่รัฐคิดว่าชาวนาควรได้เท่านั้น
แต่พอมาตอนที่รัฐบาลเงินหมดนี่แหละ เลยทำให้สองเรื่องนี้ต้องนำมาเกี่ยวโยงกัน เพราะรัฐบาลเมื่อขายข้าวไม่ได้ ก็ไม่มีเงินหมุนเวียน มาเพื่อจ่ายค่าข้าวให้ชาวนา สาเหตุที่รัฐขายข้าวไม่ได้ ไม่ใช่เป็นเพราะไม่มีคนซื้อ แต่เพราะรัฐอยากขายได้ราคาแพง ก็เลยไม่ยอมขายถูก สุดท้ายเมื่อถึงจุดนึงเงินหมด คราวนี้ก็เลยยอมขายทุกราคา เป็นที่มาทำให้ราคาข้าวตกต่ำลง
เลยมีผลกระทบย้อนกลับไปหาชาวนาอีก เมื่อตอนนี้รัฐบาลไม่มีโครงการช่วยเหลือชาวนา ก็ทำให้ราคาข้าวที่ชาวนาจะขายได้ ก็จะอยู่ในราคาตลาด ซึ่งตอนนี้ จากราคาตลาด 12,000 บาท ราคาข้าวเปลือก ก็ต้องต่ำกว่า 7,000 บาท หรือถ้าเป็นข้าวที่ความชื้นสูง ก็จะขายได้ไม่เกิน 6,000 บาท
ซึ่งจริง ๆ แล้ว การช่วยเหลือชาวนา ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์พูดถึงว่าจะทำ นอกจากการจำนำข้าวแล้ว ยังมีอีกสองเรื่อง คือการจัดโซนนิ่ง กับ การลดต้นทุนการผลิต แต่ทั้งสองเรื่อง ได้แค่พูด แต่ไม่ยอมทำสักที เพราะใช้รัฐมนตรีที่เก่งแต่โม้ แต่ไม่เก่งทำ เลยทำให้สองปีที่ผ่านมา ชาวนาได้ประโยชน์แค่เพียง ขายข้าวได้ราคาดีขึ้น
ส่วนชาวนาที่ไม่ได้จำนำ ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่กลับต้องเสียประโยชน์ เพราะค่าปุ๋ย ค่ายา แพงขึ้นอีก
แล้วพอมาถึงวันนี้ ประโยชน์ต่าง ๆ ก็หมดลง พร้อมทั้งการช่วยเหลือด้านอื่นที่เคยว่าจะทำ ก็ยังไม่เห็นมีอะไร (มีแต่การสักแต่ว่าทำ จัดโซนนิ่ง ก็จัดได้เรียบร้อย คือประเทศไทยเหมาะสมกับการปลูกข้าว 76 จังหวัด การลดต้นทุน ก็ทำได้แค่แจกหนังสือ ไม่กี่เล่ม ไม่รู้แจกไปแล้วมีคนอ่านแล้วทำตามบ้างหรือป่าว) หน่วยงานราชการที่รับผิดชอบ ก็คงเพราะไม่มีงบประมาณสนับสนุน ก็ไม่เลยได้สานต่อเท่าไหร่
___________________________________
มาความเห็นต่อไป
อันนี้ผมอ่านแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจ ความรู้การตลาดในประเด็นนี้ที่ต้องใช้คืออะไร
ถึงแม้ว่าผมจะเรียนไม่ค่อยเก่ง แต่ marketing ก็ยังได้ B ดังนั้น ผมยังมองไม่เห็นว่า ความรู้การตลาดที่ต้องการในประเด็นนี้คืออะไร
ถ้าจะเอาเกี่ยว ก็คงมี P ตัวสุดท้าย คือ เก็บข้าวไว้สองปี แล้วเอาขายในราคาโปรโมชั่นแค่นั้น
ถ้าคุณทาร์ซาน ได้อ่านกระทู้นี้ รบกวนขยายความหน่อยว่า ความรู้การตลาดที่ต้องเรียนรู้เพิ่ม คืออะไร
ผมจะได้มองไกลขึ้น
เพราะเรื่องข้าวนี้เกือบสองปีที่ตั้งกระทู้มา ผมว่าถึงผมมองไม่ไกล แต่ก็ยังมองไม่พลาดในประเด็นใหญ่สักอัน
__________________________________
แล้ว 7,000 มันราคาตลาดหรือป่าว หรือว่าเป็นราคาที่ถูกกดราคา
เพราะที่รัฐบาลรับจำนำ 15,000 บาท นั้น รัฐบาลก็คำนวณต้นทุนข้าวสารออกมาแล้วว่า ราคา 25,000 บาท
ดังนั้น ถ้าข้าวเปลือก 7,000 บาท ราคาข้าวสารก็อยู่ประมาณ 12,000 บาท ก็เป็นราคาตลาดแล้วนะครับ
ที่ผ่านมารัฐบาลช่วยให้ขายได้ราคาดีกว่าราคาตลาด แต่เมื่อในสภาวะปกติ ไม่มีความช่วยเหลือใด ราคาที่พ่อค้าจะซื้อ ก็ต้องเป็นราคาที่ขายได้
คงไม่มีพ่อค้าคนไหน ซื้อแล้วทำให้ต้นทุนไปเป็น 13,000 บาท เพื่อขายในราคาไม่ถึง 12,000 บาท มั้งครับ
______________________________________________
ตรงนี้ขออีกอันแล้วกัน
ผมพูดในเรื่องนโยบายจำนำข้าว ไม่สับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะไปว่าใครที่ไหน
แต่ผมอยากย้อนถามว่า ผมไปอวยรัฐบาลนี้ (รัฐบาลไหนก็ไม่รู้นะครับ เพราะตอนนี้ไม่มีรัฐบาล) ตอนไหน ขอช่วยชี้ตำแหน่งหน่อย
ถ้าหมายถึง คสช. ผมว่า ผมก็ตั้งกระทู้ไปหลายอัน โดนลบไปหลายอัน แต่ที่มีเหลือก็ยังพอมี ลองย้อนอ่านสักหน่อยก็ดีนะครับ ก่อนจะวิจารณ์
อย่าคิดไปเองครับ
ไทยกับแชมป์ส่งออกข้าว 2
http://pantip.com/topic/32150089
ก็เลยขอยกประเด็นที่น่าสนใจ มาตั้งกระทู้นี้ตอบอีกครั้ง
________________________________
เริ่มต้นขอเริ่มตรงประเด็นกระทู้ เพราะคิดว่าหลายคนที่ให้ความเห็น น่าจะไม่เข้าใจประเด็นที่ผมอยากนำเสนอ
จริง ๆ มันก็คือ ผมคิดว่า ไทยมีข้าวเหลือจากการใช้บริโภคในประเทศประมาณ 10 ล้านตันทุกปี แต่ช่วงสองปีที่ผ่านมา (2555,2556) รัฐบาลพยายามจะดึงราคาส่งออกให้สูงขึ้น ก็เลยทำการกักข้าว พยายามระบายออกมาให้น้อย เพื่อให้ขายได้ราคาแพงขึ้น ซึ่งอาจจะได้เงินมากกว่า การขายข้าวมากก็ได้
เลยทำให้ช่วงสองปีนั้น ไทยส่งออกข้าวลดลงจาก 9-10 ล้าน ในช่วง 2-3 ก่อนหน้านั้น ลงมาเหลือไม่ถึง 7 ล้านตัน โดยที่มูลค่าการส่งออกเฉลี่ยต่อตันสูงขึ้น
แต่ก็ทำให้ไทยมีสต๊อกข้าวจำนวนมาก เลยเป็นผลให้ปีนี้ ไทยต้องเร่งส่งออก ทำให้ราคาตกลง จากที่ 4 เดือนแรกปีก่อน เฉลี่ยได้ตันละ 2 หมื่นกว่าบาท ลงเหลือเป็น 16,700 บาท ในปีนี้เท่านั้น
ประเด็นของผมก็คือ ข้าวไม่ใช่สินค้าที่เก็บไว้ได้นาน และไม่ใช่ของที่ใช้พื้นที่เก็บน้อย ดังนั้น ยิ่งเก็บนาน ค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บก็สูง และมีความเสี่ยงต่อการเสียหายด้วย
สองปีที่ผ่านไป แม้จะขายข้าวได้ราคาดีขึ้น แต่เมื่อนำมาเฉลี่ยกับปีนี้แล้ว สุดท้ายประโยชน์ที่คิดว่าน่าจะได้จากสองปีที่ผ่านมา ก็ต้องเสียไปกลับการขายข้าวในปีนี้หมด
แล้วผลกระทบที่เกิด ก็ยังไม่หมดในปีนี้แน่ เพราะขายยังไง ข้าวที่มีอยู่ก็ไม่หมด ค่าใช้จ่ายก็เดินไป ปริมาณข้าวที่มี ก็ทำให้ราคาข้าวในปีหน้า ก็ยังคงต่ำต่อไปอีก
ดังนั้น การที่มีคนเอาเรื่องการเป็นแชมป์ส่งออกข้าว มาตีความว่าไม่น่าเป็น เพราะชาวนาขายข้าวได้ถูก แล้วจะเป็นไปทำไม
ก็คงต้องย้อนถามไปว่า แล้วข้าวที่ปลูกมาแล้ว จะเก็บไว้ทำไมให้มันเสียหาย ขายได้ราคาต่ำ ก็น่าจะดีกว่า เก็บไว้ไม่ขาย สุดท้ายต้องเอามาเลหลังขายถูกกว่า แบบนี้
ย้ำนะครับ ผมไม่ได้สนใจว่าไทยจะเป็นแชมป์ส่งออกข้าวหรือไม่ แต่การตั้งกระทู้เมื่อเช้า ก็อยากชี้ให้เห็นว่า ไทยจำเป็นต้องส่งออกข้าวระดับ 10 ล้านตัน เพื่อรักษาสมดุลของปริมาณข้าวที่ผลิตได้ ไม่ให้เหลือค้างสต๊อกมากจนเกินไป ซึ่งถ้าส่งออกได้ในระดับนี้ แล้วประเทศอื่นส่งออกน้อยกว่า ไทยก็ต้องรับตำแหน่งแชมป์ แต่ไม่ใช่ให้ไขว่คว้าหาทางให้ได้มา แต่เป็นเพราะไทยจำเป็นต้องขายข้าวให้ได้ยอดนี้ ไม่อย่างนั้น ก็จะเหลือเต็มประเทศแบบที่เป็นอยู่ในวันนี้
______________________________________
อันแรกที่ขอตอบ ก็คงเป็นประเด็นของจุก ที่แสดงความไม่ฉลาด ด้วยการไม่ยอมอ่าน ได้เรื่อย ๆ ไม่ยอมพัฒนาตัวเองจริง ๆ
เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับ คสช. แล้วในเนื้อหาในกระทู้ผม ก็ไม่มีคำว่า คสช.สักคำ แต่ก็มาแนวเดิม จุกอยากด่าประเด็นนี้ ก็ด่า ไม่ว่าเขียนถึงหรือเปล่า ก็จะด่า เสือ+ไก่ ไม่เขียนถึงเอง
เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของ เมื่อข้าวไทยราคาถูกลง ยิ่งถูกกว่าเวียดนามแล้ว มันก็ยิ่งแข่งขันได้มาก คนก็อยากซื้อมากขึ้น เทียบกับสองปีก่อน ที่ราคาแพงกว่าเวียดนามเป็นร้อยเหรียญ คนก็ซื้อน้อย
เมื่อมีคนซื้อมาก ก็ส่งออกได้มาก มันก็คาดเดาว่า จะทวงแชมป์ส่งออกได้ ก็เท่านั้น
ไม่มี คสช.นะจุก หัดอ่านก่อนด่าด้วย
__________________________________
อันนี้ก็อีกนิสัยถาวรของจุก คือ จริง ๆ ไม่รู้อะไรหรอก แต่อยากอวดรู้ ก็พยายามพูดให้กว้าง ๆ คลุมเครือไว้ ผมถามคำถามเดิม ๆ ไปจุกก็คงตอบได้แต่แบบเดิม ๆ เพราะจุกแม้คุยเรื่องนี้มาสองปีแล้ว ก็ยังไม่พัฒนาสักที
สมมติเอาแบบที่จุกว่านั่นแหละ ชาวนาขายข้าวได้ 6,500 บาท จุกรู้มั้ยว่า ราคานี้ คิดเป็นราคาข้าวสารกี่บาท ถ้าหากวันนี้ชาวนาขายได้ราคานี้ จุกรู้มั้ยว่า พ่อค้าต้องส่งออกข้าวราคาไหน ถึงจะมีกำไร 10% (เผื่อจุกไม่เข้าใจ อธิบายนิดนึง ก็คือ ถ้าข้าว 6,500 บาท แปลงเป็นข้าวสารแล้วได้ราคา 7,000 บาท (ตัวเลขสมมตินะครับ ของจริงให้จุกไปหาข้อมูลดูว่าประมาณเท่าไหร่) พ่อค้าต้องขาย 7,700 บาท ถึงกำไร 10% นะครับ)
คำว่าต่างกันลิบของจุกนั้น คงไม่ใช่กำไร 10% แน่ ๆ ดังนั้น ถ้าจุกคิดเสร็จ น่าจะตอบได้ว่า ทุกวันนี้ที่ราคาส่งออกต่ำกว่า 400 เหรียญ (ก็ไม่เกินตันละ 12,000 บาท) พ่อค้าจะกำไรเท่าไหร่ ถ้าเริ่มต้นที่ราคาข้าวเปลือกหักความชื้นแล้วเป็น 6,500 บาท
________________________________________
มาที่ความเห็นต่อไป
จริง ๆ แล้วประเด็นราคาส่งออก กับ ผลตอบแทนชาวนา มันเป็นสองเรื่องที่แยกกันอย่างชัดเจนอยู่แล้ว
ที่ผ่านมา รัฐบาลก็แยกสองเรื่องนี้อย่างชัดเจน
เทียบกันในสองรัฐบาลย้อนหลังก็พอ
สมัยประกันรายได้ ก็คือปล่อยกลไกตลาดทำงานไป ราคาข้าวแพงถูก ก็ตามกลไก แต่รัฐมีการกำหนดราคาขั้นต่ำไว้ ชาวนาควรได้ตันละเท่าไหร่ รัฐก็ชดเชยให้ครบไปตามนั้น (ขอแค่หลักการนะครับ พวกมีปัญหาในขั้นตอนปฏิบัติ ก็ต้องปรับปรุงไป) ดังนั้น ไม่ว่าราคาตลาดจะเลวร้ายขนาดไหน ตามหลักการแล้ว ชาวนาก็จะได้ค่าตอบแทน ตามที่รัฐกำหนดไว้เป็นขั้นต่ำ
มาสมัยจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ รัฐบาลก็กำหนด ราคาขั้นต่ำการรับซื้อว่า อยู่ที่ 15,000 บาท ชาวนาก็จะได้เงินประมาณนี้ ส่วนรัฐบาลจะไปขายแล้วได้เงินเท่าไหร่ ก็ไม่เกี่ยวกับชาวนาแล้ว
จะเห็นว่า ทั้งสองโครงการ ราคาที่ชาวนาขายได้ ไม่ได้ผูกพันกับราคาตลาดเลย เป็นราคาที่รัฐคิดว่าชาวนาควรได้เท่านั้น
แต่พอมาตอนที่รัฐบาลเงินหมดนี่แหละ เลยทำให้สองเรื่องนี้ต้องนำมาเกี่ยวโยงกัน เพราะรัฐบาลเมื่อขายข้าวไม่ได้ ก็ไม่มีเงินหมุนเวียน มาเพื่อจ่ายค่าข้าวให้ชาวนา สาเหตุที่รัฐขายข้าวไม่ได้ ไม่ใช่เป็นเพราะไม่มีคนซื้อ แต่เพราะรัฐอยากขายได้ราคาแพง ก็เลยไม่ยอมขายถูก สุดท้ายเมื่อถึงจุดนึงเงินหมด คราวนี้ก็เลยยอมขายทุกราคา เป็นที่มาทำให้ราคาข้าวตกต่ำลง
เลยมีผลกระทบย้อนกลับไปหาชาวนาอีก เมื่อตอนนี้รัฐบาลไม่มีโครงการช่วยเหลือชาวนา ก็ทำให้ราคาข้าวที่ชาวนาจะขายได้ ก็จะอยู่ในราคาตลาด ซึ่งตอนนี้ จากราคาตลาด 12,000 บาท ราคาข้าวเปลือก ก็ต้องต่ำกว่า 7,000 บาท หรือถ้าเป็นข้าวที่ความชื้นสูง ก็จะขายได้ไม่เกิน 6,000 บาท
ซึ่งจริง ๆ แล้ว การช่วยเหลือชาวนา ที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์พูดถึงว่าจะทำ นอกจากการจำนำข้าวแล้ว ยังมีอีกสองเรื่อง คือการจัดโซนนิ่ง กับ การลดต้นทุนการผลิต แต่ทั้งสองเรื่อง ได้แค่พูด แต่ไม่ยอมทำสักที เพราะใช้รัฐมนตรีที่เก่งแต่โม้ แต่ไม่เก่งทำ เลยทำให้สองปีที่ผ่านมา ชาวนาได้ประโยชน์แค่เพียง ขายข้าวได้ราคาดีขึ้น
ส่วนชาวนาที่ไม่ได้จำนำ ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร แต่กลับต้องเสียประโยชน์ เพราะค่าปุ๋ย ค่ายา แพงขึ้นอีก
แล้วพอมาถึงวันนี้ ประโยชน์ต่าง ๆ ก็หมดลง พร้อมทั้งการช่วยเหลือด้านอื่นที่เคยว่าจะทำ ก็ยังไม่เห็นมีอะไร (มีแต่การสักแต่ว่าทำ จัดโซนนิ่ง ก็จัดได้เรียบร้อย คือประเทศไทยเหมาะสมกับการปลูกข้าว 76 จังหวัด การลดต้นทุน ก็ทำได้แค่แจกหนังสือ ไม่กี่เล่ม ไม่รู้แจกไปแล้วมีคนอ่านแล้วทำตามบ้างหรือป่าว) หน่วยงานราชการที่รับผิดชอบ ก็คงเพราะไม่มีงบประมาณสนับสนุน ก็ไม่เลยได้สานต่อเท่าไหร่
___________________________________
มาความเห็นต่อไป
อันนี้ผมอ่านแล้วก็ไม่ค่อยเข้าใจ ความรู้การตลาดในประเด็นนี้ที่ต้องใช้คืออะไร
ถึงแม้ว่าผมจะเรียนไม่ค่อยเก่ง แต่ marketing ก็ยังได้ B ดังนั้น ผมยังมองไม่เห็นว่า ความรู้การตลาดที่ต้องการในประเด็นนี้คืออะไร
ถ้าจะเอาเกี่ยว ก็คงมี P ตัวสุดท้าย คือ เก็บข้าวไว้สองปี แล้วเอาขายในราคาโปรโมชั่นแค่นั้น
ถ้าคุณทาร์ซาน ได้อ่านกระทู้นี้ รบกวนขยายความหน่อยว่า ความรู้การตลาดที่ต้องเรียนรู้เพิ่ม คืออะไร
ผมจะได้มองไกลขึ้น
เพราะเรื่องข้าวนี้เกือบสองปีที่ตั้งกระทู้มา ผมว่าถึงผมมองไม่ไกล แต่ก็ยังมองไม่พลาดในประเด็นใหญ่สักอัน
__________________________________
แล้ว 7,000 มันราคาตลาดหรือป่าว หรือว่าเป็นราคาที่ถูกกดราคา
เพราะที่รัฐบาลรับจำนำ 15,000 บาท นั้น รัฐบาลก็คำนวณต้นทุนข้าวสารออกมาแล้วว่า ราคา 25,000 บาท
ดังนั้น ถ้าข้าวเปลือก 7,000 บาท ราคาข้าวสารก็อยู่ประมาณ 12,000 บาท ก็เป็นราคาตลาดแล้วนะครับ
ที่ผ่านมารัฐบาลช่วยให้ขายได้ราคาดีกว่าราคาตลาด แต่เมื่อในสภาวะปกติ ไม่มีความช่วยเหลือใด ราคาที่พ่อค้าจะซื้อ ก็ต้องเป็นราคาที่ขายได้
คงไม่มีพ่อค้าคนไหน ซื้อแล้วทำให้ต้นทุนไปเป็น 13,000 บาท เพื่อขายในราคาไม่ถึง 12,000 บาท มั้งครับ
______________________________________________
ตรงนี้ขออีกอันแล้วกัน
ผมพูดในเรื่องนโยบายจำนำข้าว ไม่สับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะไปว่าใครที่ไหน
แต่ผมอยากย้อนถามว่า ผมไปอวยรัฐบาลนี้ (รัฐบาลไหนก็ไม่รู้นะครับ เพราะตอนนี้ไม่มีรัฐบาล) ตอนไหน ขอช่วยชี้ตำแหน่งหน่อย
ถ้าหมายถึง คสช. ผมว่า ผมก็ตั้งกระทู้ไปหลายอัน โดนลบไปหลายอัน แต่ที่มีเหลือก็ยังพอมี ลองย้อนอ่านสักหน่อยก็ดีนะครับ ก่อนจะวิจารณ์
อย่าคิดไปเองครับ