"And thus the heart will break. Yet brokenly live on."
-- Lord Byron
กำกับโดย Guillermo del Toro
เป็นอีกเรื่องที่รอชมในปีนี้ เนื่องด้วยเป็นผลงานเรื่องล่าสุดของ Guillermo del Toro เจ้าพ่อหนังสัตว์ประหลาดที่มีผลงานชั้นเยี่ยมหลายเรื่องไปจนถึงออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอย่างหนังอสูรพรายน้ำ "The Shape of Water (2017)"
ในครั้งนี้ เดล โตโร ยังคงจับมือกับ Netflix ทำหนังเรื่องใหม่ คล้ายกับผลงานเรื่องแล้วของเขาที่ลงขันร่วมกับ Netflix ทำแอนิเมชัน Stop-motion เรื่อง "Guillermo del Toro's Pinocchio (2022)"
Frankenstein | Guillermo del Toro | Official Trailer | Netflix
ความรู้สึกหลังรับชม
- เกริ่นก่อนว่า ไม่เคยรู้มาก่อนว่าในบทประพันธ์เดิมของ Frankenstein เป็นอย่างไร แต่เข้าใจว่าเป็น Frankenstein เป็นผีหรืออสูรในฝั่งโลกตะวันตก (อาจจะเคยเห็นกันในงานฮัลโลวีนหรือหนังสยองขวัญต่างๆ)
- ใน Frankenstein เวอร์ชันนี้ เดล โทโร ได้หวนกลับคืนสู่รากเหง้าที่แท้จริงของ "อสูรแฟรงเคนสไตน์" พร้อมกับตีความในมุมมองความเป็นมนุษย์ของสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งบางมุมก็มีความคล้ายกับที่เขาตีความใน Pinocchio ผลงานชิ้นก่อน
- เนื้อเรื่องของ Frankenstein กล่าวถึง "วิกเตอร์ แฟรงเคนสไตน์" (Oscar Isacc) ศัลยแพทย์ฝีมือดีที่มีความทะเยอทะยานแรงกล้าในการเอาชนะธรรมชาติและความตาย ผ่านการทดลองหมิ่นเหม่ศีลธรรมอย่างการเอาซากศพมาดัดแปลงเป็นมนุษย์ กระตุ้นด้วยพลังงาน เพื่อสร้างมนุษย์ขึ้นจากความตายอีกคร้ั้ง เกิดเป็น "สิ่งมีชีวิตหรืออสูร" (Jacob Elordi) ลูกชายของวิกเตอร์
- หนังสะท้อนมุมมองที่มีต่ออสูรหลายแง่มุม พร้อมกับตั้งคำถามถึง "ความเป็นมนุษย์ และชีวิตมนุษย์"
มุมมองแรกที่หนังถ่ายทอด “ชายที่ไม่มีความเป็นมนุษย์” ในสายตาของวิกเตอร์มองสิ่งมีชีวิตตนนี้ไม่ต่างจากสิ่งประดิษฐ์ชิ้นโบว์แดง ไม่จำเป็นต้องเข้าใจ "จิตใจ" ของลูกชายอะไรมาก เช่นเดียวกับที่พ่อของวิกเตอร์ทำกับเขาในวัยเด็ก ประกอบกับอุปนิสัยที่หยิ่งจองหองและหาญกล้าท้าทายต่อพระเจ้า ทำให้วิกเตอร์ไม่เคยมองคนอื่นอยู่ในสายตา
ขณะที่อีกมุม เราได้เห็นภาพของ “อสุรกายที่เรียนรู้ความเป็นมนุษย์” พัฒนาการทางความคิดของอสูรแท้จริงแล้วไม่ต่างกับทารกที่โหยหาความรัก ความใส่ใจ ด้วยการดูแลที่ดี ก็ทำให้อสุรกายมี "หัวใจความเป็นมนุษย์" มากขึ้นเรื่อย ๆ ท่ามกลางความโดดเดี่ยว การโหยหาการยอมรับจากผู้คน ความทุกข์ทรมานจากชีวิตที่เป็นเสมือนเครื่องจักรนิรันดร์
ทั้งสองอย่างนี้สะท้อน "การเรียนรู้และความเจ็บปวด" ของอสูรได้อย่างงดงาม นำไปสู่บทสรุปท้ายเรื่องที่อสูรและวิกเตอร์เริ่มเข้าใจถึงแก่นแท้ของชีวิตมากขึ้น ความหมายของความเป็นมนุษย์ การเกิด การตาย การรับฟัง และการให้อภัย
- โปรดักชันหนังดีมาก คอสตูม งานภาพ งานดนตรีประกอบ (โดย Alexander Desplat ที่เคยร่วมงานกับเดลโทโรมาหลายเรื่อง)
โดยรวมประณีตเหมือนดูงานศิลปะในนิทรรศการ (บางส่วนพาให้นึกฟีลลิ่งโกธิคและความเนี้ยบใน Nosferatau อยู่บ้าง)
ส่วนพาร์ทนักแสดงก็น่าประทับใจทุกคน แต่ที่ว้าวสุด ก็คงไม่พ้น Jacob Elordi ที่แสดงดีจนน่าจะได้ชิงออสการ์
ดังนั้นแนะนำเลย ต้องชมว่า เดลโทโรทำหนัง "แฟรงเคนสไตน์" ออกมาได้เยี่ยมจริง ๆ ไม่อยากให้ทุกคนพลาดชมกันนะครับ ดูได้ที Netflix!
____________________________________
ป.ล. อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากพูดคุยติดต่อ
Lemon8: BENJI Review
IG: benjireview
Frankenstein (2025) - หัวใจที่แตกสลายและยังคงอยู่ต่อทั้งที่แตกสลาย
ในครั้งนี้ เดล โตโร ยังคงจับมือกับ Netflix ทำหนังเรื่องใหม่ คล้ายกับผลงานเรื่องแล้วของเขาที่ลงขันร่วมกับ Netflix ทำแอนิเมชัน Stop-motion เรื่อง "Guillermo del Toro's Pinocchio (2022)"
- เกริ่นก่อนว่า ไม่เคยรู้มาก่อนว่าในบทประพันธ์เดิมของ Frankenstein เป็นอย่างไร แต่เข้าใจว่าเป็น Frankenstein เป็นผีหรืออสูรในฝั่งโลกตะวันตก (อาจจะเคยเห็นกันในงานฮัลโลวีนหรือหนังสยองขวัญต่างๆ)
- ใน Frankenstein เวอร์ชันนี้ เดล โทโร ได้หวนกลับคืนสู่รากเหง้าที่แท้จริงของ "อสูรแฟรงเคนสไตน์" พร้อมกับตีความในมุมมองความเป็นมนุษย์ของสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งบางมุมก็มีความคล้ายกับที่เขาตีความใน Pinocchio ผลงานชิ้นก่อน
- เนื้อเรื่องของ Frankenstein กล่าวถึง "วิกเตอร์ แฟรงเคนสไตน์" (Oscar Isacc) ศัลยแพทย์ฝีมือดีที่มีความทะเยอทะยานแรงกล้าในการเอาชนะธรรมชาติและความตาย ผ่านการทดลองหมิ่นเหม่ศีลธรรมอย่างการเอาซากศพมาดัดแปลงเป็นมนุษย์ กระตุ้นด้วยพลังงาน เพื่อสร้างมนุษย์ขึ้นจากความตายอีกคร้ั้ง เกิดเป็น "สิ่งมีชีวิตหรืออสูร" (Jacob Elordi) ลูกชายของวิกเตอร์
ดังนั้นแนะนำเลย ต้องชมว่า เดลโทโรทำหนัง "แฟรงเคนสไตน์" ออกมาได้เยี่ยมจริง ๆ ไม่อยากให้ทุกคนพลาดชมกันนะครับ ดูได้ที Netflix!