My Spy ฉันขอหัวใจของนายนะ บทที่ 12

กระทู้สนทนา
บทที่ 11

http://pantip.com/topic/32146656

บทที่ 12
เสียงปืนลั่นพร้อมกันถึงสองนัด นัดแรกเจาะเข้าไปในอกของไรเนอร์ ระเบิดหัวใจจนฉีกเป็นชิ้น เขาล้มลงสิ้นใจทันที ส่วนอีกนัดวิ่งผ่านร่างเอลวินที่พุ่งเข้าไปขวาง เขาร้องออกมาคำหนึ่งก่อนล้มลงนอนแน่นิ่งแทบเท้าของเอเลน

“คุณเอลวิน!” เด็กหนุ่มร้องเรียกด้วยความตกใจและคุกเข่าลงไปประคอง “คุณเอลวินครับ”

“เอลวิน!” แจนเรียกด้วยน้ำเสียงตระหนกพร้อมกับวิ่งเข้ามา ตามด้วยเพตร้าและรีไว เขาเก็บปืนเข้าซองและรีบตรวจบาดแผลอย่างร้อนรน

“ฉันยังไม่ตายน่ะ”

เอลวินบอกเสียงแผ่วพลางยกไหล่ข้างซ้ายให้ดู รีไวถอนใจออกมาอย่างโล่งอกก่อนหันไปออกคำสั่ง
กับเพตร้า

“เรียกพยาบาลด่วน บอกว่าเจ้าหน้าที่ถูกยิง” เขาหันไปทางแจน “ติดต่อขอกำลังเสริมด้วย”

สั่งเสร็จหันกลับไปดูเอลวินอีกครั้งและพบว่าเขากำลังปลอบเอเลนไม่ให้ขวัญเสีย สีหน้าอ่อนโยน
กับมือที่แตะแก้มอย่างทะนุถนอมทำให้ชายหนุ่มบังเกิดความรู้สึกเจ็บแปลบในใจ ข้อสงสัยเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างหัวหน้าทีมกับเด็กหนุ่มหวนกลับเข้ามาอีกครั้ง รีไวบดกรามแน่นก่อนหลุดปากโพล่งออกมา

    “นายมานี่ได้ยังไง”

    “ผมได้ยินคุณฮันซี่กับคุณโคนี่คุยกันครับ”

“เตือนแล้วใช่ไหมว่าให้อยู่แต่ในบ้าน” เขาพูดเสียงกระด้าง เอเลนมองด้วยสายตาสำนึกผิด

“ขอโทษครับ” เสียงอ่อยลง “แต่ผมเป็นห่วง”

“รู้หรือเปล่าว่าที่นายพุ่งเข้ามาแบบนี้มันทำให้เจ้าหน้าที่เป็นอันตราย” รีไวแทรกด้วยน้ำเสียงห้วน
และหันไปทางฮันซี่ที่วิ่งเข้ามาหา

    “อยู่นี่เอง” เธอพูดพร้อมกับหอบหายใจ “ให้ตายสิ นึกยังไงจู่ๆถึงได้วิ่งออกมาแบบนี้” หญิงสาวหันไปบ่นกับเอเลนแต่รีไวกลับพูดอย่างไม่สบอารมณ์

    “มันน่าจะโทษความเลินเล่อของเธอมากกว่า มีเอฟบีไออยู่ด้วยถึงสองคน แต่ดันปล่อยให้เจ้าหนูนี่หนีออกมาได้”

    “ฉันคิดไม่ถึงว่าเขาจะทำแบบนั้นน่ะสิ ให้ตายเถอะ! ทั้งที่บอกให้ฟังแล้วแท้ๆว่าอันตรายก็ไม่ยอมเชื่อแถมยังหนีออกมาอีก รู้หรือเปล่าว่ามิคาสะกับอาร์มินเป็นห่วงมากแค่ไหน”

    “ขอโทษครับ” เอเลนตอบพร้อมกับก้มหน้าลง มือกำเสื้อของเอลวินแน่นด้วยความรู้สึกทั้งเสียใจและน้อยใจ

    “อย่าดุเอเลนกันนักเลย เขาไม่เป็นไรก็ดีแล้วนี่นา ใช่ไหม” คำสุดท้ายหันไปพูดกับเด็กหนุ่ม เอเลนพยักหน้าช้าๆ

“ครับ”

รีไวมองท่าทางของคนทั้งสองอย่างนึกขัดใจ และอยากจะประชดอะไรอีกสองสามคำแต่เปลี่ยนใจเมื่อเห็นแสงวาบวับของรถพยาบาล และเจ้าหน้าที่กู้ชีพสองคนกำลังถือเปลฉุกเฉินวิ่งตรงเข้ามา ชายหนุ่มจึงคว้าคอเสื้อเอเลน

“หลบหน่อย”

เขาพูดสั้นๆและยืนรอจนเจ้าหน้าที่นำตัวเอลวินขึ้นไปบนรถแล้วจึงคลายมือจากเอเลน “ไม่ตามไปเหรอ” เขาถาม เด็กหนุ่มส่ายหน้า

“ไม่ดีกว่าครับ”

“ทำไมล่ะ เป็นห่วงไม่ใช่เรอะ” ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงพูดแบบนั้นออกไป แต่พอเห็นสีหน้าของเอเลนแล้วชายหนุ่มกลับใจหายเพราะมันฉายความน้อยใจออกมาจางๆ

“ถ้าคุณต้องการแบบนั้น” พูดจบก็ก้าวฉับๆขึ้นไปนั่งข้างเอลวิน ฮันซี่จึงวิ่งตามไปบอกเจ้าหน้าที่ว่าทั้งสองคนเป็นญาติกัน พอรถวิ่งออกไปแล้วเธอก็หันไปแฮ่ใส่รีไวทันที

“นึกบ้าอะไรถึงพูดออกไปแบบนั้น รู้หรือเปล่าว่าเอเลนเขาห่วงนายแค่ไหน”

“งั้นเหรอ” ชายหนุ่มตอบด้วยสีหน้าเฉยชาก่อนหมุนตัวเดินไปที่ร่างไร้วิญญาณของไรเนอร์ ฮันซี่รีบก้าวตาม

“ฉันยังพูดไม่จบเลยนะ”

“นี่ไม่ใช่เวลามาพล่ามเรื่องไร้สาระ” ชายหนุ่มพูดพลางมองเจ้าหน้าที่หน่วยพิสูจน์หลักฐานที่กำลังตรวจสภาพที่เกิดเหตุ “เธอเองก็น่าจะดูด้วย”

พูดพร้อมกับส่งสายตาไปยังร่างที่นอนคว่ำหน้าจมกองเลือด ฮันซี่นั่งลงและมองศพอย่างพิจารณา

“สาเหตุการตายล่ะ” หญิงสาวถามแพทย์ชันสูตร เขาพลิกร่างให้นอนหงายและชี้ไปที่อก

“โดนยิงสองนัดครับ นัดแรกที่หัวใจ ส่วนนัดที่สอง” เขายกหัวของไรเนอร์ขึ้นและชี้รูเล็กๆใต้ท้ายทอย “เจาะเข้าไปในหัว”

“ว่าไงนะ” รีไวพูดและย่อตัวลงไปดู “ฉันจำได้ว่ายิงไปแค่นัดเดียว”

“จากขนาดของแผล คิดว่าน่าจะเป็นกระสุนจากปืนคนละชนิด” ฮันซี่พูดหลังจากตรวจรอยแผลคร่าวๆ “แต่ต้องเอาไปตรวจให้แน่ชัดอีกทีว่าเป็นปืนแบบไหน”

รีไวนิ่งคิดและยืนขึ้นมองไปรอบๆ

“กระสุนนัดที่สองถูกยิงเข้าท้ายทอย แสดงว่าคนยิงจะต้องซุ่มอยู่แถวนั้น” เขาชี้ไปยังมุมมืดของตึก ฮันซี่มองตามและใช้มือจับคางของตัวเองเหมือนใช้ความคิด แต่แล้วจู่ๆก็เดินออกไป

“นั่นเธอจะไปไหน”

“หาร่องรอยของคนร้ายกับปลอกกระสุน” หญิงสาวตอบทั้งที่ยังคงเดินดุ่มไปแบบนั้น รีไวรีบก้าวตามด้วยความเป็นห่วง

“ให้ตายเถอะ ทำไมไม่รอเจ้าหน้าที่พิสูจน์”

“มันเสียเวลา” ฮันซี่พูดพลางดึงไฟฉายออกจากกระเป๋าและส่องไปรอบๆ “ฉันลองคำนวณจากสภาพของบาดแผล คิดว่าระยะการยิงน่าจะอยู่ในราว 8-10 เมตร”

พูดพลางก้มๆเงยๆอยู่แถวลังไม้ที่กองสูงท่วมหัว “เจอแล้ว!” เธอใช้ผ้าเช็ดหน้าหยิบวัตถุบางอย่างขึ้นมาจากพื้น “ปลอกกระสุน ยังอุ่นๆอยู่เลย”

น้ำเสียงลิงโลดด้วยความดีใจและรีบโบกมือเรียกให้เจ้าหน้าที่นำหลักฐานที่เจอใส่ถุงพลาสติก เสร็จแล้วก็เตรียมเดินออกจากที่นั่นแต่พอรีไวไม่ตามมาด้วยหญิงสาวก็หันไปถาม

“มีอะไรเหรอ”

“นิดหน่อย” ชายหนุ่มตอบพลางหยิบอะไรบางอย่างยัดใส่กระเป๋า ฮันซี่มองด้วยความอยากรู้

“อะไรน่ะ”

“ขยะ” รีไวพูดสั้นๆ หญิงสาวนิ่วหน้า

“คิดว่าฉันจะเชื่อเหรอ” เธอถามพอเห็นอีกฝ่ายเดินออกไปโดยไม่พูดอะไร ก็รีบก้าวตามพร้อมกับซัก “บอกหน่อยน่าว่ามันคืออะไร เกี่ยวข้องกับคนยิงไรเนอร์หรือเปล่า ถ้าใช่ทำไมไม่เก็บในซองให้เรียบร้อย ยัดใส่กระเป๋าแบบนี้หลักฐานก็เสียหายหมดน่ะสิ”

“พูดจบหรือยัง” ชายหนุ่มถาม แต่ฮันซี่กลับส่ายหน้า

“ฉันมีเรื่องพูดเยอะ”

“ถ้าไม่สำคัญก็หุบปากไว้ก่อน” รีไวพูดเสียงเรียบพลางบุ้ยใบ้ไปที่เสาไฟต้นหนึ่ง พอมองตามก็เห็นกล้องขนาดเล็กติดอยู่

“อะไรน่ะ ของคนร้ายเหรอ” หญิงสาวถาม แต่รีไวไม่ตอบ เขาก้าวยาวๆไปหยุดตรงที่เกิดเหตุซึ่งเจ้าหน้าที่ได้ย้ายร่างของไรเนอร์ออกไปแล้ว จึงเหลือแค่กองเลือดเท่านั้น

  “รีไว” พอเห็นอีกฝ่ายยืนนิ่งอยู่นาน ฮันซี่จึงเรียก เขามองแจนที่กำลังยืนจดอะไรยุกยิกในสมุดอย่างครุ่นคิดก่อนหันมาที่เธอ

“มีเรื่องหนึ่งที่เอลวินยังไม่ได้บอกให้พวกนายรู้” เขาพูด “ไรเนอร์ตัวจริงถูกฆ่าตายไปแล้ว”

ทั้งคู่เบิกตากว้าง

“ว่าไงนะ” แจนอุทาน “เป็นไปได้ยังไง ถ้าไรเนอร์ตัวจริงตายไปแล้ว แล้วไรเนอร์ที่มาทำงานในเอฟบีไอนี่เป็นใคร”

“ไปคุยกันที่อื่นเถอะ” รีไวตัดบทและเดินออกไปดื้อๆ ฮันซี่หันไปมองหน้าแจนก่อนวิ่งตาม

“เดี๋ยวสิรีไว นายจะไม่ไปดูเอลวินหน่อยเหรอ”

“ไม่จำเป็น” ชายหนุ่มตอบ พร้อมกับเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น เอฟบีไอสาวยิ้มกว้างเพราะรู้ว่าทำไมอีกฝ่ายถึงแสดงอาการแบบนั้นออกมา

“นายหึงเอเลนใช่ไหม”

“พูดบ้าอะไรของเธอ” รีไวตอบห้วนๆ แต่ฮันซี่ไม่ยอมหยุดแค่นั้น หญิงสาวรีบเดินไปตีคู่ปากก็จ้อไม่หยุด

“คนอะไร ห่วงก็ไม่ยอมพูด รักก็ไม่ยอมบอก แต่พอเห็นเขาอยู่กับคนอื่นละก็ทำเป็นหวง แบบนี้สิบปีก็ไม่มีวันได้แอ้มหรอก”

รีไวหยุดเดินและหันมาคว้าคอเสื้อเธอ

“พูดพอรึยัง”

“จ้า จ้า พอแล้วจ้า” ฮันซี่ร้องรับพร้อมกับยกมือในท่ายอมแพ้ ชายหนุ่มจึงปล่อยมือและเดินเข้าไปในร้านกาแฟของเอเลน โคนี่รีบถลันออกมารับส่วนมิคาสะกับอาร์มินลุกจากเก้าอี้ โดยเฉพาะคนแรกพอไม่เห็นเอเลน ก็พุ่งไปหารีไวอย่างร้อนใจ

“เอเลนล่ะ” เธอถามด้วยน้ำเสียงตระหนก “เกิดอะไรขึ้น ทำไมเอเลนถึงไม่มาด้วย”

รีไวหันหน้าไปทางอื่น ฮันซี่จึงเป็นคนตอบแทน

“เอลวินถูกยิงได้รับบาดเจ็บถูกส่งไปโรงพยาบาล เอเลนเลยนั่งไปเป็นเพื่อนน่ะ”

“งั้นหรอกเหรอ” น้ำเสียงโล่งใจต่างจากอาร์มิน

“คุณเอลวินถูกยิง” เขาทวนด้วยสีหน้าตระหนก “เป็นไปได้ยังไง ก็เราวางแผนเอาไว้อย่างดีแล้วไม่ใช่เหรอครับ”

“มันคงเป็นไปตามที่เราวางไว้ถ้าไม่มีเด็กบ้าคนหนึ่งวิ่งเข้าไปขวาง” รีไวหลุดปากอย่างเหลืออด มิคาสะหันไปทำตาวาว

“เด็กบ้าของนายหมายถึงเอเลนใช่หรือเปล่า”

“ก็แล้วจะมีใครอีกล่ะ” น้ำเสียงกวนอารมณ์จนคนฟังอยากเอากำปั้นยัดปาก

“พูดแบบนั้นได้ยังไง” เสียงมิคาสะสั่นด้วยความโกรธ “ที่ทำแบบนั้นก็เพราะเอเลนเป็นห่วงนายต่างหาก เจ้าเตี้ย!”

“ว่าไงนะ”

“ตอนแรกเอเลนตั้งใจจะแอบเอาอาหารไปให้คุณ แต่เจอผมซะก่อน” อาร์มินเป็นคนอธิบายเพราะขืนปล่อยให้มิคาสะเป็นคนพูด มีหวังอาละวาดหักแขนรีไวเป็นชิ้นแน่

“หมายความว่ายังไง ฉันสั่งแล้วไม่ใช่หรือว่าห้ามออกไปไหนทั้งนั้น”

“คนอย่างหมอนั่นลองได้ห่วงใครแล้วไม่ยอมฟังอะไรทั้งนั้นหรอกครับ” อาร์มินพูด “ตอนเขาจะออกไปทีแรก ผมยังต้องหาเหตุผลมาหว่านล้อมแทบตาย ถึงจะยอมเชื่อ”

รีไวมองหน้าเด็กหนุ่ม

“แล้วนายมาทำอะไรที่นี่”

“คุณเอลวินสั่งให้ผมมาคอยเฝ้าสองคนนี่เอาไว้ครับ เพราะตอนเพตร้าปลอมตัวเข้ามาในร้าน เอเลนก็เกือบทำแผนแตกไปทีนึงแล้ว พอเจอเธอแอบอยู่ข้างตู้เย็น เขาก็เกือบจะร้องให้คนช่วยดีที่ผมห้ามไว้ทันไม่อย่างนั้นไรเนอร์คงรู้แล้วว่าเอเลนที่ออกจากร้านเป็นตัวปลอม”

รีไวหันไปทางฮันซี่

“ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง”

“มันฉุกละหุกจนบอกนายไม่ทัน” เอฟบีไอสาวตอบ ชายหนุ่มขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ

“ดูเหมือนจะเป็นแค่ฉันคนเดียวสินะ”

“ซาช่าก็ด้วย” ฮันซี่พูด “ความจริงพวกเรายังไม่คิดจะวางแผนจับไรเนอร์ แต่พออาร์มินโทร.มาบอกว่าเห็นเขามาป้วนเปี้ยนแถวร้านมิคาสะ เอลวินเลยคิดแผนจับกุมสดๆร้อนๆ ที่ไม่ได้บอกเพราะตอนนั้นนายกำลังยุ่งอยู่กับการสอบปากคำ อีกอย่างถ้าให้รู้ว่าเหยื่อล่อเป็นเอเลน นายคงไม่มีวันยอมแน่ๆ”

รีไวยอมรับว่าเหตุผลข้อสุดท้ายเป็นเรื่องจริง และอย่างน้อยเอลวินก็ไม่ได้ปิดบังเรื่องทั้งหมด เพราะพอกลับเข้าที่ทำงาน เขาก็เล่าแผนการให้ฟังคร่าวๆ โดยบอกว่าที่ต้องรีบทำเพราะพฤติกรรมของไรเนอร์เปลี่ยนไป

“แล้วอาร์มินเข้ามายุ่งเรื่องนี้ได้ยังไง”

“แผนแรกคือให้เขาปลอมเป็นเอเลน แต่ติดที่ตัวเล็กกว่าเลยต้องให้เพตร้าที่มีรูปร่างใกล้เคียงแทน อีกอย่างอาร์มินเป็นคนสังเกตเห็นไรเนอร์ตั้งแต่ต้น แถมร้านดอกไม้ยังอยู่คนละมุมถนนกับร้านของมิคาสะ ทำให้จับตามองไรเนอร์ได้ตลอดเวลาโดยที่ไรเนอร์ไม่รู้ตัว”

ฮันซี่อธิบายและพูดต่อ “ที่พวกเราตกใจก็คือ อยู่ๆเอเลนก็ลงมาหาของกินและเตรียมจะออกไปหานาย โชคดีที่เอลวินนึกเอะใจเลยสั่งให้อาร์มินคอยเฝ้า แผนการของเราเลยสำเร็จ”

“ก็ไม่เชิง เพราะตอนนี้ไรเนอร์ตายแล้ว และพวกเราก็ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวเขาเลย” รีไวพูดแต่ฮันซี่กลับสั่นศีรษะ

“ไม่หรอกรีไว ตราบใดที่มีวิทยาศาสตร์ เราก็สามารถค้นหาทุกอย่างได้เสมอ ฉันจะกลับไปที่ห้องชันสูตร ตรวจร่างกายไรเนอร์ให้ละเอียดทุกซอกทุกมุม จะได้รู้กันสักทีว่าหมอนี่เป็นใครและเกี่ยวข้องอะไรกับแอนนี่”

รีไวพยักหน้ารับ “ดีเหมือนกัน งั้นฉันจะแวะไปดูเอลวินก่อน ส่วนคนอื่นให้แยกย้ายกันกลับบ้าน พรุ่งนี้ค่อยมาประชุมกันอีกครั้งว่าจะทำยังไงกันต่อไป”

“ผมขอไปเยี่ยมคุณเอลวินด้วยคนนะครับ” อาร์มินพูดพร้อมกับมองด้วยสายตาอ้อนวอน ความห่วงใยที่แสดงให้เห็นออกมาทางใบหน้าทำให้รีไวอดหมั่นไส้หัวหน้าของตัวเองไม่ได้

หนอยเจ้าเอลวิน นี่คิดจะควบสองเลยเรอะ !

เขาคำรามในใจ แต่ก็ยอมพยักหน้าและหันไปทางแจน “นายอยู่ที่นี่ คอยคุ้มครองมิคาสะเอาไว้”

“ด้วยความยินดีอย่างยิ่ง” แจนตอบแทบจะทันควัน แต่หญิงสาวกลับส่ายหน้า

“ฉันจะไปพาเอเลนกลับบ้าน”

“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวฉันจัดการเอง” รีไวพูดพอเห็นมิคาสะทำท่าจะไม่ยอมเขาก็รีบตัดบท “พรุ่งนี้เรามีงานต้องทำอีกมาก แยกย้ายกันไปได้แล้ว”

สั่งเสร็จก็เดินออกจากที่นั่นโดยมีอาร์มินวิ่งตาม พอขึ้นรถก็ขับออกไปทันที ในขณะที่ฮันซี่อาสาพาเพตร้ากับโคนี่ไปส่งบ้าน ส่วนตัวเธอเองย้อนกลับไปที่หน่วยชันสูตรเพื่อตรวจศพของไรเนอร์ ส่วนแจนหลังจากเกลี้ยกล่อมจนมิคาสะยอมขึ้นห้องนอนแล้ว ก็ลากเก้าอี้มาวางเรียงกันและนอนพักที่กลางร้านนั่นเอง
*/*/*/*/*

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่