กราบสวัสดีมิตรรักแฟนพันทิปทุกท่านครับ จั่วหัวกระทู้ว่าหัวหินไม่รู้ว่าจะเบื่อกันหรือไม่ เราไม่สนครับ เราเขียนไปแล้ว

ผมคิดเหมือนกันนะว่า เอ... ทะเล หัวหิน รถไฟ อะไรประมาณนี้มันก็มีอยู่เต็มพันทิปไปหมดแล้ว จะเขียนอีกเหรอ แต่ถ้ามองย้อนไป ถ้าทุกคนคิดแบบนี้หมด แล้วเราจะเอาอะไรอ่านกัน เหตุผลจริงๆคือเวลาติดปัญหาเรื่องการเดินทาง ที่พัก ก็มักจะถามเพื่อนๆในพันทิป ครั้นเสพสุขแล้วจะทิ้งรีวิวไปได้อย่างไร

และมันก็เป็นรีวิวแรกด้วยในพันทิป (ปกติอยู่ในห้องราชดำเนิน แต่พักการเมืองไว้ก่อนแล้วกัน

)
เอาละครับมีเรื่องตกลงอยู่ 2 อย่าง เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจง่ายๆ ผมจะใช้เครื่องหมาย 2 แบบ
คือ "*" = แทนการพรรณนาเละเทะไปเรื่อย
และ "/" = แทนบรรยายข้อมูลสำหรับนักเดินทาง (มากเรื่องจริง)
---การเดินทาง---
* ผมและเพื่อนๆ ศึกษาอยู่ที่มหาลัยฝั่งธนครับ และเป็นจังหวะที่สอบกลางภาคเสร็จ ซึ่งมีโบนัสวันหยุดเหลืออยู่ 5 วัน ให้ได้ล่องลอยกันบ้าง ครั้นจะเที่ยวแต่ห้าง ดูหนังฟังเพลง มันก็แลใช้ชีวิตไม่คุ้ม หยุดยาวทั้งที เลยเตรียมการล่วงหน้า สอบถามเพื่อนในพันทิป เรื่องการเดินทางไปหัวหินโดยรถไฟฟรี เพราะคิดว่าเวลานี้เราไม่เร่งรีบ ไม่ใช่รอนอนหลับแล้วถึงที่พัก แต่อยากซึมซับระหว่างทางไปด้วย (ที่จริงงก)
/ รถไฟฟรีที่ทราบมี 2 ขบวนครับ เราเดินทางวันที่ 28 มี.ค-2 ก.พ
1. คือ จากหัวลำโพง ขบวนที่ 261 ออกจากสถานีเวลา 09.20 น. จะไปถึงหัวหิน ประมาณ 14.00 น
2.คือ จากสถานีธนบุรี ขบวนที่ 255 ออกจากสถานีเวลา 07.30 น. จะไปถึงหัวหินประมาณ 12.30 น.
(เผื่อเวลา + 1-2 ชั่วโมงครับ)
เราเลือกขึ้นที่สถานที่ธนบุรีครับ (บางกอกน้อย) โดยออกจาก ม. ตั้งแต่ เวลา 5.30 เพราะรถติด
*เด็กวัยรุ่นในรั้วมหาลัย ชีวิตที่แสนเร่งรีบ นึกของกินไม่ออกก็เข้า 7-11 วันว่างก็เดินเที่ยวดูหนัง ที่กล่าวมาแท้จริงไม่ใช่ตัวตนเลยครับ แต่สภาพสังคม เวลา มันเค้นบังคับให้ต้องทำอะไรแบบนี้ ตัวตนของเราหลายๆคนคือ เด็กบ้านนอกคนนึง มีเวลาที่ปล่อยวาง มีเพื่อนฝูง มีบททดสอบมากมายที่ไม่ใช่กระดาษในห้องสอบ การเที่ยวแบบนี้แหละครับ ที่จะเป็นการปลดหล่อยตัวตนของคนๆนึงออกมา แม้จะไม่ได้เอ็กซ์ทรีม ท้าทาย โลดโผน แต่มันคือการเปิดใจ ทำอะไรมากกว่าห้องสีเหลี่ยมพร้อมแอร์คอนดิชั่นกับจอมีแสงพร้อมอินเตอร์เน็ต แค่มาถึงที่สถานีรถไฟ ที่มีตลาดเช้าอยู่ใกล้ๆ เสียงแม่ค้า เสียงรถมอเตอร์ไซต์เก่าๆ พระเดินบิณฑบาต กับข้าวที่คล้ายคลึงของกินที่บ้าน แค่เท่านี้ความรู้สึกเก่าๆก็เริ่มหวนเข้ามาในความทรงจำบ้างแล้วครับ
/มาถึงสถานนีรถไฟโดยแท๊กซี่ครับ เพราะกลัวจะไม่ทัน แต่มาถึงก่อนเวลานานพอสมควร ที่นั่นติด รพ.ศิริราช และมีตลาเช้าที่สถานีรถไฟ อาหารถูกมาก ข้าวกล่อง 20 บาท ห่อหมก 15 บาท และของคาวหวาน มีให้เราซื้อกินขณะที่รอรถไฟอีกมากมาย
*ตาก้มดูนาฬิกา มือถือกระเป๋า ขาอยู่ไม่นิ่ง เป็นอาการของคนที่เตรียมพร้อมกระโดดขึ้นรถไฟทันทีที่จอดสถานีครับ แหม การนั่งรถไฟไทยมันช่างน่าตื่นเต้นถึงเพียงนี้เลยหรือ ถ้านั่งคนเดียวก็คงเหงาหงอยตามประสา แต่พอรวมกลุ่มใหญ่ ถึง 13 คน นิสัยวัยรุ่น ท่านๆคงคาดเดากันได้นะครับ มีเพื่อนคุย มีหญิงให้แซว มีวิวให้มอง ที่กล้องถ่ายรูป นั่งเล่นหยอกล้อ เพียงเพื่อนเดินทางเท่านี้ จุดหมายไกลแค่ไหนก็ไม่เบื่อหรอกครับ แม้หลับก็ไม่ได้หลับดี เสียงดังเอะอะ น่ารำคาญปวดหัวมาก (ผมหมายถึงกลุ่มผมเองครับ

)
/ที่สถานที่รถไฟมาค่อนข้างตรงเวลา และคนขึ้นรถไฟพอสมควร แต่ก็ยังมีที่นั่งว่างๆอีกเยอะ ผมถ่ายรูปนี้โดยผ่านไปหลายสถานีมากแล้ว คนก็ขึ้นเพิ่มเรื่อย เหมือนกับเบาะพอดีคน ไม่ถึงกับแน่นขนัด จนตาลาย และตอนแรกเรานั่งกัน 8 เบาะ พอมีคนขึ้นใหม่ (ผู้สาวๆ )จึงแบ่งให้เขา แล้วมานั่งรวมกัน
*ขึ้นชื่อว่ารถไฟ ย่อมเป็นการเดินทางที่แสนยาวนาน ขึ้นชื่อว่านาน ท้องย่อมหิว มันเป็นเสน่ห์ที่ตกทอดกันมากี่สิบปีหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ กับการที่มีของขายบนรถไฟ หากท่านผู้เจนจัดในเรื่องการเดินทาง คงทราบดี เข้าจังหวัดใด อาหารการกินที่แม่ค้าพ่อค้านำมาขาย จะเป็นไปตามลักษณะถิ่นฐานนั้นๆ แม้กระทั่งภาษาต่อให้พูดไม่ได้ แต่คนไทยย่อมฟังกันออก ลงใต้แล้วนะ เข้าอิสานแล้วนะ ขึ้นเหนือแล้วนะ มันเป็นสิ่งที่คู่กับหัวจักรรางเหล็กจนแยกไม่ออกเสียจริงเชียว หากสถานีนั้นอยู่ใกล้บ้านใคร เพื่อนฝูงก็จะอวดสรรพคุณ อาหารอันแสนวิเศษให้ฟังจนน้ำลายสอ
/เจ้าสิ่งนี้อยู่ต่อหน้า ทำให้ผมลืมชื่อสถานีไปสนิทเลยครับ หากเพือนๆได้กินไอติม ลองจำชื่อสถานีมาบอกกันหน่อย เพราะประเทศเรามันร้อน รถไฟก็ร้อน ได้กินไอติมกะทิใส่ข้าวเหนียวมะพร้าว โรยด้วยถั่วคั่ว มันแสนวิเศษมากๆ เราซื้อกันเกือบโหล จากพ่อค้ารถเข็นที่สถานีนั้น
*การเดินทางย่อมมีจุดสิ้นสุด แม้มันไม่ได้โลดโผน ยาวนานอะไรมากมายนัก แต่พวกเราเต็มอิ่มกับสิ่งที่ได้รับระหว่างทางมากมาย สายลดแสงแดด ที่ฟาดฟันผิวกาย ย่อมบ่งบอกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาได้ดี ขึ้นชื่อว่ากลุ่มวัยรุ่น บางทีคงไม่มีใครอยากยุ่ง แต่เราไม่ใช่อันธพาล เราแค่มาปลดปล่อยด้วยเสียงเพลง ด้วยดนตรี ด้วยอารมณ์ขัน ด้วยการดื่ม ผมกังวัลไม่น้อยในช่วงแรก เราเสียงดัง เราร้องเพลงเล่นกีตาร์ จะดูเกินไปไหม แต่นายรถไฟมิได้ปราม และสีหน้าคนอื่นๆกลับดูผ่อนคลาย ผมคิดในใจหากมีคนมีร่วมวงสนทนาด้วย คงเป็นการยินดีไม่น้อย
/เราถึงสถานีประมาณ บ่าย ครับ ถึงช้ากว่านี้ เราก็ไม่ซีเรียสกันมาก แต่เพื่อเป็นการดี เพราะ ห้องพัก มักเช็คอินเวลาบ่าย 2 สิ่งที่เพื่อนๆมือใหม่สังเกตุก่อนจะถึงสถานีหัวหินคือ สถานีชะอำครับ เพราะคนจะลง แทบครึ่งต่อครึ่ง และให้เพื่อนๆเตรียมตัวได้เลย หากจะลงหัวหิน
*สิ่งหนึ่งที่คาดเดาไม่ได้คือการเดินทาง เพราะบางครั้งมันไม่มีความแน่นอนจริงๆ และจงอย่ากลัวกับการใช้ชีวิตในบ้านเมืองของเราเลยครับ ฝรั่งมังค่า ยุ่น เจ๊ก เขามาเที่ยวได้เป็นปีๆ คำห้วนๆที่ฟังดูไม่สบอารมณ์คือคำว่า "มีปากก็ถามสิ มีตาก็อ่าน" แม้กระทั่งต่างประเทศ ก็ไม่ควรกลัวอะไรจนเกินไปทั้งนั้น แม้ตัวเพียงลำพังยังสามารถดั้นด้นไปไหนต่อไหนได้ สิ่งที่เราไม่มั่นใจอาจเป็น ดินฟ้าอากาศ แต่สิ่งหนึ่งที่มีอยู่ในตัว คือการพูดคุยเจรจา คนไทยที่แม้ไม่รู้จักกัน ก็ไม่ต่างกับเพื่อนคนนึงเมื่ออยู่ต่างประเทศเลย
/ลงสถานรถไฟหัวหินแล้วเดินออกมาข้างหน้า จะพบกับรถสองแถว ซึ่ง ก็ต้องดูระยะทางด้วย ที่พักผมห่างจากสถานีประมาณ 5-7 กิโลเมตร ราคาอยู่ที่คันละ 250 บาท ซึ่งไม่แพงหรอกครับ เพราะหารกันอีก ตกแล้วคนละ 20-30 บาทอาจต่างกันบ้างขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรอง ตามนิสัยคนไทย และเขาจะส่งเราถึงที่พักแน่นอน
---ที่พัก---
ก่อนอื่นต้องขอโทษเพื่อนๆด้วยนะครับ เนื่องจากรูปประกอบอาจมีไม่ครบและไม่สวยมากนัก เพราะไปถึงก็โดดตูมๆ นอนกันเละเทะ ไม่ได้ถ่ายมาให้ดูก่อน แต่จะอธิบายให้ฟัง
*สิ่งหนึ่งขององค์ประกอบการเดินทางคือที่พัก ไม่ว่าจะริมทาง ไม่ว่าจะโรงแรมห้าดาว ความสุขมันอยู่ตรงคนเสพครับ ว่าจะเลือกเสพเอาอะไร เสพเอาความทรามานลำบาก เสพเอาความสุขสบาย เสพเอาเพื่อนฝูง เสพเอาแค่ซุกหัวนอน ท้ายสุดก็เพียงเพื่อพักผ่อนให้พร้อมกับวันต่อไป แม้ไม่ใช่บ้านเรา แม้เราไม่ได้มาอยู่ฟรี แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องมีความรับผิดชอบ คือการดูแลข้าวของเครื่องใช้ และรักษาคามสะอาด เพื่อนึกถึงใจเขาใจเรา (ข้อดีนี้ผมได้รับลผลของมันอย่างเห็นได้ชัด เดี๋ยวอธิบายตอนเช็คเอาท์)
/ที่พักเราติดต่อผ่านเว็บไซต์บ้านพักไออุ่น
http://www.baanpak-i-un.com ซึ่งมีคอนโดอยู่ ซ. 32 นับว่าใกล้ที่เที่ยวเยอะมาก แต่เราไปเยอะ และทางเจ้าของมีที่พักอีกแห่ง เป็นแบบบ้าน อยู่ ซ. 19 เราไตร่ตรองหลายครั้งและตัดสินใจเอาที่นั้น ด้วยราคา 3500 บาท / คืน มัดจำ 1000 บาท มีห้องนอนจำนวน 3 ห้องแต่ละห้องมีเตียงใหญ่ นอนกันได้ถึง 4 คนเลยนะครับ และก็มีเตียงสำรองให้อีก ห้องน้ำ 3 ห้อง ห้องรับแขก ขนาดใหญ่ นับว่าถูกพอสมควรครับ บางคนหารีวิวมักเจอฟีดแบ็คด้านเสียบ้าง ผมก็เช่นกัน ตอนแรกก็ลังเล แต่เมื่อได้ไปอยู่และกลับมา ผมว่ามันโอเคมาก เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง เรามีดูที่พักกันก่อน
/บ้านมีทั้งหมด 3 ชั้นครับ ลักษณะเหมือนทาวเฮาส์ แต่ไม่ติดกันซะทีเดียว นี่เป็นชั้นล่างครับ มีทีวี มีโซฟานั่ง
/มีโต๊ะพูลให้ด้วย เล่นกันจนแทบอยู่ติดห้อง แม้ลูกจะไม่ครบ มีโต๊ะนั่งทานอาหาร มีตู้เย็นแช่ของ
/หน้าบ้านค่อนข้างกว้างครับ มีเตาปิ้งย่างให้ จานช้อนแก้วก็มีให้ รั้วรอบขอบชิดดีมากๆเลย และใน ซ. ก็เงียบสงบดีครับ (เพราะมีแต่พวกเราที่เสียงดัง)
/รูปที่ระเบียงชั้น 2 ครับ อย่างที่บอก ต้องขอโทษที่ไม่ได้ถ่ายมา รูปนี้เอามาจาก TimeLaps Gopro รูปเลยไม่ชัด เพราะ speed shutter ช้า
[CR] แด่น้ำใจ : ปลดปล่อยเวลา ณ.ชานชาลาที่ 1 จากธนบุรีรถไฟรางเก่า สู่หัวหินแดนทะเลสุนทรีย์
คือ "*" = แทนการพรรณนาเละเทะไปเรื่อย
และ "/" = แทนบรรยายข้อมูลสำหรับนักเดินทาง (มากเรื่องจริง)
---การเดินทาง---
* ผมและเพื่อนๆ ศึกษาอยู่ที่มหาลัยฝั่งธนครับ และเป็นจังหวะที่สอบกลางภาคเสร็จ ซึ่งมีโบนัสวันหยุดเหลืออยู่ 5 วัน ให้ได้ล่องลอยกันบ้าง ครั้นจะเที่ยวแต่ห้าง ดูหนังฟังเพลง มันก็แลใช้ชีวิตไม่คุ้ม หยุดยาวทั้งที เลยเตรียมการล่วงหน้า สอบถามเพื่อนในพันทิป เรื่องการเดินทางไปหัวหินโดยรถไฟฟรี เพราะคิดว่าเวลานี้เราไม่เร่งรีบ ไม่ใช่รอนอนหลับแล้วถึงที่พัก แต่อยากซึมซับระหว่างทางไปด้วย (ที่จริงงก)
/ รถไฟฟรีที่ทราบมี 2 ขบวนครับ เราเดินทางวันที่ 28 มี.ค-2 ก.พ
1. คือ จากหัวลำโพง ขบวนที่ 261 ออกจากสถานีเวลา 09.20 น. จะไปถึงหัวหิน ประมาณ 14.00 น
2.คือ จากสถานีธนบุรี ขบวนที่ 255 ออกจากสถานีเวลา 07.30 น. จะไปถึงหัวหินประมาณ 12.30 น.
(เผื่อเวลา + 1-2 ชั่วโมงครับ)
เราเลือกขึ้นที่สถานที่ธนบุรีครับ (บางกอกน้อย) โดยออกจาก ม. ตั้งแต่ เวลา 5.30 เพราะรถติด
*เด็กวัยรุ่นในรั้วมหาลัย ชีวิตที่แสนเร่งรีบ นึกของกินไม่ออกก็เข้า 7-11 วันว่างก็เดินเที่ยวดูหนัง ที่กล่าวมาแท้จริงไม่ใช่ตัวตนเลยครับ แต่สภาพสังคม เวลา มันเค้นบังคับให้ต้องทำอะไรแบบนี้ ตัวตนของเราหลายๆคนคือ เด็กบ้านนอกคนนึง มีเวลาที่ปล่อยวาง มีเพื่อนฝูง มีบททดสอบมากมายที่ไม่ใช่กระดาษในห้องสอบ การเที่ยวแบบนี้แหละครับ ที่จะเป็นการปลดหล่อยตัวตนของคนๆนึงออกมา แม้จะไม่ได้เอ็กซ์ทรีม ท้าทาย โลดโผน แต่มันคือการเปิดใจ ทำอะไรมากกว่าห้องสีเหลี่ยมพร้อมแอร์คอนดิชั่นกับจอมีแสงพร้อมอินเตอร์เน็ต แค่มาถึงที่สถานีรถไฟ ที่มีตลาดเช้าอยู่ใกล้ๆ เสียงแม่ค้า เสียงรถมอเตอร์ไซต์เก่าๆ พระเดินบิณฑบาต กับข้าวที่คล้ายคลึงของกินที่บ้าน แค่เท่านี้ความรู้สึกเก่าๆก็เริ่มหวนเข้ามาในความทรงจำบ้างแล้วครับ
/มาถึงสถานนีรถไฟโดยแท๊กซี่ครับ เพราะกลัวจะไม่ทัน แต่มาถึงก่อนเวลานานพอสมควร ที่นั่นติด รพ.ศิริราช และมีตลาเช้าที่สถานีรถไฟ อาหารถูกมาก ข้าวกล่อง 20 บาท ห่อหมก 15 บาท และของคาวหวาน มีให้เราซื้อกินขณะที่รอรถไฟอีกมากมาย
*ตาก้มดูนาฬิกา มือถือกระเป๋า ขาอยู่ไม่นิ่ง เป็นอาการของคนที่เตรียมพร้อมกระโดดขึ้นรถไฟทันทีที่จอดสถานีครับ แหม การนั่งรถไฟไทยมันช่างน่าตื่นเต้นถึงเพียงนี้เลยหรือ ถ้านั่งคนเดียวก็คงเหงาหงอยตามประสา แต่พอรวมกลุ่มใหญ่ ถึง 13 คน นิสัยวัยรุ่น ท่านๆคงคาดเดากันได้นะครับ มีเพื่อนคุย มีหญิงให้แซว มีวิวให้มอง ที่กล้องถ่ายรูป นั่งเล่นหยอกล้อ เพียงเพื่อนเดินทางเท่านี้ จุดหมายไกลแค่ไหนก็ไม่เบื่อหรอกครับ แม้หลับก็ไม่ได้หลับดี เสียงดังเอะอะ น่ารำคาญปวดหัวมาก (ผมหมายถึงกลุ่มผมเองครับ
/ที่สถานที่รถไฟมาค่อนข้างตรงเวลา และคนขึ้นรถไฟพอสมควร แต่ก็ยังมีที่นั่งว่างๆอีกเยอะ ผมถ่ายรูปนี้โดยผ่านไปหลายสถานีมากแล้ว คนก็ขึ้นเพิ่มเรื่อย เหมือนกับเบาะพอดีคน ไม่ถึงกับแน่นขนัด จนตาลาย และตอนแรกเรานั่งกัน 8 เบาะ พอมีคนขึ้นใหม่ (ผู้สาวๆ )จึงแบ่งให้เขา แล้วมานั่งรวมกัน
*ขึ้นชื่อว่ารถไฟ ย่อมเป็นการเดินทางที่แสนยาวนาน ขึ้นชื่อว่านาน ท้องย่อมหิว มันเป็นเสน่ห์ที่ตกทอดกันมากี่สิบปีหรืออย่างไรก็ไม่ทราบได้ กับการที่มีของขายบนรถไฟ หากท่านผู้เจนจัดในเรื่องการเดินทาง คงทราบดี เข้าจังหวัดใด อาหารการกินที่แม่ค้าพ่อค้านำมาขาย จะเป็นไปตามลักษณะถิ่นฐานนั้นๆ แม้กระทั่งภาษาต่อให้พูดไม่ได้ แต่คนไทยย่อมฟังกันออก ลงใต้แล้วนะ เข้าอิสานแล้วนะ ขึ้นเหนือแล้วนะ มันเป็นสิ่งที่คู่กับหัวจักรรางเหล็กจนแยกไม่ออกเสียจริงเชียว หากสถานีนั้นอยู่ใกล้บ้านใคร เพื่อนฝูงก็จะอวดสรรพคุณ อาหารอันแสนวิเศษให้ฟังจนน้ำลายสอ
/เจ้าสิ่งนี้อยู่ต่อหน้า ทำให้ผมลืมชื่อสถานีไปสนิทเลยครับ หากเพือนๆได้กินไอติม ลองจำชื่อสถานีมาบอกกันหน่อย เพราะประเทศเรามันร้อน รถไฟก็ร้อน ได้กินไอติมกะทิใส่ข้าวเหนียวมะพร้าว โรยด้วยถั่วคั่ว มันแสนวิเศษมากๆ เราซื้อกันเกือบโหล จากพ่อค้ารถเข็นที่สถานีนั้น
*การเดินทางย่อมมีจุดสิ้นสุด แม้มันไม่ได้โลดโผน ยาวนานอะไรมากมายนัก แต่พวกเราเต็มอิ่มกับสิ่งที่ได้รับระหว่างทางมากมาย สายลดแสงแดด ที่ฟาดฟันผิวกาย ย่อมบ่งบอกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาได้ดี ขึ้นชื่อว่ากลุ่มวัยรุ่น บางทีคงไม่มีใครอยากยุ่ง แต่เราไม่ใช่อันธพาล เราแค่มาปลดปล่อยด้วยเสียงเพลง ด้วยดนตรี ด้วยอารมณ์ขัน ด้วยการดื่ม ผมกังวัลไม่น้อยในช่วงแรก เราเสียงดัง เราร้องเพลงเล่นกีตาร์ จะดูเกินไปไหม แต่นายรถไฟมิได้ปราม และสีหน้าคนอื่นๆกลับดูผ่อนคลาย ผมคิดในใจหากมีคนมีร่วมวงสนทนาด้วย คงเป็นการยินดีไม่น้อย
/เราถึงสถานีประมาณ บ่าย ครับ ถึงช้ากว่านี้ เราก็ไม่ซีเรียสกันมาก แต่เพื่อเป็นการดี เพราะ ห้องพัก มักเช็คอินเวลาบ่าย 2 สิ่งที่เพื่อนๆมือใหม่สังเกตุก่อนจะถึงสถานีหัวหินคือ สถานีชะอำครับ เพราะคนจะลง แทบครึ่งต่อครึ่ง และให้เพื่อนๆเตรียมตัวได้เลย หากจะลงหัวหิน
*สิ่งหนึ่งที่คาดเดาไม่ได้คือการเดินทาง เพราะบางครั้งมันไม่มีความแน่นอนจริงๆ และจงอย่ากลัวกับการใช้ชีวิตในบ้านเมืองของเราเลยครับ ฝรั่งมังค่า ยุ่น เจ๊ก เขามาเที่ยวได้เป็นปีๆ คำห้วนๆที่ฟังดูไม่สบอารมณ์คือคำว่า "มีปากก็ถามสิ มีตาก็อ่าน" แม้กระทั่งต่างประเทศ ก็ไม่ควรกลัวอะไรจนเกินไปทั้งนั้น แม้ตัวเพียงลำพังยังสามารถดั้นด้นไปไหนต่อไหนได้ สิ่งที่เราไม่มั่นใจอาจเป็น ดินฟ้าอากาศ แต่สิ่งหนึ่งที่มีอยู่ในตัว คือการพูดคุยเจรจา คนไทยที่แม้ไม่รู้จักกัน ก็ไม่ต่างกับเพื่อนคนนึงเมื่ออยู่ต่างประเทศเลย
/ลงสถานรถไฟหัวหินแล้วเดินออกมาข้างหน้า จะพบกับรถสองแถว ซึ่ง ก็ต้องดูระยะทางด้วย ที่พักผมห่างจากสถานีประมาณ 5-7 กิโลเมตร ราคาอยู่ที่คันละ 250 บาท ซึ่งไม่แพงหรอกครับ เพราะหารกันอีก ตกแล้วคนละ 20-30 บาทอาจต่างกันบ้างขึ้นอยู่กับการเจรจาต่อรอง ตามนิสัยคนไทย และเขาจะส่งเราถึงที่พักแน่นอน
---ที่พัก---
ก่อนอื่นต้องขอโทษเพื่อนๆด้วยนะครับ เนื่องจากรูปประกอบอาจมีไม่ครบและไม่สวยมากนัก เพราะไปถึงก็โดดตูมๆ นอนกันเละเทะ ไม่ได้ถ่ายมาให้ดูก่อน แต่จะอธิบายให้ฟัง
*สิ่งหนึ่งขององค์ประกอบการเดินทางคือที่พัก ไม่ว่าจะริมทาง ไม่ว่าจะโรงแรมห้าดาว ความสุขมันอยู่ตรงคนเสพครับ ว่าจะเลือกเสพเอาอะไร เสพเอาความทรามานลำบาก เสพเอาความสุขสบาย เสพเอาเพื่อนฝูง เสพเอาแค่ซุกหัวนอน ท้ายสุดก็เพียงเพื่อพักผ่อนให้พร้อมกับวันต่อไป แม้ไม่ใช่บ้านเรา แม้เราไม่ได้มาอยู่ฟรี แต่สิ่งหนึ่งที่ต้องมีความรับผิดชอบ คือการดูแลข้าวของเครื่องใช้ และรักษาคามสะอาด เพื่อนึกถึงใจเขาใจเรา (ข้อดีนี้ผมได้รับลผลของมันอย่างเห็นได้ชัด เดี๋ยวอธิบายตอนเช็คเอาท์)
/ที่พักเราติดต่อผ่านเว็บไซต์บ้านพักไออุ่น http://www.baanpak-i-un.com ซึ่งมีคอนโดอยู่ ซ. 32 นับว่าใกล้ที่เที่ยวเยอะมาก แต่เราไปเยอะ และทางเจ้าของมีที่พักอีกแห่ง เป็นแบบบ้าน อยู่ ซ. 19 เราไตร่ตรองหลายครั้งและตัดสินใจเอาที่นั้น ด้วยราคา 3500 บาท / คืน มัดจำ 1000 บาท มีห้องนอนจำนวน 3 ห้องแต่ละห้องมีเตียงใหญ่ นอนกันได้ถึง 4 คนเลยนะครับ และก็มีเตียงสำรองให้อีก ห้องน้ำ 3 ห้อง ห้องรับแขก ขนาดใหญ่ นับว่าถูกพอสมควรครับ บางคนหารีวิวมักเจอฟีดแบ็คด้านเสียบ้าง ผมก็เช่นกัน ตอนแรกก็ลังเล แต่เมื่อได้ไปอยู่และกลับมา ผมว่ามันโอเคมาก เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง เรามีดูที่พักกันก่อน
/บ้านมีทั้งหมด 3 ชั้นครับ ลักษณะเหมือนทาวเฮาส์ แต่ไม่ติดกันซะทีเดียว นี่เป็นชั้นล่างครับ มีทีวี มีโซฟานั่ง
/มีโต๊ะพูลให้ด้วย เล่นกันจนแทบอยู่ติดห้อง แม้ลูกจะไม่ครบ มีโต๊ะนั่งทานอาหาร มีตู้เย็นแช่ของ
/หน้าบ้านค่อนข้างกว้างครับ มีเตาปิ้งย่างให้ จานช้อนแก้วก็มีให้ รั้วรอบขอบชิดดีมากๆเลย และใน ซ. ก็เงียบสงบดีครับ (เพราะมีแต่พวกเราที่เสียงดัง)
/รูปที่ระเบียงชั้น 2 ครับ อย่างที่บอก ต้องขอโทษที่ไม่ได้ถ่ายมา รูปนี้เอามาจาก TimeLaps Gopro รูปเลยไม่ชัด เพราะ speed shutter ช้า