วิทยาศาสตร์แห่งความสุข: 4 วิธีที่ใครๆ ก็มีความสุขได้

จริงๆ ถ้าเป็นไปตามแผนต้องออกบทความนี้ตั้งแต่เมื่อวาน แต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ปัญหาด้านการงานค่อนข้างรุมเร้านิดหน่อย จึงทำให้เพิ่งเริ่มเขียนได้หลังจาก ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินได้ไม่นาน เลยคิดว่าจะเขียนเรื่อง ความสุขสักหน่อย เพราะว่าช่วงนี้ คนไทย ของเราทุกข์เหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ หรือ เรื่องการเมือง วันนี้ผมเลยอยากจะเอางานวิจัย สองสามชิ้นมายำกันเพื่อ ทำให้เรารู้ว่าการสร้างความสุขจริงๆ แล้วไม่ได้มีอะไรยากเลย ซักนิดเดียว ตามมาอ่านกันเลยครับ


“เมื่อทำงานหนักขึ้น เราจะมีประสบความสำเร็จ และ เมื่อเราประสบความสำเร็จ เราก็คงจะมีความสุข” คำนี้คงเป็นคำที่ใครหลายๆ คน พูดกับตัวเองอยู่บ่อยครั้ง จริงๆ แล้วคนเราหลายๆ คนก็ประสบความสำเร็จ อยู่บางครั้ง บางคนก็เรียนได้คะแนนดี บางคนก็จีบสาวสำเร็จ บางคนก็เอ็นทรานซ์ติด บางคนก็เรียนจบ บางคนก็ได้เลื่อนตำแหน่ง บางคนก็กลายเป็นเจ้าของกิจการ แต่ทำไมเรายังไม่มีความสุขอย่างยั่งยืนซักทีหนอ ?



ก่อนอื่นผมขอพูดถึงสมองของมนุษย์กันเล็กน้อยว่า เราแตกต่างกับสมองของบรรพบุรุษประมาณ 2 ล้านปีก่อน คือ Homo Habilisของเราอย่างมาก โดยที่เรามีเนื้อสมองมากกว่าเกือบ 3 เท่า ที่สมองของเราใหญ่กว่านั้นก็เพราะว่าสมองของคนเราได้สร้าง โครงสร้างใหม่ขึ้นมาคือ สมองส่วนหน้า (Frontal Lobe)โดยเฉพาะส่วนที่เรียกว่า พรีฟรอนทอล คอร์เท็กซ์ (Prefrontal Cortex) ซึ่งส่วนนี้นั้นมันทำให้เราสามารถจำลองสถานการณ์ต่างๆ ถึงแม้ว่าประสพการณ์นั้นๆ ยังไม่ได้เกิดขึ้นหรือ ไม่เคยมีประสพการณ์มาก่อนเลย ก็ทำได้ อย่างเช่น เราวางแผนว่าเราจะใช้เงินอย่างไร เมื่อถูกล๊อตตารี่ หรือ การที่เราจินตนาการถึงการประดิษฐ์อุปกรณ์ใหม่ๆ ซึ่งสิ่งนี้ทำให้ มนุษย์นั้นแตกต่างกับสัตว์อื่นๆ อย่างมาก






สมอง Homo Sapiens Sapiens (มนุษย์ปัจจุบัน) เทียบกับ บรรพบุรุษ



คำถามคือ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการทำให้เรามีความสุขมากขึ้นล่ะ ?


งั้นผมขอตอบคำถาม ด้วยคำถามว่าถ้าวันนี้ คุณ ถูกรางวัลที่หนึ่ง กับ วันนี้ คุณขาพิการต้องนั่งรถเข็น อีกหนึ่งปีจากนี้ อันไหนคุณจะมีความสุขมากกว่ากัน ?

แน่นอนว่า คุณ ก็คงคิดว่า มันไม่น่าจะเป็นคำถามเลยด้วยซ้ำเพราะว่า การถูกรางวัล มันก็ต้องมีความสุขกว่าอยู่แล้วสิซึ่งนี่เป็นตัวอย่างนึง ที่คุณใช้  Preforntal  Cortex ในการจำลองสถานการณ์ในอนาคตดู

แต่จริงๆ แล้วงานวิจัยหลายๆ ชิ้นจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก กลับบอกเราว่า เมื่อระยะเวลาผ่านไป ความสุขในชีวิตของเราไม่ได้แตกต่างกันเลย เมื่อพวกเขาไปวัดความสุขของ คนสองกลุ่มข้างต้น เมื่อเวลาผ่านไป หนึ่งปี ทั้งสองกลุ่มก็ไม่ได้มี ความสุข หรือ ความทุกข์ ต่างกันอย่างมีนัยยสำคัญ

ทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้นล่ะ ?

ก็เพราะว่าสมองของคนเราจะพยายามทำให้เรามีชีวิตรอด และปรับตัวเองให้ชินกับสถานการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นมา คำถึงแม้ว่าสถานการณ์ที่ว่า มันอาจจะ ที่ไม่ค่อยพึงประสงค์นัก ซึ่งก็มีงานวิจัยหลายชิ้นของ Harvard ได้พิสูจน์ว่าถ้าเรา ติดอยู่กับอะไรซักอย่างโดยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ มันจะทำให้เรามีความสุขขึ้นเอง ดังนั้นถึงแม้ว่า เราจะไม่ได้ทำอะไรกับชีวิต ที่เราคิดว่าแสนบัดซบนี่ เราก็จะค่อยๆ รู้สึกดีกับมันไปเอง เมื่อเวลาผ่านไป

อย่างเช่น ถ้าคุณเป็นสาวน้อยที่เพิ่งเจอชายหนุ่มคนหนึ่งในเดทแรก แล้วเขาแคะขี้มูกโชว์ตอนกำลังกินอาหาร คุณคงคิดว่า ทำไมมารยาททรามจัง (วะ) และคุณคงไม่มาเจอกับเขาอีกแล้ว แต่ถ้า คุณเป็นภรรยาวัยทึนทึก (ที่หมดทางไปไหนแล้ว) แล้วสามีแคะขี้มูกโชว์ตอนกำลังกินอาหาร อย่างมากคุณก็คงจะเอ็ด เขาขำๆ นิดหน่อยว่าไม่มีมารยาทเลยนะเธอนี่!


แต่ว่าสิ่งที่ทำให้เราทุกข์มากขึ้นก็คือการจินตนาการ เมื่อเปรียบเทียบกับ อนาคตที่เราไม่ได้เลือก (Paradox of Choices) คือบางครั้งเราจะมองว่าถ้าเราเลือกแบบนั้น ชีวิตเราคงจะมีความสุขมากกว่านี้ ถ้าเราสอบได้ที่หนึ่งชีวิตเราคงจะมีความสุขมากกว่านี้ ฯลฯ


มันจึงทำให้เราคิดว่าถ้าเราประสบความสำเร็จ เราถึงจะมีความสุข แต่จริงๆ แล้วเมื่อเราสำเร็จแล้ว เราก็จะสร้างเงื่อนไขแห่งความสุขครั้งใหม่ให้แก่สมองอีก ถ้าเราสอบได้ที่หนึ่งของห้องแล้ว เราก็ต้องสอบให้ได้ที่หนึ่งของระดับ เราถึงจะมีความสุข เพราะการสอบได้ที่หนึ่งของห้อง แบบเดิมๆ มันไม่พอกับการสนองความต้องการของ สมองที่ถูกฝึกให้ไล่ล่าความสำเร็จซะแล้ว ในทางกลับกันถ้าเราล้มเหลวในการไล่ล่าครั้งนี้ มันยิ่งจะทำให้เรารู้สึกแย่ลงและเป็นทุกข์ด้วยซ้ำไป


แล้วทำอย่างไรถึงจะทำให้คนเรามีความสุข และ ประสบความสำเร็จ ดีล่ะ ?


ก็มีนักวิจัยจำนวนหนึ่ง อย่างเช่น Shawn Achor บอกว่าแทนที่เราจะฝึกสมองให้ผลักความสุขไปยัง หลังจากที่เราสำเร็จแล้ว ทำไมเราถึงไม่ ฝึกสมองเราให้มีความสุขเป็นประจำ แทนล่ะ เพราะว่าจริงๆ แล้ว ความสุขของคนคนหนึ่งมีเพียง 10% เท่านั้นที่ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมของเขา (เช่น เงินทอง หรือ หน้าที่การงาน) ส่วนอีก 90% อยู่ที่วิธีที่สมองคิด กับสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ต่างหาก

ซึ่งจากงานวิจัยหลายๆ ชิ้น คนที่มีความสุข จะมีทัศนคติที่ดีขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำตามเป้าหมายได้มากขึ้น ดังนั้นมันจะเป็นการง่ายกว่ามาก ที่เราจะปรับวิธีคิดของเรา


แต่หลายๆ คนคงจะมีคำถามว่า แล้วเราจะทำอย่างไรถึงจะ Train สมองให้มีความสุขได้ล่ะ ?

ผมมีวิธีง่ายๆ 4 วิธีที่จะสร้างความสุขมาแชร์ครับ




1. เลิกคาดหวังในสิ่งต่างๆ แล้วใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันซะ

เมื่อเราทำอะไรสักอย่าง และคาดหวังให้มันได้ผลลัพธ์ ที่เราต้องการ อย่างเช่น ทำงานหนัก และคาดหวังว่า จะได้เงินเดือนขึ้นเยอะ ถ้ามันไม่เป็นอย่างใจเรา เราก็จะมาเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น รู้หยั่งงี้ทำงานน้อยลงตั้งแต่ตอนนั้นดีกว่า แต่ถ้าเป็นทางกลับกัน คุณทำงานแย่มาทั้งปี แล้วได้ขึ้นเงินเดือนน้อย คุณก็จะมาบ่นอีกว่า รู้หยั่งงี้ทำงานให้มันหนักแต่แรกดีกว่า ซึ่งเพื่อนๆ ผม บางคนชอบพูดว่า รู้อะไร ไม่สู้ รู้หยั่งงี้

ในเมื่อเราไม่มีทางรู้หยั่งงี้ได้ เนื่องจากเราไม่ใช่ยอดมนุษย์ ที่สามารถมองเข้าไปในอนาคตได้ เราก็ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ถ้าทำแล้วผลตอบรับ หรือ ผลตอบแทนมันไม่ดี เราก็ต้องยอมรับมัน หรือ เราก็อาจจะมองหาลู่ทางอื่นๆ ไว้บ้าง



2. เลือกการสร้างความสุขที่ยั่งยืน มากกว่าความสุขฉาบฉวย

ความสุขประเภทต่างๆ มีอยู่มากมาย ซึ่งอย่างน้อยๆ ก็จะแบ่งได้ถึง 3 ประเภท คือ

1) ความสุขที่มีสิ่งดีๆ เกิดขึ้น เช่น ถูกล๊อตตารี ได้กินของอร่อยๆ ฯลฯ
2) ความสุขได้ทำงาน หรือใช้ชีวิตที่เราถนัด เช่น การทำงานที่ได้แสดงศักยภาพของเราอย่างเต็มที่ ฯลฯ
3) ความสุขจากที่มีความหมาย เช่น ช่วยชีวิตคน ทำเพื่อมนุษยชาติ ทำเพื่อศาสนา ทำเพื่อชาติ ฯลฯ

ซึ่งจากงานวิจัย เช่น Peterson, Park, and Seligman (2005) ได้ระบุไว้ว่า ความสุขเมื่อมีสิ่งดีๆ เกิดขึ้นนั้น มันไม่ยั่งยืน และมันจะค่อยๆ ลดทอนลง อย่างถ้าคุณได้กิน ไอศครีมอร่อยๆ ครั้งแรกคุณคงจะฟินมาก แต่ถ้าคุณกินไปทุกๆ วันติดๆ กันไปซักปีนึง ความพอใจมันก็จะลดลง จนในที่สุดคุณอาจจะเอียนจนไม่อยากกินมันอีกแล้ว ก็เป็นได้

แต่ถ้าเป็นความสุขจากการ ทำสิ่งที่เราถนัดอย่างต่อเนื่อง มันจะต่างออกไปมาก มันจะคงอยู่นาน และเราจะมีความภูมิใจกับสิ่งที่เราทำ ซึ่งหลายๆ คนอาจจะไม่รู้ว่าเรามีความถนัดอะไรบ้าง อาจจะลองใช้เครื่องมือของ www.authentichappiness.org ในการช่วยค้นหา ตัวเอง ก็ได้ครับ ถ้าเราทำงานที่สามารถใช้ความสามารถของเราได้เต็มที่ เราก็จะมีโอกาสที่จะมีชีวิต ที่มีความสุขมากขึ้น ไปด้วย

ความสุขอย่างสุดท้าย คือ ความสุขตอนที่เราทำอะไรที่ เชื่อมโยงถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา ซึ่งจะทำให้เราภาคภูมิใจมาก อย่างเช่น เมื่อเราได้ชื่อว่าทำอะไรเพื่อมนุษยชาติ ประเทศชาติ ศาสนา หรือ บุคคล ที่เราเชื่อ หรือ รัก ก็จะทำให้เรามีความสุขอย่างมาก เรื่องนี้ก็อาจจะต้องระวังอยู่อย่างนึง คือคนบางจำพวก ก็อาจจะใช้ข้อนี้ในการชักจูง ผู้คนไปทำในสิ่งที่ผิด หรือ แม้แต่ฆ่าผู้อื่น เพื่อความสุขแบบนี้ก็มี (ยกตัวอย่างเช่น ใน รวันดา)

ถ้าคนเรามีความสุขครบทั้งสามแบบ ยินดีด้วยที่คุณ มีความสุขอย่างชีวิตอย่างเต็มที่แล้วครับ แต่ถ้าคุณไม่มีสักอย่างแสดงว่าคุณมีชีวิตที่ค่อนข้างว่างเปล่าแล้วล่ะ



3. ปรับการแสดงออกทางกาย เพื่อสร้างความสุข และความมั่นใจ

การปรับพฤติกรรมทางกายก็เป็น วิธีหนึ่งที่ทำให้เกิดความสุขได้ เหมือนกัน จากการทดลองการยิ้ม โดยที่เอาปากคาบปากกาไว้ ก็ทำให้มีความสุขได้ ซึ่งการทดลองนี้มีมาตั้งแต่ ทศวรรษที่ 60 โดย Pual Ekman ที่มหาวิทยาลัย University of California San Francisco  ดังนั้นนอกจากนี้การใช้สีหน้าอย่างอื่นก็มีผลกับสมองของเราด้วยเช่นเดียวกัน รูปด้านล่างเป็นรูปของ Eve Ekman ที่แสดงสีหน้า 7 อย่างที่ใช้กันทั่วโลกสำหรับความรู้สึกต่างๆ ซึ่งความรู้สึกของเราก็จะเปลี่ยนไปเมื่อทำสีหน้าพวกนี้ด้วย




นอกจากการยิ้มการใช้ท่าทางบางอย่าง ก็สามารถทำให้เรามีความสุข และมีความมั่นใจได้เช่นเดียวกัน การที่เราพยายามใช้วิธีการทำท่าแบบ High Power Posing (ดูตัวอย่างในรูปข้างล่าง) ซัก 2 – 3 นาที ก็จะทำให้เรามีความมั่นใจมากยิ่งขึ้นอีกด้วย จากการทดลอง ของ Amy Cuddy ที่ Harvard Business School ก็ได้แสดงว่า เมื่อเราทำอย่างรูปดังนี้ จะทำให้ Key Hormones สองตัวเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัด คือ Testosterone มีค่าเพิ่มขึ้น แสดงถึงความมั่นใจในตัวเองที่เพิ่มขึ้น และ Cortisol ที่ลดลง ซึ่งแสดงถึงความเครียดที่ลดลง นอกจากนี้ Amy Cuddy ยังได้ทดลองเพิ่มเติมไปถึง การใช้วิธีนี้ ก่อนการสัมภาษณ์ งาน ปรากฎว่า คนที่ใช้ท่า High Power Posing จะได้รับการประเมินสูงกว่า คนที่ทำท่า Low Power Posing  เป็นอย่างมาก



รูปแสดง High Power & Low Power Poses





4. สร้างนิสัยแห่งความสุข


การสร้างนิสัยแห่งความสุข ผมได้แนวคิดนี้ มาจากงานวิจัยของ Shawn Achor ซึ่งเดินทางไปบรรยายทั่วโลก เรื่องการสร้างประสิทธิภาพ จากการทำให้ตัวเองมีความสุขก่อน จากงานวิจัยของ Shawn Achor ปรากฎว่าการฝึกสมองให้มองหาความสุข ไม่ได้เป็นเรื่องยากเลย ซึ่งผมก็ได้ใช้กับลูกน้อง และได้ผลค่อนข้างดีอย่างมาก ก็คือ


- ให้มองหาความสุขในชีวิตให้ได้ วันละ 3 อย่าง แล้วจดไว้เป็นระยะเวลา 21 วันติดต่อกัน (63 ความสุข ที่ไม่ซ้ำกัน)

- ให้เขียนบันทึกอย่างละเอียดถึงเหตุการณ์ 1 ใน 3 อย่างที่จดไว้ ว่ามันเป็นอย่างไร

- นั่งสมาธิไม่ต่ำกว่า 10 นาทีต่อวัน

- ออกกำลังกาย


เนื่องจากปกติคนเรามักจะไม่ได้มองหา เรื่องที่เป็นบวก สังเกตุได้จากหนังสือพิมพ์ ปกติแต่ละวันนั้นเราก็จะมองเห็นว่า จะเต็มไปด้วยข่าวอาชญากรรม หรือ ภัยพิบัติ ต่างๆ อยู่เสมอๆ หรืออย่างเช่น เวลารถชนกัน คนมักจะหยุดมอง เป็นไทยมุง ทำให้รถติดมากมาย

แต่คนเรากลับไม่ค่อยได้มองหาสิ่งที่เป็นบวกเท่าไหร่นัก การกระทำข้างต้น ต่อเนื่องเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 21 วันจะทำให้สมองเราเคยชินมองหาความสุขเล็กๆ น้อยๆ ที่มีอยู่รอบตัว และ ฝึกที่จะมีความสุขกับ ความสุขเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้น การที่เราบันทึกถึงมันอย่างละเอียด จะทำให้เราย้อนไปถึงความจำที่มีความสุข และทำให้เราซาบซึ้งกับความสุขเหล่านั้นได้นานขึ้น การนั่งสมาธิจะทำให้สามารถจดจ่ออยู่กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าได้มากขึ้น และลดความสนใจจากสิ่งรบกวนที่มีมากขึ้นทุกที ในสังคมปัจจุบัน และ สุดท้ายการออกกำลังกาย จะทำให้สมองรู้ว่าพฤติกรรมทางร่างกายมีความสำคัญ (ซึ่งจะช่วยทำให้พฤติกรรมทางกาย มีผลต่อสมองมากขึ้นด้วย)

เมื่อเรามีความคิดเชิงบวกอย่างนี้ ระบบประสาทจะหลั่งสาร Dopamineออกมา นอกจากมันจะทำให้เรามีความสุขมากขึ้นแล้ว มันยังช่วยในการทำให้ กระบวนการเรียนรู้ และ การเก็บความจำของ สมองทำงานได้ดีมากขึ้นอีกด้วย


คิดว่าบทความนี้คงจะมีประโยชน์แก่เพื่อนๆ ที่กำลังทุกข์กาย ทุกข์ใจ อยู่บ้างนะครับ ถ้าชอบก็อย่าลืม +1 นะครับ ^_^
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่