กับดักความฉลาด
.
.
หนึ่งในบทสนทนาที่น่าสนใจที่สุดของผมในปีนี้ เกิดขึ้นเพราะเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่ไม่ค่อยได้คุยกัน ส่งข้อความมาว่า
.
“วันไหนว่างกินข้าวกัน กูมีเรื่องสำคัญอยากปรึกษา”
.
เอาจริงๆแปลกใจอยู่เหมือนกัน แต่ในใจผมคิดว่าปกติเราไปกินข้าวกับคนที่ไม่รู้จักเยอะแยะ กับเพื่อนที่เรียนหนังสือด้วยกันมาทำไมจะไม่ไป แล้วเอาจริงๆสมัยเรียนผมก็เคยได้อานิสงส์ของการอ่าน lecture ของมันอยู่เหมือนกัน
.
ผมก็เลยตอบตกลง แล้วผมก็ถามว่าเดี๋ยวนี้ยังดื่มอยู่ไหม เพื่อนก็บอกว่านิดหน่อย เลยนัดทานข้าวที่ไวน์บาร์เล็กๆ ในเมือง
.
ต้องบอกก่อนว่า เพื่อนผมคนนี้ ทั้งฉลาดมาก ปริญญาโทไปเรียนถึงมหาวิทยาลัยระดับโลก ครอบครัวก็มีฐานะพอสมควร อาจจะไม่ได้ร่ำรวยสุดๆ แต่ก็ไม่แย่แน่นอน
.
พอดื่มไวน์ไปซักแก้วนึง
.
เพื่อนผมบอกว่า “เรื่องที่คาใจกูมากคือ กูอยากให้ช่วยวิเคราะห์ให้หน่อยว่า กูเป็นคนเรียนหนังสือเก่ง ตลอดเวลาที่โตมามีแต่คนบอกว่ากูเนี่ยศักยภาพจะเป็นอะไรก็ได้ ตอนสอบเข้า ป.โท กูก็เข้า ivy league ได้ ทุกคนบอกว่ากูจะทำทุกอย่างที่กูอยากทำได้, I can be anything แล้วทำไมวันนี้กูมาอยู่ตรงนี้ว่ะ”
.
“กูพูดตรงๆเลยนะ กูเห็นคนที่ไม่ฉลาดเท่ากู เรียนหนังสือก็ไม่เก่ง ทำไม

ประสบความสำเร็จมากกว่ากูเยอะเลยว่ะ”
.
เอาจริงๆชีวิตเพื่อนผมก็ไม่ได้แย่อะไรนะครับ ทำงานบริษัทใหญ่โต อาจจะไม่ได้เป็นตำแหน่งสูงมาก แต่ก็ไม่แย่เลย เงินเดือนก็ไม่แย่
.
ผมเลยตอบว่า “แต่ชีวิตก็ไม่แย่ไหม งานก็ดีนี่”
.
เพื่อนผมเลยตอบว่า “แต่กูน่าจะทำได้ดีกว่านี้ กูคิดว่ากูมีศักยภาพที่ดีกว่านี้ได้ ช่วยกูคิดหน่อยว่ากูจะปลดล็อคตรงนี้ได้ยังไง”
.
ผมตอบว่า “เอาจริงๆนะ กูว่า mid-life crisis แต่กูเข้าใจประมาณนึง”
.
ผมพูดต่อว่า “เคยได้ยินคำว่ากับดักคนฉลาดไหม”
.
และนี่คือเนื้อหาที่เราสนทนากันในวันนั้น อาจจะไม่เป๊ะๆ แต่คร่าวๆประมาณนี้ครับ
.
.
.
เรื่องแรกที่เราพูดกันคือ Analysis Paralysis & Overthinking หรือการวิเคราะห์มากและการคิดมากเกินไป
.
หลายครั้งคนที่ฉลาดมากๆ มักจะต้องคิดเยอะครับ เพราะสมองมันทำงานแบบนั้น
.
สมมติจะเขียนหนังสือซักเล่ม คนฉลาดๆหลายคนจะหาข้อมูลเยอะมาก ทำการบ้านเยอะมากเกี่ยวกับการเขียน ไปวิเคราะห์อะไรเต็มไปหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีนะครับ ไม่ใช่ไม่ดี เราต้องการข้อมูล
.
แต่บางทีมันเยอะเกินไป มากเกินไป นานเกินไป
.
บางคนวิเคราะห์ข้อมูลไปหนึ่งปีแล้ว ยังไม่ได้เขียนอะไรออกมาเลย
.
ในขณะที่อีกคนที่เก่งน้อยกว่า IQ น้อยกว่า ตีพิมพ์ไป 2 เล่มแล้ว
.
.
เพื่อนผมพยักหน้าแล้วบอกต่อว่า
.
มันเป็นแบบนี้เลย หลายครั้งรู้สึกว่าตัวกำลังหลบอยู่ หลบหลังการวิจัย หลบหลังการวิเคราะห์ หลบหลังภาพลวงตาของการมีประสิทธิภาพ
.
ซึ่งการ Overthinking มันแปลกตรงที่เราจะรู้สึกว่า เรามีประสิทธิภาพด้วยนะครับเพราะสมองของเราทำงานหนัก แต่มันเหมือนเหยียบคันเร่งในเกียร์ว่าง เสียงดังแต่ไม่ขยับไปไหน
.
ลึกๆแล้วเรารู้ด้วยแหละว่าเราคิดเยอะเกิน เกินพอดีไปแล้ว แต่มันติดแบบไปต่อไม่ได้
.
.
.
เรื่องที่สองที่เราคุยกันคือ จริงๆแล้วความฉลาด หรือ IQ มันสำคัญขนาดไหน
.
ผมเลยบอกว่ายังไม่เคยเห็นงานวิจัยจริงจังเรื่องนี้ แต่ถ้าถามผม IQ อาจจะสำคัญน้อยกว่า EQ
.
เพราะ EQ คือการเข้าใจ “มนุษย์’ ทั้งคนอื่นและตัวเอง ซึ่งส่วนตัวคิดว่าเป็นกุญแจกดอกที่สำคัญที่สุดในความสำเร็จโดยเฉพาะเรื่องหน้าที่การงาน
.
กล่าวโดยรวมๆคือ ความสามารถในการอ่านการเชื่อมต่อกับผู้คน การอ่านบรรยากาศ การจัดการอารมณ์ของตัวเอง การสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น การโน้มน้าวใจคนอื่น ฯลฯ
.
แต่ระบบการศึกษาของเราไม่เคยสอนเรื่องพวกนี้ เราได้รางวัลสำหรับการรู้คำตอบที่ถูกต้อง ไม่ใช่สำหรับการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี เราได้รางวัลสำหรับการแก้ปัญหาคนเดียว ไม่ใช่การสร้างความสัมพันธ์ เราได้รางวัลในการเป็น “คนที่ถูก” ไม่ใช่ “คนที่เป็นที่รัก”
.
ดังนั้นคนฉลาดหลายคนจึงเก่งเรื่องทฤษฎี แต่แย่เรื่องมนุษยสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิง ซึ่งจริงๆ หลายคนอาจจะแก้สมการตัวเลขที่ซับซ้อนได้ แต่แก้สมการของการขอความช่วยเหลือกับคนอื่นไม่ได้
.
บางคนฉลาด แต่จัดการความเครียดไม่เป็น เรื่องพวกนี้เกี่ยวข้องกับความสำเร็จทั้งสิ้น
.
.
เรื่องสุดท้ายคือคำสาปของความรู้หรือ Curse of Knowledge
.
คนฉลาดจะเห็นผลลัพธ์ที่เป็นไปได้เยอะมาก เห็นความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้นทุกรูปแบบ และเห็นโอกาสการ optimize ทุกอย่าง ทุกทางที่อาจผิดพลาดได้ ความฉลาดสามารถเปลี่ยนการตัดสินใจง่ายๆ ให้เป็นวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกได้เลย
.
แต่บางทีความฉลาดไม่ได้ทำให้การตัดสินใจดีขึ้น เพราะบางทีมันทำให้เราไม่ตัดสินใจเลย เพราะทุกเส้นทางที่เห็น แตกแขนงเป็นพันเส้นทาง และแต่ละเส้นทางก็แตกแขนงอีก จนความคิดเป็นอัมพาต เพราะความเป็นไปได้มันมากมายเหลือเกิน พอมันซับซ้อนเกินไป การลงมือทำก็เลยยาก
.
แต่ความสำเร็จไม่ได้มาจากการ “รู้” แต่มาจากการลงมือ “ทำ”
.
มาถึงตรงนี้เพื่อนผมบอกว่า อยากเปลี่ยนการดำเนินชีวิตจริงๆ
.
ผมเลยบอกว่า ความสามารถและความพยายามนั้นสำคัญทั้งคู่ แต่ผมเชื่อว่าความพยายามจะทำให้เราชนะในระยะยาว
.
คนที่ฉลาดมาตลอดชีวิต ไม่ใช่แค่สิ่งที่ทำ แต่คือตัวตนของคนคนนั้นไปแล้ว ความฉลาดไม่ใช่แค่คุณลักษณะ มันเป็น identity ดังนั้นพอจะทำอะไรแล้วคิดว่าจะมีโอกาสพลาด เลยกังวลว่าจะมากระทบกับตัวตน คนฉลาดเลยเลือกจะไม่ไปยุ่งกับอะไรที่มีแนวโน้มจะพลาดได้
.
แต่โลกนี้สอนเราว่า การเติบโตต้องการความล้มเหลว ต้องการการดูโง่ การทำผิด การเป็นมือใหม่ การถามคำถามโง่ๆ การทำผิด และนั่นทำให้คนที่ identity สร้างมาจากการเป็นคนฉลาดกลัว
.
เพื่อนผมพยักหน้าตาม แล้วบอกว่าจริงมันเป็นแบบนั้นจริงๆ
.
ผมเลยบอกว่า จำได้ว่าเคยอยากเขียนหนังสือใช่ไหม
.
เพื่อนบอกว่าใช่ มันอยากเขียนมานานแล้ว
.
ผมบอกว่า “ลองออกแบบสภาพแวดล้อมทำให้การลงมือทำง่ายกว่าการวิเคราะห์ เอาทุกอุปสรรคระหว่างเรากับการทำออกไป เพราะสมองของจะหาข้อแก้ตัวใดๆ ก็ได้เพื่อคิดแทนที่จะทำ
.
ถ้าอยากเขียน อย่าไปวิจัยเรื่องการเขียน อย่าซื้อคอร์สใหม่ อย่าเข้าฟอรัมใหม่ เปิดเอกสาร พิมพ์ประโยคเดียว เซฟไว้ที่หน้าเดสก์ท็อป พรุ่งนี้เพิ่มอีกสองประโยค นี่คือระบบ แล้วบอกตัวเองว่าจะมาเปิดคอมเขียนวันละครึ่งชั่วโมงทุกวัน
.
เพื่อนผมถามว่า “แล้วถ้างานออกมาห่วยหรือไม่มีคนอ่านจะทำยังไงว่ะ”
.
ผมตอบว่า “งานจะออกมาห่วย มันจะไม่มีคนอ่านตอนแรกๆ และนี่แหละคือประเด็น อยู่กับความรู้สึกแบบนั้นให้ได้ อยู่กับความรู้สึกโง่เขลา ความรู้สึกน่าอาย”
.
“สมองอาจจะคิดว่า มันต้องมีอะไรบางอย่างผิดพลาดแน่ๆ เราต้องการ research เราต้องการ framework เราต้องการ matrix สิ นี่มันง่ายเกินไป มันต้องยากกว่านี้ เพราะสมองอาจจะต้องการความซับซ้อนเพราะความซับซ้อนรู้สึกฉลาด แต่ความซับซ้อนทำลายการลงมือทำ”
.
“กูคิดว่าความง่าย (simplicity) ชนะ ความซับซ้อน (complexity) เสมอ ออกแบบชีวิตให้การลงมือทำเป็นเรื่องง่าย ”
.
“ถ้ารู้สึกว่าต้องรอพร้อม จะรอตลอดไป สมองมันจะหาสิ่งที่ต้องวิจัยอีกสักอย่าง ทักษะที่ต้องเรียนอีกสักอย่าง ข้อแก้ตัวที่ต้องผัดวันประกันพรุ่งอีกสักอย่าง
.
เริ่มแบบโง่สุดๆ เลือกมาซัก 1 อย่าง เอาอย่างเดียวพอ ไม่ต้องเยอะ แล้วทำอย่างต่อเนื่อง ทำในวันที่ไม่อยากทำ อนุญาตให้เป็นมือสมัครเล่น อนุญาตให้เป็นมนุษย์ อนุญาตให้ผิดพลาดได้
.
แล้วจะเห็นว่าการลงมือทำชนะการวิเคราะห์ การทำสำเร็จชนะความสมบูรณ์แบบ การเคลื่อนไหวชนะการคิด”
.
.
เราจบบทสนทนากันตรงนี้ เราร่ำลากัน
.
ผมไม่รู้ว่าเพื่อนผมได้อะไรกลับไปมากน้อยแค่ไหน แต่หวังว่าบทสนทนานี้จะช่วยให้เขาเห็นมุมมองใหม่ๆ บ้าง แน่นอนว่าไม่ได้มีอะไรถูกผิดเพราะแต่ละคนก็มีบริบทที่แตกต่างกันออกไป
.
ผมนึกถึงคำพูดของ Arnold Glasow ที่ว่า
.
.
“An idea not coupled with action will never get any bigger than the brain cell it occupied.”
💡บทสรุป คือ ควรมี IQ และ EQ ในการทำงานร่วมกับผู้อื่น มีคอนเนคชั่น …คุณถึงจะไปได้สุดทางในสายอาชีพ หรือ เพื่อนๆ คิดเห็นอย่างไรคะ
Cr :
https://www.facebook.com/share/1FLpKraYNf/?mibextid=wwXIfr
#iq #Eq #ความฉลาดทางอารมณ์
🧬เพื่อนๆคิดว่า IQ หรือ EQ สำคัญกว่ากัน ในชีวิตการทำงาน?
.
.
หนึ่งในบทสนทนาที่น่าสนใจที่สุดของผมในปีนี้ เกิดขึ้นเพราะเพื่อนเก่าสมัยเรียนที่ไม่ค่อยได้คุยกัน ส่งข้อความมาว่า
.
“วันไหนว่างกินข้าวกัน กูมีเรื่องสำคัญอยากปรึกษา”
.
เอาจริงๆแปลกใจอยู่เหมือนกัน แต่ในใจผมคิดว่าปกติเราไปกินข้าวกับคนที่ไม่รู้จักเยอะแยะ กับเพื่อนที่เรียนหนังสือด้วยกันมาทำไมจะไม่ไป แล้วเอาจริงๆสมัยเรียนผมก็เคยได้อานิสงส์ของการอ่าน lecture ของมันอยู่เหมือนกัน
.
ผมก็เลยตอบตกลง แล้วผมก็ถามว่าเดี๋ยวนี้ยังดื่มอยู่ไหม เพื่อนก็บอกว่านิดหน่อย เลยนัดทานข้าวที่ไวน์บาร์เล็กๆ ในเมือง
.
ต้องบอกก่อนว่า เพื่อนผมคนนี้ ทั้งฉลาดมาก ปริญญาโทไปเรียนถึงมหาวิทยาลัยระดับโลก ครอบครัวก็มีฐานะพอสมควร อาจจะไม่ได้ร่ำรวยสุดๆ แต่ก็ไม่แย่แน่นอน
.
พอดื่มไวน์ไปซักแก้วนึง
.
เพื่อนผมบอกว่า “เรื่องที่คาใจกูมากคือ กูอยากให้ช่วยวิเคราะห์ให้หน่อยว่า กูเป็นคนเรียนหนังสือเก่ง ตลอดเวลาที่โตมามีแต่คนบอกว่ากูเนี่ยศักยภาพจะเป็นอะไรก็ได้ ตอนสอบเข้า ป.โท กูก็เข้า ivy league ได้ ทุกคนบอกว่ากูจะทำทุกอย่างที่กูอยากทำได้, I can be anything แล้วทำไมวันนี้กูมาอยู่ตรงนี้ว่ะ”
.
“กูพูดตรงๆเลยนะ กูเห็นคนที่ไม่ฉลาดเท่ากู เรียนหนังสือก็ไม่เก่ง ทำไม
.
เอาจริงๆชีวิตเพื่อนผมก็ไม่ได้แย่อะไรนะครับ ทำงานบริษัทใหญ่โต อาจจะไม่ได้เป็นตำแหน่งสูงมาก แต่ก็ไม่แย่เลย เงินเดือนก็ไม่แย่
.
ผมเลยตอบว่า “แต่ชีวิตก็ไม่แย่ไหม งานก็ดีนี่”
.
เพื่อนผมเลยตอบว่า “แต่กูน่าจะทำได้ดีกว่านี้ กูคิดว่ากูมีศักยภาพที่ดีกว่านี้ได้ ช่วยกูคิดหน่อยว่ากูจะปลดล็อคตรงนี้ได้ยังไง”
.
ผมตอบว่า “เอาจริงๆนะ กูว่า mid-life crisis แต่กูเข้าใจประมาณนึง”
.
ผมพูดต่อว่า “เคยได้ยินคำว่ากับดักคนฉลาดไหม”
.
และนี่คือเนื้อหาที่เราสนทนากันในวันนั้น อาจจะไม่เป๊ะๆ แต่คร่าวๆประมาณนี้ครับ
.
.
.
เรื่องแรกที่เราพูดกันคือ Analysis Paralysis & Overthinking หรือการวิเคราะห์มากและการคิดมากเกินไป
.
หลายครั้งคนที่ฉลาดมากๆ มักจะต้องคิดเยอะครับ เพราะสมองมันทำงานแบบนั้น
.
สมมติจะเขียนหนังสือซักเล่ม คนฉลาดๆหลายคนจะหาข้อมูลเยอะมาก ทำการบ้านเยอะมากเกี่ยวกับการเขียน ไปวิเคราะห์อะไรเต็มไปหมด ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีนะครับ ไม่ใช่ไม่ดี เราต้องการข้อมูล
.
แต่บางทีมันเยอะเกินไป มากเกินไป นานเกินไป
.
บางคนวิเคราะห์ข้อมูลไปหนึ่งปีแล้ว ยังไม่ได้เขียนอะไรออกมาเลย
.
ในขณะที่อีกคนที่เก่งน้อยกว่า IQ น้อยกว่า ตีพิมพ์ไป 2 เล่มแล้ว
.
.
เพื่อนผมพยักหน้าแล้วบอกต่อว่า
.
มันเป็นแบบนี้เลย หลายครั้งรู้สึกว่าตัวกำลังหลบอยู่ หลบหลังการวิจัย หลบหลังการวิเคราะห์ หลบหลังภาพลวงตาของการมีประสิทธิภาพ
.
ซึ่งการ Overthinking มันแปลกตรงที่เราจะรู้สึกว่า เรามีประสิทธิภาพด้วยนะครับเพราะสมองของเราทำงานหนัก แต่มันเหมือนเหยียบคันเร่งในเกียร์ว่าง เสียงดังแต่ไม่ขยับไปไหน
.
ลึกๆแล้วเรารู้ด้วยแหละว่าเราคิดเยอะเกิน เกินพอดีไปแล้ว แต่มันติดแบบไปต่อไม่ได้
.
.
.
เรื่องที่สองที่เราคุยกันคือ จริงๆแล้วความฉลาด หรือ IQ มันสำคัญขนาดไหน
.
ผมเลยบอกว่ายังไม่เคยเห็นงานวิจัยจริงจังเรื่องนี้ แต่ถ้าถามผม IQ อาจจะสำคัญน้อยกว่า EQ
.
เพราะ EQ คือการเข้าใจ “มนุษย์’ ทั้งคนอื่นและตัวเอง ซึ่งส่วนตัวคิดว่าเป็นกุญแจกดอกที่สำคัญที่สุดในความสำเร็จโดยเฉพาะเรื่องหน้าที่การงาน
.
กล่าวโดยรวมๆคือ ความสามารถในการอ่านการเชื่อมต่อกับผู้คน การอ่านบรรยากาศ การจัดการอารมณ์ของตัวเอง การสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้อื่น การโน้มน้าวใจคนอื่น ฯลฯ
.
แต่ระบบการศึกษาของเราไม่เคยสอนเรื่องพวกนี้ เราได้รางวัลสำหรับการรู้คำตอบที่ถูกต้อง ไม่ใช่สำหรับการทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ดี เราได้รางวัลสำหรับการแก้ปัญหาคนเดียว ไม่ใช่การสร้างความสัมพันธ์ เราได้รางวัลในการเป็น “คนที่ถูก” ไม่ใช่ “คนที่เป็นที่รัก”
.
ดังนั้นคนฉลาดหลายคนจึงเก่งเรื่องทฤษฎี แต่แย่เรื่องมนุษยสัมพันธ์ที่ยุ่งเหยิง ซึ่งจริงๆ หลายคนอาจจะแก้สมการตัวเลขที่ซับซ้อนได้ แต่แก้สมการของการขอความช่วยเหลือกับคนอื่นไม่ได้
.
บางคนฉลาด แต่จัดการความเครียดไม่เป็น เรื่องพวกนี้เกี่ยวข้องกับความสำเร็จทั้งสิ้น
.
.
เรื่องสุดท้ายคือคำสาปของความรู้หรือ Curse of Knowledge
.
คนฉลาดจะเห็นผลลัพธ์ที่เป็นไปได้เยอะมาก เห็นความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้นทุกรูปแบบ และเห็นโอกาสการ optimize ทุกอย่าง ทุกทางที่อาจผิดพลาดได้ ความฉลาดสามารถเปลี่ยนการตัดสินใจง่ายๆ ให้เป็นวิทยานิพนธ์ปริญญาเอกได้เลย
.
แต่บางทีความฉลาดไม่ได้ทำให้การตัดสินใจดีขึ้น เพราะบางทีมันทำให้เราไม่ตัดสินใจเลย เพราะทุกเส้นทางที่เห็น แตกแขนงเป็นพันเส้นทาง และแต่ละเส้นทางก็แตกแขนงอีก จนความคิดเป็นอัมพาต เพราะความเป็นไปได้มันมากมายเหลือเกิน พอมันซับซ้อนเกินไป การลงมือทำก็เลยยาก
.
แต่ความสำเร็จไม่ได้มาจากการ “รู้” แต่มาจากการลงมือ “ทำ”
.
มาถึงตรงนี้เพื่อนผมบอกว่า อยากเปลี่ยนการดำเนินชีวิตจริงๆ
.
ผมเลยบอกว่า ความสามารถและความพยายามนั้นสำคัญทั้งคู่ แต่ผมเชื่อว่าความพยายามจะทำให้เราชนะในระยะยาว
.
คนที่ฉลาดมาตลอดชีวิต ไม่ใช่แค่สิ่งที่ทำ แต่คือตัวตนของคนคนนั้นไปแล้ว ความฉลาดไม่ใช่แค่คุณลักษณะ มันเป็น identity ดังนั้นพอจะทำอะไรแล้วคิดว่าจะมีโอกาสพลาด เลยกังวลว่าจะมากระทบกับตัวตน คนฉลาดเลยเลือกจะไม่ไปยุ่งกับอะไรที่มีแนวโน้มจะพลาดได้
.
แต่โลกนี้สอนเราว่า การเติบโตต้องการความล้มเหลว ต้องการการดูโง่ การทำผิด การเป็นมือใหม่ การถามคำถามโง่ๆ การทำผิด และนั่นทำให้คนที่ identity สร้างมาจากการเป็นคนฉลาดกลัว
.
เพื่อนผมพยักหน้าตาม แล้วบอกว่าจริงมันเป็นแบบนั้นจริงๆ
.
ผมเลยบอกว่า จำได้ว่าเคยอยากเขียนหนังสือใช่ไหม
.
เพื่อนบอกว่าใช่ มันอยากเขียนมานานแล้ว
.
ผมบอกว่า “ลองออกแบบสภาพแวดล้อมทำให้การลงมือทำง่ายกว่าการวิเคราะห์ เอาทุกอุปสรรคระหว่างเรากับการทำออกไป เพราะสมองของจะหาข้อแก้ตัวใดๆ ก็ได้เพื่อคิดแทนที่จะทำ
.
ถ้าอยากเขียน อย่าไปวิจัยเรื่องการเขียน อย่าซื้อคอร์สใหม่ อย่าเข้าฟอรัมใหม่ เปิดเอกสาร พิมพ์ประโยคเดียว เซฟไว้ที่หน้าเดสก์ท็อป พรุ่งนี้เพิ่มอีกสองประโยค นี่คือระบบ แล้วบอกตัวเองว่าจะมาเปิดคอมเขียนวันละครึ่งชั่วโมงทุกวัน
.
เพื่อนผมถามว่า “แล้วถ้างานออกมาห่วยหรือไม่มีคนอ่านจะทำยังไงว่ะ”
.
ผมตอบว่า “งานจะออกมาห่วย มันจะไม่มีคนอ่านตอนแรกๆ และนี่แหละคือประเด็น อยู่กับความรู้สึกแบบนั้นให้ได้ อยู่กับความรู้สึกโง่เขลา ความรู้สึกน่าอาย”
.
“สมองอาจจะคิดว่า มันต้องมีอะไรบางอย่างผิดพลาดแน่ๆ เราต้องการ research เราต้องการ framework เราต้องการ matrix สิ นี่มันง่ายเกินไป มันต้องยากกว่านี้ เพราะสมองอาจจะต้องการความซับซ้อนเพราะความซับซ้อนรู้สึกฉลาด แต่ความซับซ้อนทำลายการลงมือทำ”
.
“กูคิดว่าความง่าย (simplicity) ชนะ ความซับซ้อน (complexity) เสมอ ออกแบบชีวิตให้การลงมือทำเป็นเรื่องง่าย ”
.
“ถ้ารู้สึกว่าต้องรอพร้อม จะรอตลอดไป สมองมันจะหาสิ่งที่ต้องวิจัยอีกสักอย่าง ทักษะที่ต้องเรียนอีกสักอย่าง ข้อแก้ตัวที่ต้องผัดวันประกันพรุ่งอีกสักอย่าง
.
เริ่มแบบโง่สุดๆ เลือกมาซัก 1 อย่าง เอาอย่างเดียวพอ ไม่ต้องเยอะ แล้วทำอย่างต่อเนื่อง ทำในวันที่ไม่อยากทำ อนุญาตให้เป็นมือสมัครเล่น อนุญาตให้เป็นมนุษย์ อนุญาตให้ผิดพลาดได้
.
แล้วจะเห็นว่าการลงมือทำชนะการวิเคราะห์ การทำสำเร็จชนะความสมบูรณ์แบบ การเคลื่อนไหวชนะการคิด”
.
.
เราจบบทสนทนากันตรงนี้ เราร่ำลากัน
.
ผมไม่รู้ว่าเพื่อนผมได้อะไรกลับไปมากน้อยแค่ไหน แต่หวังว่าบทสนทนานี้จะช่วยให้เขาเห็นมุมมองใหม่ๆ บ้าง แน่นอนว่าไม่ได้มีอะไรถูกผิดเพราะแต่ละคนก็มีบริบทที่แตกต่างกันออกไป
.
ผมนึกถึงคำพูดของ Arnold Glasow ที่ว่า
.
.
“An idea not coupled with action will never get any bigger than the brain cell it occupied.”
💡บทสรุป คือ ควรมี IQ และ EQ ในการทำงานร่วมกับผู้อื่น มีคอนเนคชั่น …คุณถึงจะไปได้สุดทางในสายอาชีพ หรือ เพื่อนๆ คิดเห็นอย่างไรคะ
Cr : https://www.facebook.com/share/1FLpKraYNf/?mibextid=wwXIfr
#iq #Eq #ความฉลาดทางอารมณ์