จาก
https://www.facebook.com/DramaAdd/posts/10152048746688291 จ่าเขาถามว่า "ถ้าเกิดหลังจากวิกฤติครั้งนี้มีการปฎิรูปการเมืองไทยแบบยกเครื่องทั้งระบบจริงๆ พ่อแม่พี่น้องอยากเห็นอะไรเกิดขึ้นในอนาคตครับ เช่น องค์กรอิสระมีอำนาจในการตรวจสอบคดีคอรัปชั่นมากขึ้น หรือ เอื้อผู้สมัครแบบไม่สังกัดพรรคมากกว่าในปัจจุบัน อะไรทำนองนี้"
ส่วนมากเชียร์ว่า
"อยากเห็นไรก็ได้ที่ไม่ใช่ไอ้สองพรรคนี้"
แต่อันที่ยาวที่สุดคงเป็น
"อยากเห็นหลายอย่าง....
อยากเห็น....รัฐบาลที่ไม่ใส่หมวกหลายใบรวบอำนาจทั้งบริหารและการปกครองทางอ้อมมาไว้ที่คณะบุคคลเพียงกลุ่มเดียว นี่อะไร เป็นทั้งผู้จัดการทีมฟุตบอลแต่สามารถลงสนามไปเป็นกรรมการตัดสินข้างสนามได้ด้วย รัฐบาลมีหน้าที่ในการบริหารประเทศหรือแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะ เป็นแหล่งรวมของนักบริหารมืออาชีพ แต่จะถูกตรวจสอบด้วยองค์อิสระที่จะไม่ถูกครอบงำโดยฝ่ายไหน เวลาบริหารงานไม่ต้องอธิบายให้ใครฟัง ผลลัพท์สำคัญที่สุด
อยากเห็น....ข้าราชการเป็นอิสระจากอำนาจรัฐบาล เป็นกรรมการที่ปกครองสนามให้สงบได้จริงๆ แต่ต้องไม่ออกนอกลู่ทางทุจริต ทว่าถูกควบคุมด้วยคณะเสนาบดีหรืออดีตข้าราชการที่ได้รับการย่อมรับถึงความสุจริต แต่ต้องถูกเรียกไปซักถามในรัฐสภาได้
อยากเห็น....วุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งให้มาเป็นธรรมเนียบผู้ทรงธรรมตลอดชีวิต แต่ผู้สมัครก่อนการได้รับย่อมรับจากเล่าสมาชิกในทำเนียบหากไม่ถือคุณธรรมยิ่งชีวิต เสียชีพไม่เสียสัตย์ ถูกใครฆ่าตายฟ้องร้องไม่ได้ คนฆ่าไม่ผิดอาญา แต่หมดสิทธิทางการเมือง คนในทำเนียบหรือวุฒิสภาต้องเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองได้ เตือนใครทุกคนต้องฟัง แต่ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวมติในรัฐสภาได้ และยังรับฟังเสียงจากฝ่ายบริหารไม่เกินหน้าเกินตา
อยากเห็น....องค์กรอิสระที่เกิดจากการคัดเลือกจากวุฒิสภา ผู้จองพิฆาตนักการเมืองทุจริตทุกตัวคน ใครมานั่งตำแหน่งบริหารไม่ระวังให้ดี พวกนี้เอาลงได้หมดและควบคุมการเลือกตั้งไม่ให้มีการแทรกแซงจากผู้ใด พิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชน แต่ไม่นอกลู่ทางจนฝ่านปกครองเอาผิดได้
อยากเห็น...รัฐสภาที่เกิดจาก ฝ่ายเห็นด้วย(สภาเขต) 200 เสียง ฝ่ายค้าน(สภาอาชีพ) 200 เสียง ฝ่ายบริหาร(สส.บัญชีรายชื่อ ที่เดียวที่พรรคการเมืองจะออกความเห็นได้) 100 เสียง "เห็นด้วย"เป็นพื้นที่ พื้นที่ไหนเขาไม่เอาอย่าบังคับเขา "ค้าน"อย่างมีหลักวิชาชีพ ไม่ใช่ค้านเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเพียงฝ่ายเดียว จะค้านหรือเห็นด้วย ต้องเป็นไปโดยอิสระ แต่ละเขต แต่ละอาชีพ เวลาตัดสินให้กฏหมายใดผ่านขึ้นอยู่กับตัวแทนของคนส่วนมากหรือพรรคที่ได้รับความเห็นชอบให้ทำหน้าที่บริหารส่วนกลางมากที่สุด หรือก็คือฝ่ายรัฐบาลนั่นเอง ใครจะบริหารงานภายใต้รูปแบบที่ตนไม่ถนัดได้
สรุปคือ อธิปไตย 3 เมื่อมันชำรุดไม่สามารถทำให้ประเทศเดินต่อไปได้ ก็เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ เป็นอธิปไตย 5 คือ อำนาจในการบริหาร อำนาจในการปกครอง อำนาจในการตักเตือน อำนาจในการตรวจสอบ อำนาจในการร่างกฏหมาย รูปแบบนี้ไม่ใช่รูปแบบใหม่ แต่มันถูกใช้โดยกลุ่มชนที่บูชาเหตุผลมากที่สุด เมื่อ 2500 ก่อน"
ทุกท่านคิดว่าอย่างไร ขอคำชี้แนะด้วยครับ
การปฎิรูปการเมืองไทยแบบยกเครื่องทั้งระบบ อยากเห็นอะไร
ส่วนมากเชียร์ว่า
"อยากเห็นไรก็ได้ที่ไม่ใช่ไอ้สองพรรคนี้"
แต่อันที่ยาวที่สุดคงเป็น
"อยากเห็นหลายอย่าง....
อยากเห็น....รัฐบาลที่ไม่ใส่หมวกหลายใบรวบอำนาจทั้งบริหารและการปกครองทางอ้อมมาไว้ที่คณะบุคคลเพียงกลุ่มเดียว นี่อะไร เป็นทั้งผู้จัดการทีมฟุตบอลแต่สามารถลงสนามไปเป็นกรรมการตัดสินข้างสนามได้ด้วย รัฐบาลมีหน้าที่ในการบริหารประเทศหรือแก้ไขปัญหาโดยเฉพาะ เป็นแหล่งรวมของนักบริหารมืออาชีพ แต่จะถูกตรวจสอบด้วยองค์อิสระที่จะไม่ถูกครอบงำโดยฝ่ายไหน เวลาบริหารงานไม่ต้องอธิบายให้ใครฟัง ผลลัพท์สำคัญที่สุด
อยากเห็น....ข้าราชการเป็นอิสระจากอำนาจรัฐบาล เป็นกรรมการที่ปกครองสนามให้สงบได้จริงๆ แต่ต้องไม่ออกนอกลู่ทางทุจริต ทว่าถูกควบคุมด้วยคณะเสนาบดีหรืออดีตข้าราชการที่ได้รับการย่อมรับถึงความสุจริต แต่ต้องถูกเรียกไปซักถามในรัฐสภาได้
อยากเห็น....วุฒิสภาที่มาจากการแต่งตั้งให้มาเป็นธรรมเนียบผู้ทรงธรรมตลอดชีวิต แต่ผู้สมัครก่อนการได้รับย่อมรับจากเล่าสมาชิกในทำเนียบหากไม่ถือคุณธรรมยิ่งชีวิต เสียชีพไม่เสียสัตย์ ถูกใครฆ่าตายฟ้องร้องไม่ได้ คนฆ่าไม่ผิดอาญา แต่หมดสิทธิทางการเมือง คนในทำเนียบหรือวุฒิสภาต้องเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองได้ เตือนใครทุกคนต้องฟัง แต่ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวมติในรัฐสภาได้ และยังรับฟังเสียงจากฝ่ายบริหารไม่เกินหน้าเกินตา
อยากเห็น....องค์กรอิสระที่เกิดจากการคัดเลือกจากวุฒิสภา ผู้จองพิฆาตนักการเมืองทุจริตทุกตัวคน ใครมานั่งตำแหน่งบริหารไม่ระวังให้ดี พวกนี้เอาลงได้หมดและควบคุมการเลือกตั้งไม่ให้มีการแทรกแซงจากผู้ใด พิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชน แต่ไม่นอกลู่ทางจนฝ่านปกครองเอาผิดได้
อยากเห็น...รัฐสภาที่เกิดจาก ฝ่ายเห็นด้วย(สภาเขต) 200 เสียง ฝ่ายค้าน(สภาอาชีพ) 200 เสียง ฝ่ายบริหาร(สส.บัญชีรายชื่อ ที่เดียวที่พรรคการเมืองจะออกความเห็นได้) 100 เสียง "เห็นด้วย"เป็นพื้นที่ พื้นที่ไหนเขาไม่เอาอย่าบังคับเขา "ค้าน"อย่างมีหลักวิชาชีพ ไม่ใช่ค้านเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเพียงฝ่ายเดียว จะค้านหรือเห็นด้วย ต้องเป็นไปโดยอิสระ แต่ละเขต แต่ละอาชีพ เวลาตัดสินให้กฏหมายใดผ่านขึ้นอยู่กับตัวแทนของคนส่วนมากหรือพรรคที่ได้รับความเห็นชอบให้ทำหน้าที่บริหารส่วนกลางมากที่สุด หรือก็คือฝ่ายรัฐบาลนั่นเอง ใครจะบริหารงานภายใต้รูปแบบที่ตนไม่ถนัดได้
สรุปคือ อธิปไตย 3 เมื่อมันชำรุดไม่สามารถทำให้ประเทศเดินต่อไปได้ ก็เปลี่ยนเครื่องยนต์ใหม่ เป็นอธิปไตย 5 คือ อำนาจในการบริหาร อำนาจในการปกครอง อำนาจในการตักเตือน อำนาจในการตรวจสอบ อำนาจในการร่างกฏหมาย รูปแบบนี้ไม่ใช่รูปแบบใหม่ แต่มันถูกใช้โดยกลุ่มชนที่บูชาเหตุผลมากที่สุด เมื่อ 2500 ก่อน"
ทุกท่านคิดว่าอย่างไร ขอคำชี้แนะด้วยครับ