นายกรัฐมนตรียืนยันกระต่ายขาเดียวมาโดยตลอด ว่าร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเป็นของ
ส.ส. เป็นเรื่องของรัฐสภา ไม่ใช่ร่างของรัฐบาล อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติกับอำนาจฝ่าย
บริหารทำงานคนละส่วน จนกระทั่งถึงวันสุดท้าย ก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะ พิจารณา
ร่าง พ.ร.บ.ในวาระสุดท้าย ก็ยังยืนกรานเช่นเดิม จนอาจทำให้ประชาชนสับสน
น่าสงสัยว่านายกรัฐมนตรีเข้าใจระบบรัฐสภามากน้อยแค่ไหน? และเข้าใจอย่างไร?
เป็นเพียงพูดเพื่อตีกรรเชียงหนีความรับผิดชอบ หรือเข้าใจจริงๆว่ามีการ แบ่งอำนาจ
กันเด็ดขาด ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร ทั้งๆที่ความเป็นจริงก็คือ อำนาจ
ทั้งสองไม่ได้แบ่งแยกจากกันเด็ดขาด ผู้กุมอำนาจทั้งสองเป็นกลุ่มเดียวกัน คือพรรค
เสียงข้างมากที่แบ่งหน้าที่กันทำ
ในระบบรัฐสภา รัฐบาลมาจากพรรคที่คุมเสียงข้างมากในสภา และแบ่งหน้าที่กันทำ
เป็นฝ่ายบริหารหรือคณะรัฐมนตรี และเป็นฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา รัฐธรรมนูญ
ไทยบังคับให้นายกฯ เป็น ส.ส.ด้วยซ้ำ และรัฐมนตรีส่วนใหญ่ก็เป็น ส.ส.อาวุโสใน
พรรค ทำหน้าที่ประสานกัน ชัดเจนที่สุดคือการที่ประธานสภาเร่งรีบนำร่าง พ.ร.บ.
นิรโทษฯ เข้าสภา
มติพรรคเพื่อไทยเมื่อวันอังคารบังคับให้ ส.ส.เข้าประชุมทุกคน ห้ามขาดประชุมและ
ต้องลงมติแบบเดียวกัน คือสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.ฉบับสุดซอย ผู้ใดขัดขืนจะไม่ส่งสมัคร
ส.ส.ในคราวหน้า คือตัวอย่างของการปฏิบัติหน้าที่ของนักการเมืองในระบบรัฐสภา
เพราะร่างกฎหมายนี้ถึงจะเป็นร่างของ ส.ส. แต่เป็นนโยบายรัฐบาลคือ “นำทักษิณกลับบ้าน”
ในทางทฤษฎีถือว่ามีการถ่วงดุล และตรวจสอบซึ่งกันและกันระหว่างสามอำนาจ คือ
นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ แต่ในโลกความเป็นจริงของการเมืองไทย อำนาจ
นิติบัญญัติไม่สามารถตรวจสอบอำนาจบริหารอย่างจริงจัง เพราะเป็นพวกเดียวกัน
ตรงกันข้าม ฝ่ายบริหารกลับมีอำนาจเหนือฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะเป็นเจ้าของพรรค
หรือคณะผู้บริหารพรรค
ด้วยเหตุนี้ คณะปฏิรูปการเมืองชุดแรก จึงให้กำเนิดองค์กรอิสระและศาลต่างๆขึ้นมา
มากมาย เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจ ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นในรัฐธรรมนูญ 2540
ไม่ว่าจะเป็น กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. ถ้าไม่มีองค์กรดังกล่าว ผู้มีอำนาจมัก
จะลุแก่อำนาจ และใช้อำนาจ บาตรใหญ่โดยอิสรเสรี เพราะไม่มีระบบตรวจสอบที่
เข้มแข็งและเอาจริง
ถึงแม้จะมีระบบการตรวจสอบมากมายและเข้มแข็ง รัฐบาลเสียงข้างมากก็ยังใช้อำนาจ
ออกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อลบล้างความผิดทุจริตโกงกินเป็นประเทศแรกและประเทศ
เดียวในโลก ไม่ต้องไปหวังว่าอำนาจนิติบัญญัติจะตรวจสอบ เพราะเป็นพวกเดียวกับรัฐบาล
ความหวังจึงอยู่ที่การคัดค้านของประชาชน และให้ศาลรัฐ-ธรรมนูญชี้ขาดว่าขัด
รัฐธรรมนูญหรือไม่?
http://www.thairath.co.th/column/pol/editor/379715
ปี 49 พธม.ก็เรียกหาทหาร ปีนี้ พธม. เงียบไป
ปีนี้ ทหารจำกัดบทบาทตัวเอง ทำอะไรรัฐบาลไม่ได้ ก็เลยเรียกหา ศาลรธน.
5555.... องค์กรอิสระ ที่พึ่งตลอดการ ของนักการเมือง เหมือนยาแก้สาระพัดโลก
จะมีสักเรื่องไหม ที่เขาไม่ร้ององค์กรอิสระ เวลาเป็นฝ่ายค้าน .....
ตอนร่างรธน. เขียนมาตรา 309 เอาไว้ด้วย เนี่ยะ เหมือนพรบ.นิรโทษกรรมไหม
แล้ว ไทยรัฐกล้าวิจารณ์อะไรบ้าง
ใช้อำนาจเผด็จการจัดการกับคุณทักษิณ เขาร้องเรียนอะไรได้บ้าง
หากวันนี้ ใช้เสียงข้างมาก ตามระบบประชาธิปไตย พาคุณทักษิณกลับบ้าน
กลายเป็นการลุแก่อำนาจ ..... ตอนเอาทหารมายึดอำนาจรัฐบาล จะเรียก
ลุแก่อำนาจได้ป่าว ........ มาช่วยกันตอบหน่อย
อ้อ กระทู้สุดท้ายแล้ว ราตรีสวัสดิ์นะคะ


HELP ME รัฐบาลลุแก่อำนาจ
ศาล รธน.คือที่พึ่งสุดท้าย ..... บทบรรณาธิการ ไทยรัฐออนไลน์
ส.ส. เป็นเรื่องของรัฐสภา ไม่ใช่ร่างของรัฐบาล อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติกับอำนาจฝ่าย
บริหารทำงานคนละส่วน จนกระทั่งถึงวันสุดท้าย ก่อนที่สภาผู้แทนราษฎรจะ พิจารณา
ร่าง พ.ร.บ.ในวาระสุดท้าย ก็ยังยืนกรานเช่นเดิม จนอาจทำให้ประชาชนสับสน
น่าสงสัยว่านายกรัฐมนตรีเข้าใจระบบรัฐสภามากน้อยแค่ไหน? และเข้าใจอย่างไร?
เป็นเพียงพูดเพื่อตีกรรเชียงหนีความรับผิดชอบ หรือเข้าใจจริงๆว่ามีการ แบ่งอำนาจ
กันเด็ดขาด ระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหาร ทั้งๆที่ความเป็นจริงก็คือ อำนาจ
ทั้งสองไม่ได้แบ่งแยกจากกันเด็ดขาด ผู้กุมอำนาจทั้งสองเป็นกลุ่มเดียวกัน คือพรรค
เสียงข้างมากที่แบ่งหน้าที่กันทำ
ในระบบรัฐสภา รัฐบาลมาจากพรรคที่คุมเสียงข้างมากในสภา และแบ่งหน้าที่กันทำ
เป็นฝ่ายบริหารหรือคณะรัฐมนตรี และเป็นฝ่ายนิติบัญญัติหรือรัฐสภา รัฐธรรมนูญ
ไทยบังคับให้นายกฯ เป็น ส.ส.ด้วยซ้ำ และรัฐมนตรีส่วนใหญ่ก็เป็น ส.ส.อาวุโสใน
พรรค ทำหน้าที่ประสานกัน ชัดเจนที่สุดคือการที่ประธานสภาเร่งรีบนำร่าง พ.ร.บ.
นิรโทษฯ เข้าสภา
มติพรรคเพื่อไทยเมื่อวันอังคารบังคับให้ ส.ส.เข้าประชุมทุกคน ห้ามขาดประชุมและ
ต้องลงมติแบบเดียวกัน คือสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.ฉบับสุดซอย ผู้ใดขัดขืนจะไม่ส่งสมัคร
ส.ส.ในคราวหน้า คือตัวอย่างของการปฏิบัติหน้าที่ของนักการเมืองในระบบรัฐสภา
เพราะร่างกฎหมายนี้ถึงจะเป็นร่างของ ส.ส. แต่เป็นนโยบายรัฐบาลคือ “นำทักษิณกลับบ้าน”
ในทางทฤษฎีถือว่ามีการถ่วงดุล และตรวจสอบซึ่งกันและกันระหว่างสามอำนาจ คือ
นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ แต่ในโลกความเป็นจริงของการเมืองไทย อำนาจ
นิติบัญญัติไม่สามารถตรวจสอบอำนาจบริหารอย่างจริงจัง เพราะเป็นพวกเดียวกัน
ตรงกันข้าม ฝ่ายบริหารกลับมีอำนาจเหนือฝ่ายนิติบัญญัติ เพราะเป็นเจ้าของพรรค
หรือคณะผู้บริหารพรรค
ด้วยเหตุนี้ คณะปฏิรูปการเมืองชุดแรก จึงให้กำเนิดองค์กรอิสระและศาลต่างๆขึ้นมา
มากมาย เพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบการใช้อำนาจ ให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นในรัฐธรรมนูญ 2540
ไม่ว่าจะเป็น กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. ถ้าไม่มีองค์กรดังกล่าว ผู้มีอำนาจมัก
จะลุแก่อำนาจ และใช้อำนาจ บาตรใหญ่โดยอิสรเสรี เพราะไม่มีระบบตรวจสอบที่
เข้มแข็งและเอาจริง
ถึงแม้จะมีระบบการตรวจสอบมากมายและเข้มแข็ง รัฐบาลเสียงข้างมากก็ยังใช้อำนาจ
ออกฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อลบล้างความผิดทุจริตโกงกินเป็นประเทศแรกและประเทศ
เดียวในโลก ไม่ต้องไปหวังว่าอำนาจนิติบัญญัติจะตรวจสอบ เพราะเป็นพวกเดียวกับรัฐบาล
ความหวังจึงอยู่ที่การคัดค้านของประชาชน และให้ศาลรัฐ-ธรรมนูญชี้ขาดว่าขัด
รัฐธรรมนูญหรือไม่?
http://www.thairath.co.th/column/pol/editor/379715
ปี 49 พธม.ก็เรียกหาทหาร ปีนี้ พธม. เงียบไป
ปีนี้ ทหารจำกัดบทบาทตัวเอง ทำอะไรรัฐบาลไม่ได้ ก็เลยเรียกหา ศาลรธน.
5555.... องค์กรอิสระ ที่พึ่งตลอดการ ของนักการเมือง เหมือนยาแก้สาระพัดโลก
จะมีสักเรื่องไหม ที่เขาไม่ร้ององค์กรอิสระ เวลาเป็นฝ่ายค้าน .....
ตอนร่างรธน. เขียนมาตรา 309 เอาไว้ด้วย เนี่ยะ เหมือนพรบ.นิรโทษกรรมไหม
แล้ว ไทยรัฐกล้าวิจารณ์อะไรบ้าง
ใช้อำนาจเผด็จการจัดการกับคุณทักษิณ เขาร้องเรียนอะไรได้บ้าง
หากวันนี้ ใช้เสียงข้างมาก ตามระบบประชาธิปไตย พาคุณทักษิณกลับบ้าน
กลายเป็นการลุแก่อำนาจ ..... ตอนเอาทหารมายึดอำนาจรัฐบาล จะเรียก
ลุแก่อำนาจได้ป่าว ........ มาช่วยกันตอบหน่อย
อ้อ กระทู้สุดท้ายแล้ว ราตรีสวัสดิ์นะคะ
HELP ME รัฐบาลลุแก่อำนาจ