29 ต.ค.56 คำต่อคำการแถลงข่าวของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร
และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กรณีที่อัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้อง
สืบเนื่องจากที่ทางสำนักงานอัยการสูงสุดได้มีการแถลงข่าวเมื่อวานนี้ว่าจะสั่งฟ้องผม กับคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ
ในข้อหาร่วมกันก่อให้มีการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ย่อมเล็งเห็นผล ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ส่งสำนวนไปให้ก่อน
หน้านี้ วันนี้ผมกับคุณสุเทพก็อยากจะมาเรียนยืนยันถึงข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แล้วก็จุดยืนของเราทั้ง
2 คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แล้วก็เรื่องของกฎหมายนิรโทษกรรมให้เกิดความชัดเจน
ผมเรียนให้ทราบเป็นเบื้องต้นก่อนว่า เดิมทีนั้นทางสำนักงานอัยการสูงสุดได้มีหนังสือให้ผมกับคุณสุเทพนั้นไปรับทราบ
คำสั่งคดีนี้ว่า อัยการสูงสุดจะสั่งฟ้องหรือไม่ในวันที่ 31 ตุลาคม คือวันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้เพียงแต่ว่าเมื่อวานนี้ทาง
สำนักงานอัยการสูงสุดได้ตัดสินใจที่จะแถลงข่าวก่อนที่จะถึงวันนัด
อย่างไรก็ตามวันนัดหมายนี้ก็ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้นในวันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้ผม กับคุณสุเทพ ก็จะเดินทางไปที่สำนัก
งานอัยการสูงสุดเพื่อรับทราบว่าคำสั่งของอัยการสูงสุดเป็นเช่นไร แล้วก็จะต้องปฏิบัติกับผมกับคุณสุเทพต่อไปอย่างไร
คือสรุปง่ายๆ ก็คือว่า ยืนยันว่าพวกผมทั้ง 2 คนไม่หนีไปไหน จะเผชิญแล้วก็ต่อสู้คดีนี้ตามกระบวนการยุติธรรมทุก
ประการ ด้วยเหตุผลซึ่งผมเคยได้ย้ำไปหลายครั้งแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของข้อเท็จจริง หรือข้อกฎหมาย เรามี
ประเด็นที่โต้แย้ง หักล้าง สิ่งที่ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ แล้วก็อัยการสูงสุดได้มีความเห็นไป
ผมไม่ลงรายละเอียดมากครับ แต่ยืนยันว่า ในส่วนของข้อเท็จจริง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2553 ผมและคุณสุเทพ
ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง เกิดการ
ชุมนุมทางการเมืองที่เป็นการชุมนุมที่ศาลวินิจฉัยว่าผิดกฎหมาย เลยขอบเขตของการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ มีการดำเนิน
การประกาศใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองตามกฎหมายและตามขั้นตอนต่างๆ
ซึ่งแม้มีผู้โต้แย้ง ศาลก็ได้วินิจฉัยว่าเป็นคำสั่งที่ออกมาโดยชอบ
จากนั้นก็เป็นเรื่องของการปฏิบัติ ซึ่งในเหตุการณ์ดังกล่าว พี่น้องประชาชนทราบดีว่าการชุมนุมนั้นได้ลุกลามไปเป็น
ลักษณะของการมีผู้มีอาวุธ จะแฝงตัว หรือจะเคลื่อนไหวคู่ขนานไปกับผู้ชุมนุมก็แล้วแต่ แต่ได้ใช้อาวุธสงครามใน
การทำร้ายประชาชนในการก่อความไม่สงบ ไม่ว่าจะเป็นการยิงระเบิด หรือทำให้ผู้คน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร หรือ
ประชาชนเสียชีวิต ซึ่งตลอดระยะเวลาดังกล่าว ทั้งผม แล้วก็คุณสุเทพ ก็มีจุดยืนที่ชัดเจนว่าจะต้องนำบ้านเมืองกลับ
สู่ภาวะปกติ ความสงบสุข โดยหลีกเลี่ยงความสูญเสีย และมีนโยบายที่ไม่เข้าไปสลายการชุมนุมอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามครับ ทางสำนักงานอัยการสูงสุดนั้นได้แถลงออกไป ตรงกันข้ามกับข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยอ้างว่า
สำนวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้นไม่ได้ระบุถึงเรื่องชายชุดดำ ก็ขอเรียนย้ำครับว่า ผมและคุณสุเทพได้ทำหนังสือ
ขอความเป็นธรรมไปยังอัยการสูงสุด และผู้ที่รับผิดชอบในคดี แสดงให้เห็นว่า การละเลยข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่งมี
นัยยะสำคัญมากต่อการวินิจฉัยว่ามีการกระทำผิดหรือไม่นี้ เป็นสิ่งที่ทางอัยการสูงสุดย่อมทราบดีอยู่ เหตุผลที่
อัยการสูงสุดย่อมทราบดีว่ามีชายชุดดำนั้นไม่ใช่เพราะว่าหน่วยงานต่างๆ อย่างเช่น คอป. หรือกรรมการสิทธิมนุษยชน
ล้วนแล้วแต่มีรายงานยืนยันการมีผู้มีอาวุธอยู่ในการชุมนุม แต่เป็นเพราะสำนักงานอัยการสูงสุด และอัยการสูงสุด คือ
ผู้ที่ส่งฟ้องคดีก่อการร้าย คดีหมายเลข 2542/2553 ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดย่อมทราบดีว่า ในสำนวนคดีดังกล่าว
มีการระบุถึงการปฏิบัติการณ์ของชายชุดดำ หรือผู้ติดอาวุธอยู่ ผมว่าไม่น้อยกว่า 20 หน้า
ดังนั้นการที่ทางอัยการสูงสุดจะอ้างเพียงแค่ว่า สำนวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษในคดีนี้ไม่ระบุถึงการต่อสู้ หรือการมี
อาวุธที่ใช้ในการชุมนุมนี้จึงฟังไม่ได้ เพราะอยู่ในหนังสือร้องขอความเป็นธรรม และอยู่ในสำนวนคดีที่อัยการสูงสุดได้ส่ง
ฟ้องคดีก่อการร้ายไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553
ประเด็นถัดมาก็คือในเรื่องของข้อกฎหมาย ผม และคุณสุเทพ ก็ได้ทำเรื่องร้องขอความเป็นธรรม ในประเด็นที่ว่า
กรมสอบสวนคดีพิเศษนี้ไม่มีอำนาจในการสอบสวนคดีนี้ เนื่องจากว่าในการบรรยายพฤติกรรมของผม และคุณสุเทพ
ความผิดที่อ้างว่าผม และคุณสุเทพได้ทำนั้นคือการออกคำสั่ง ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี คุณสุเทพในฐานะที่เป็น
ประธาน หรือผู้อำนวยการใน ศอฉ. ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นการออกคำสั่งในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ
การบรรยายในสำนวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษในหน้า 9 ยังได้ระบุด้วยซ้ำว่า พฤติกรรมที่กระทำผิดนี้เป็นเรื่องของการ
ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดว่า มูลเหตุที่จะมีการพิจารณาคดีนี้เป็นเรื่องของการกระทำความ
ผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ และตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องจึง
เป็นอำนาจของ ปปช. ที่จะดำเนินการในการสอบสวนคดีนี้ มิใช่อำนาจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ
การจะมากล่าวอ้างว่า คดีนี้เป็นคดีฆาตกรรม จึงมีความขัดแย้งในตัว เพราะถ้าผม หรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กระทำการ
นี้ ย่อมไม่มีอำนาจไปออกคำสั่งใดๆ ทั้งสิ้น ที่เป็นที่มาของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ดังนั้นเราจึงเห็นว่า ทางอัยการสูงสุดนั้น
ตระหนักดีทั้งถึงข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ แต่กลับมีความเห็นสั่งฟ้องผม และคุณสุเทพ จึงเป็นการ
กระทำที่ไม่ชอบ
ผมและคุณสุเทพนั้น ได้ฟ้องอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษว่าได้กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ และใช้ตำแหน่งหน้าที่ใน
การยุติธรรมกลั่นแกล้ง เราเห็นว่าพฤติกรรมของอัยการสูงสุดไม่ต่างจากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพราะฉะนั้นผม
และคุณสุเทพก็จะฟ้องร้องดำเนินคดีกับอัยการสูงสุดในกรณีนี้เช่นเดียวกันต่อไป ด้วยเหตุผลข้อเท็จจริง และข้อ
กฎหมายที่ได้สรุปให้ท่านทั้งหลายได้ทราบคร่าวๆ นี่คือจุดยืน แล้วก็ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับตัวคดีที่มีการส่งผม
และคุณสุเทพ ไปฟ้อง
ถัดมาเมื่อเกิดเหตุนี้ขึ้น มีการวิพากษ์วิจารณ์หรือมีการวิเคราะห์ไปต่างๆ นานาว่า จะส่งผลอย่างไรต่อท่าทีที่ผม
และคุณสุเทพมีต่อกฎหมายนิรโทษกรรม เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าคณะกรรมาธิการเสียงข้างมากได้มีการแก้ร่าง
พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ให้มาครอบคลุมถึงคดีที่เกิดขึ้นในปี 2553 ทั้งหมด ซึ่งหมายรวมถึงคดีนี้ด้วย โดยที่
ผมต้องขอยืนยันว่า การอภิปราย และการลงมติของผมทุกครั้ง ในการประชุมกรรมาธิการฯ นั้น ผมได้แสดงจุดยืน
คัดค้านการนิรโทษกรรมดังกล่าว ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า ผมยืนยันว่าความผิดต่อชีวิต ไม่ใช่ความผิดที่พึงจะนิรโทษกรรม
ไม่ว่าการกระทำผิดต่อชีวิตจะเกิดขึ้นจากฝ่ายเจ้าหน้าที่หรือจากฝ่ายผู้ชุมนุม หรือชายชุดดำ หรือใครก็ตาม เพราะการ
นิรโทษกรรมนี้เป็นเรื่องของการละเว้นการใช้อำนาจรัฐในกรณีที่มีประชาชนนั้นแข็งขืนต่อรัฐ แต่ชีวิตของผู้สูญเสีย
ทั้งหลายนี้ไม่ใช่ชีวิตของรัฐ รัฐเอาสิทธิ์อะไรที่จะไปบอกว่า ละเว้นการใช้อำนาจรัฐดำเนินคดีกับการที่ใครก็ตามไป
เอาชีวิตของบุคคลอื่น
ผมจึงยืนยันคัดค้านตรงนี้ แล้วก็เป็นจุดยืนที่สอดคล้องกับคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ และองค์กรทาง
ด้านสิทธิมนุษยชนทั้งหลายที่บอกว่า การนิรโทษกรรมการกระทำความผิดที่เป็นการจงใจ ละเมิดสิทธิมนุษยชนของ
ผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ ไม่นับรวมว่าความพยายามที่จะทำเรื่องนี้ก็คือ เพื่อที่จะไปเหมารวมกับคดีทุจริต คอร์รัปชั่น
ซึ่งไม่มีที่ไหนในโลกที่เขาจะให้การนิรโทษกรรมแก่คนที่โกงกินทำความเสียหายให้แก่ชาติบ้านเมือง
ผมย้ำเพื่อความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนทุกคนครับ กับผู้สนับสนุนผม สนับสนุนพรรคฯ หรือคุณสุเทพว่า การเดินหน้า
คัดค้านเรื่องนี้จะเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม ไม่เอาเรื่องคดีที่ผม แล้วก็คุณสุเทพ ตกเป็นจำเลยนี้มาเกี่ยวข้องในการดำเนินงาน
ทางการเมือง และการแสดงจุดยืนของพวกเรา การคัดค้านที่ผมประกาศไปแล้วในขั้นตอนต่อไปก็คือการดำเนินการ
คัดค้านในสภา ทั้งในวาระที่ 2 ทั้งในวาระที่ 3 และจะ
ใช้สิทธิ์ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการยื่นเรื่องนี้ให้
ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหลายมาตรา
การเคลื่อนไหวนอกสภา ผมก็ได้บอกแล้วว่า พร้อมที่จะทำครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ขอบเขตที่เป็นสิทธิของประชาชน
ที่จะเคลื่อนไหวตามรัฐธรรมนูญ เพราะแม้ผมจะเป็น สส. หรือเป็นนักการเมืองนั้น ผมก็เป็นประชาชนคนหนึ่งที่มีสิทธิ
เสรีภาพ ในการเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน ก็จะดำเนินการ
ผมทราบครับ มีฝ่ายที่ต่อต้านผมพยายามตั้งข้อสังเกตหลายอย่างว่า การคัดค้านจริงจังหรือไม่แค่ไหนอย่างไร ก็ขอเรียน
อย่างนี้ว่า ประการแรกที่พยายามจะพูดว่า ก็คัดค้านไปอย่างนั้น เพราะรู้ว่าเสียงก็สู้ไม่ได้ ไม่ใช่ครับ เพราะผมไม่ได้คัดค้าน
เฉพาะการลงมติในสภา ผมจะใช้สิทธิ์ในการให้ศาลชี้ขาด และผมมั่นใจครับว่า ศาลจะต้องพิจารณาว่าความชอบด้วย
รัฐธรรมนูญของกฎหมายนี้เป็นอย่างไร และผมได้ให้ความเห็นชัดเจนแล้วว่า มีคนจำนวนมากที่เห็นตรงกับผมด้วยว่า
กฎหมายนี้ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นถ้าผมเล่นละครคัดค้าน ผมก็จะต้องไม่ส่งศาลสิครับ เพราะว่าผมมั่นใจว่าศาลนั้น
จะชี้ว่ากฎหมายนี้มีปัญหา นี่คือสิ่งที่เป็นประการที่อยากจะเรียนว่า เราไม่ได้ค้านเล่นๆ หรอกครับ ค้านจริงๆ แล้วก็ขอให้
ติดตามบทบาทของเราทั้งในและนอกสภาต่อไป
ประการที่ 2 มีการแสดงความคิดเห็นทำนองว่า ผม หรือคุณสุเทพนั้นถือดี ที่ไม่เกรงกลัวในเรื่องของการขึ้นศาลนี้ ไปอ้าง
ว่ามีแบคดี ผมย้ำอย่างนี้ครับ ข้อแรก ผมกับคุณสุเทพก็ปุถุชนละครับ ไม่มีใครต้องตก อยากจะตกอยู่ในสภาพที่ต้องเป็น
จำเลยในคดีที่มีข้อกล่าวหาร้ายแรงอย่างนี้ครับ แต่ประเด็นก็คือว่า เรามั่นใจในความบริสุทธิ์ของเรา ไม่ควรที่จะไปเอา
ความชอบ ไม่ชอบทางการเมืองนั้น ทำลายความน่าเชื่อถือของศาล ศาลเป็นอิสระในการที่จะพิพากษาคดี ผมกับคุณ
สุเทพไม่มีแบคหรอกครับ ถ้ามี ทำไมศาลมีคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ที่นำมาสู่ที่มาของคดีนี้ล่ะครับ ถ้า
แบคดีจริง อ้างว่าแทรกแซงอะไรอะไรต่างๆ ได้ ก็คงไม่ต้องมาถึงตรงนี้ แบคเดียวที่เรามีครับ คือความเชื่อมั่นในความ
บริสุทธิ์ของเรา และเราจะเดินหน้าในการต่อสู้ เพราะเราเชื่อว่าสังคมนี้จะต้องมีความเป็นธรรม
ผมพูดว่า เราต่อสู้คดี ไม่หนีไปไหน เรามั่นใจในความบริสุทธิ์ เรามั่นใจว่าจะได้รับความเป็นธรรม แต่หากแม้นว่าศาล
จะตัดสินว่าเราผิด ผมก็ยืนยันว่าผมรับผิด ก็ต้องรับผิด แล้วต้องเคารพต่อการวินิจฉัยของศาล และผมก็บอกว่า คดีของผม
หรือคุณสุเทพ รวมทั้งคดีอื่นๆ ที่พยายามจะนิรโทษกรรมตัดตอนกันอยู่นี้ ถึงเวลาแล้วที่จะเป็นนักการเมือง หรือใครก็ตาม
ต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตนเอง บ้านเมืองถึงจะเดินได้
ผมทราบครับบางคน บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า มันจะเป็นไปได้เหรอ ที่คนจะคิดอย่างนี้ ไม่กลัวถูกประหารชีวิต ไม่กลัวติดคุก
ผมบอกว่า วันนี้ต้องพิสูจน์ครับว่า มันมีคนที่พร้อมจะเอาประเทศชาติ อยู่เหนือผลประโยชน์ของตัวเองจริงๆ
คนที่มาจากตระกูลที่มีสันดานจากการโกงกิน แล้วเอาผลประโยชน์ตัวเองเป็นหลัก ไม่มีทางเข้าใจหรอกครับ อันนี้ผมก็เห็นใจ
แต่ขอให้เชื่อเถอะครับว่า บ้านเมืองนี้ยังมีคนที่พร้อมจะเอาประเทศอยู่เหนือผลประโยชน์ของตัวเอง และผมกับคุณสุเทพจะ
พิสูจน์สิ่งเหล่านี้ต่อไป ขอบคุณครับ
http://www.naewna.com/politic/74781
จาก Eโง่ ต่อไปที่ สัตว์ แล้วอีกสาระพัดฉายา วันนี้ ว่ากันทั้งตระกูล ไปถึง "โคตร"
ก็ไม่นึกไม่ฝันอีกนั่นแหละ ค่ะ ว่า การต่อสู้ ทางการเมือง มันต้องลำเลิก กันขนาดนี้หรือ
ข่าว ก็คือข่าว แต่ก็ขอแสดงคคห.หน่อย เพราะมาร์ค คือหัวหน้าพรรค การเมือง
เป็นอดีตนายกฯ ก็ยังมีหมวก สวมอยู่
คุณข้างบูรพา จะมาบอกว่าพี่สาว ชงมาให้ เพื่อนๆ ตบ ก็แล้วข่าวมันบอกอะไร ...
พอใจนายกฯ แบบคุณยิ่งลักษณ์ นะคะ พูดผิด..ผิด..ถูก...ถูก แต่ก็ไม่ไปลำเลิก
ถึงโคตรเง่า ของคู่แข่งทางการเมืองค่ะ
"คนที่มาจากตระกูลสันดานโกง จะไม่รู้ว่าประโยชน์ชาติมาก่อน" ข่าวแนวหน้าออนไลน์ .....ไม่วิจารณ์เสื้อผ้า หน้า ผม
และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กรณีที่อัยการสูงสุดมีความเห็นสั่งฟ้อง
สืบเนื่องจากที่ทางสำนักงานอัยการสูงสุดได้มีการแถลงข่าวเมื่อวานนี้ว่าจะสั่งฟ้องผม กับคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ
ในข้อหาร่วมกันก่อให้มีการฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ย่อมเล็งเห็นผล ตามที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ส่งสำนวนไปให้ก่อน
หน้านี้ วันนี้ผมกับคุณสุเทพก็อยากจะมาเรียนยืนยันถึงข้อเท็จจริง ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง แล้วก็จุดยืนของเราทั้ง
2 คนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ แล้วก็เรื่องของกฎหมายนิรโทษกรรมให้เกิดความชัดเจน
ผมเรียนให้ทราบเป็นเบื้องต้นก่อนว่า เดิมทีนั้นทางสำนักงานอัยการสูงสุดได้มีหนังสือให้ผมกับคุณสุเทพนั้นไปรับทราบ
คำสั่งคดีนี้ว่า อัยการสูงสุดจะสั่งฟ้องหรือไม่ในวันที่ 31 ตุลาคม คือวันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้เพียงแต่ว่าเมื่อวานนี้ทาง
สำนักงานอัยการสูงสุดได้ตัดสินใจที่จะแถลงข่าวก่อนที่จะถึงวันนัด
อย่างไรก็ตามวันนัดหมายนี้ก็ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้นในวันพฤหัสบดีที่จะถึงนี้ผม กับคุณสุเทพ ก็จะเดินทางไปที่สำนัก
งานอัยการสูงสุดเพื่อรับทราบว่าคำสั่งของอัยการสูงสุดเป็นเช่นไร แล้วก็จะต้องปฏิบัติกับผมกับคุณสุเทพต่อไปอย่างไร
คือสรุปง่ายๆ ก็คือว่า ยืนยันว่าพวกผมทั้ง 2 คนไม่หนีไปไหน จะเผชิญแล้วก็ต่อสู้คดีนี้ตามกระบวนการยุติธรรมทุก
ประการ ด้วยเหตุผลซึ่งผมเคยได้ย้ำไปหลายครั้งแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของข้อเท็จจริง หรือข้อกฎหมาย เรามี
ประเด็นที่โต้แย้ง หักล้าง สิ่งที่ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ แล้วก็อัยการสูงสุดได้มีความเห็นไป
ผมไม่ลงรายละเอียดมากครับ แต่ยืนยันว่า ในส่วนของข้อเท็จจริง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2553 ผมและคุณสุเทพ
ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรี และรองนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง เกิดการ
ชุมนุมทางการเมืองที่เป็นการชุมนุมที่ศาลวินิจฉัยว่าผิดกฎหมาย เลยขอบเขตของการชุมนุมตามรัฐธรรมนูญ มีการดำเนิน
การประกาศใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องในการดูแลรักษาความสงบเรียบร้อยของบ้านเมืองตามกฎหมายและตามขั้นตอนต่างๆ
ซึ่งแม้มีผู้โต้แย้ง ศาลก็ได้วินิจฉัยว่าเป็นคำสั่งที่ออกมาโดยชอบ
จากนั้นก็เป็นเรื่องของการปฏิบัติ ซึ่งในเหตุการณ์ดังกล่าว พี่น้องประชาชนทราบดีว่าการชุมนุมนั้นได้ลุกลามไปเป็น
ลักษณะของการมีผู้มีอาวุธ จะแฝงตัว หรือจะเคลื่อนไหวคู่ขนานไปกับผู้ชุมนุมก็แล้วแต่ แต่ได้ใช้อาวุธสงครามใน
การทำร้ายประชาชนในการก่อความไม่สงบ ไม่ว่าจะเป็นการยิงระเบิด หรือทำให้ผู้คน เจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร หรือ
ประชาชนเสียชีวิต ซึ่งตลอดระยะเวลาดังกล่าว ทั้งผม แล้วก็คุณสุเทพ ก็มีจุดยืนที่ชัดเจนว่าจะต้องนำบ้านเมืองกลับ
สู่ภาวะปกติ ความสงบสุข โดยหลีกเลี่ยงความสูญเสีย และมีนโยบายที่ไม่เข้าไปสลายการชุมนุมอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตามครับ ทางสำนักงานอัยการสูงสุดนั้นได้แถลงออกไป ตรงกันข้ามกับข้อเท็จจริงดังกล่าว โดยอ้างว่า
สำนวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้นไม่ได้ระบุถึงเรื่องชายชุดดำ ก็ขอเรียนย้ำครับว่า ผมและคุณสุเทพได้ทำหนังสือ
ขอความเป็นธรรมไปยังอัยการสูงสุด และผู้ที่รับผิดชอบในคดี แสดงให้เห็นว่า การละเลยข้อเท็จจริงดังกล่าว ซึ่งมี
นัยยะสำคัญมากต่อการวินิจฉัยว่ามีการกระทำผิดหรือไม่นี้ เป็นสิ่งที่ทางอัยการสูงสุดย่อมทราบดีอยู่ เหตุผลที่
อัยการสูงสุดย่อมทราบดีว่ามีชายชุดดำนั้นไม่ใช่เพราะว่าหน่วยงานต่างๆ อย่างเช่น คอป. หรือกรรมการสิทธิมนุษยชน
ล้วนแล้วแต่มีรายงานยืนยันการมีผู้มีอาวุธอยู่ในการชุมนุม แต่เป็นเพราะสำนักงานอัยการสูงสุด และอัยการสูงสุด คือ
ผู้ที่ส่งฟ้องคดีก่อการร้าย คดีหมายเลข 2542/2553 ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดย่อมทราบดีว่า ในสำนวนคดีดังกล่าว
มีการระบุถึงการปฏิบัติการณ์ของชายชุดดำ หรือผู้ติดอาวุธอยู่ ผมว่าไม่น้อยกว่า 20 หน้า
ดังนั้นการที่ทางอัยการสูงสุดจะอ้างเพียงแค่ว่า สำนวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษในคดีนี้ไม่ระบุถึงการต่อสู้ หรือการมี
อาวุธที่ใช้ในการชุมนุมนี้จึงฟังไม่ได้ เพราะอยู่ในหนังสือร้องขอความเป็นธรรม และอยู่ในสำนวนคดีที่อัยการสูงสุดได้ส่ง
ฟ้องคดีก่อการร้ายไปแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553
ประเด็นถัดมาก็คือในเรื่องของข้อกฎหมาย ผม และคุณสุเทพ ก็ได้ทำเรื่องร้องขอความเป็นธรรม ในประเด็นที่ว่า
กรมสอบสวนคดีพิเศษนี้ไม่มีอำนาจในการสอบสวนคดีนี้ เนื่องจากว่าในการบรรยายพฤติกรรมของผม และคุณสุเทพ
ความผิดที่อ้างว่าผม และคุณสุเทพได้ทำนั้นคือการออกคำสั่ง ผมในฐานะนายกรัฐมนตรี คุณสุเทพในฐานะที่เป็น
ประธาน หรือผู้อำนวยการใน ศอฉ. ซึ่งไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นการออกคำสั่งในฐานะเจ้าหน้าที่ของรัฐ
การบรรยายในสำนวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษในหน้า 9 ยังได้ระบุด้วยซ้ำว่า พฤติกรรมที่กระทำผิดนี้เป็นเรื่องของการ
ปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งแสดงให้เห็นได้ชัดว่า มูลเหตุที่จะมีการพิจารณาคดีนี้เป็นเรื่องของการกระทำความ
ผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ทางราชการ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญ และตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ และกฎหมายที่เกี่ยวข้องจึง
เป็นอำนาจของ ปปช. ที่จะดำเนินการในการสอบสวนคดีนี้ มิใช่อำนาจของกรมสอบสวนคดีพิเศษ
การจะมากล่าวอ้างว่า คดีนี้เป็นคดีฆาตกรรม จึงมีความขัดแย้งในตัว เพราะถ้าผม หรือนายสุเทพ เทือกสุบรรณ กระทำการ
นี้ ย่อมไม่มีอำนาจไปออกคำสั่งใดๆ ทั้งสิ้น ที่เป็นที่มาของเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ดังนั้นเราจึงเห็นว่า ทางอัยการสูงสุดนั้น
ตระหนักดีทั้งถึงข้อเท็จจริง และข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องในคดีนี้ แต่กลับมีความเห็นสั่งฟ้องผม และคุณสุเทพ จึงเป็นการ
กระทำที่ไม่ชอบ
ผมและคุณสุเทพนั้น ได้ฟ้องอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษว่าได้กระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ และใช้ตำแหน่งหน้าที่ใน
การยุติธรรมกลั่นแกล้ง เราเห็นว่าพฤติกรรมของอัยการสูงสุดไม่ต่างจากอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพราะฉะนั้นผม
และคุณสุเทพก็จะฟ้องร้องดำเนินคดีกับอัยการสูงสุดในกรณีนี้เช่นเดียวกันต่อไป ด้วยเหตุผลข้อเท็จจริง และข้อ
กฎหมายที่ได้สรุปให้ท่านทั้งหลายได้ทราบคร่าวๆ นี่คือจุดยืน แล้วก็ข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้องกับตัวคดีที่มีการส่งผม
และคุณสุเทพ ไปฟ้อง
ถัดมาเมื่อเกิดเหตุนี้ขึ้น มีการวิพากษ์วิจารณ์หรือมีการวิเคราะห์ไปต่างๆ นานาว่า จะส่งผลอย่างไรต่อท่าทีที่ผม
และคุณสุเทพมีต่อกฎหมายนิรโทษกรรม เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าคณะกรรมาธิการเสียงข้างมากได้มีการแก้ร่าง
พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ให้มาครอบคลุมถึงคดีที่เกิดขึ้นในปี 2553 ทั้งหมด ซึ่งหมายรวมถึงคดีนี้ด้วย โดยที่
ผมต้องขอยืนยันว่า การอภิปราย และการลงมติของผมทุกครั้ง ในการประชุมกรรมาธิการฯ นั้น ผมได้แสดงจุดยืน
คัดค้านการนิรโทษกรรมดังกล่าว ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า ผมยืนยันว่าความผิดต่อชีวิต ไม่ใช่ความผิดที่พึงจะนิรโทษกรรม
ไม่ว่าการกระทำผิดต่อชีวิตจะเกิดขึ้นจากฝ่ายเจ้าหน้าที่หรือจากฝ่ายผู้ชุมนุม หรือชายชุดดำ หรือใครก็ตาม เพราะการ
นิรโทษกรรมนี้เป็นเรื่องของการละเว้นการใช้อำนาจรัฐในกรณีที่มีประชาชนนั้นแข็งขืนต่อรัฐ แต่ชีวิตของผู้สูญเสีย
ทั้งหลายนี้ไม่ใช่ชีวิตของรัฐ รัฐเอาสิทธิ์อะไรที่จะไปบอกว่า ละเว้นการใช้อำนาจรัฐดำเนินคดีกับการที่ใครก็ตามไป
เอาชีวิตของบุคคลอื่น
ผมจึงยืนยันคัดค้านตรงนี้ แล้วก็เป็นจุดยืนที่สอดคล้องกับคณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนสหประชาชาติ และองค์กรทาง
ด้านสิทธิมนุษยชนทั้งหลายที่บอกว่า การนิรโทษกรรมการกระทำความผิดที่เป็นการจงใจ ละเมิดสิทธิมนุษยชนของ
ผู้อื่นนั้นเป็นสิ่งที่ไม่พึงกระทำ ไม่นับรวมว่าความพยายามที่จะทำเรื่องนี้ก็คือ เพื่อที่จะไปเหมารวมกับคดีทุจริต คอร์รัปชั่น
ซึ่งไม่มีที่ไหนในโลกที่เขาจะให้การนิรโทษกรรมแก่คนที่โกงกินทำความเสียหายให้แก่ชาติบ้านเมือง
ผมย้ำเพื่อความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนทุกคนครับ กับผู้สนับสนุนผม สนับสนุนพรรคฯ หรือคุณสุเทพว่า การเดินหน้า
คัดค้านเรื่องนี้จะเข้มข้นยิ่งกว่าเดิม ไม่เอาเรื่องคดีที่ผม แล้วก็คุณสุเทพ ตกเป็นจำเลยนี้มาเกี่ยวข้องในการดำเนินงาน
ทางการเมือง และการแสดงจุดยืนของพวกเรา การคัดค้านที่ผมประกาศไปแล้วในขั้นตอนต่อไปก็คือการดำเนินการ
คัดค้านในสภา ทั้งในวาระที่ 2 ทั้งในวาระที่ 3 และจะใช้สิทธิ์ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในการยื่นเรื่องนี้ให้
ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะเป็นกฎหมายที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญหลายมาตรา
การเคลื่อนไหวนอกสภา ผมก็ได้บอกแล้วว่า พร้อมที่จะทำครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็คือ ขอบเขตที่เป็นสิทธิของประชาชน
ที่จะเคลื่อนไหวตามรัฐธรรมนูญ เพราะแม้ผมจะเป็น สส. หรือเป็นนักการเมืองนั้น ผมก็เป็นประชาชนคนหนึ่งที่มีสิทธิ
เสรีภาพ ในการเคลื่อนไหวเช่นเดียวกัน ก็จะดำเนินการ
ผมทราบครับ มีฝ่ายที่ต่อต้านผมพยายามตั้งข้อสังเกตหลายอย่างว่า การคัดค้านจริงจังหรือไม่แค่ไหนอย่างไร ก็ขอเรียน
อย่างนี้ว่า ประการแรกที่พยายามจะพูดว่า ก็คัดค้านไปอย่างนั้น เพราะรู้ว่าเสียงก็สู้ไม่ได้ ไม่ใช่ครับ เพราะผมไม่ได้คัดค้าน
เฉพาะการลงมติในสภา ผมจะใช้สิทธิ์ในการให้ศาลชี้ขาด และผมมั่นใจครับว่า ศาลจะต้องพิจารณาว่าความชอบด้วย
รัฐธรรมนูญของกฎหมายนี้เป็นอย่างไร และผมได้ให้ความเห็นชัดเจนแล้วว่า มีคนจำนวนมากที่เห็นตรงกับผมด้วยว่า
กฎหมายนี้ขัดรัฐธรรมนูญ เพราะฉะนั้นถ้าผมเล่นละครคัดค้าน ผมก็จะต้องไม่ส่งศาลสิครับ เพราะว่าผมมั่นใจว่าศาลนั้น
จะชี้ว่ากฎหมายนี้มีปัญหา นี่คือสิ่งที่เป็นประการที่อยากจะเรียนว่า เราไม่ได้ค้านเล่นๆ หรอกครับ ค้านจริงๆ แล้วก็ขอให้
ติดตามบทบาทของเราทั้งในและนอกสภาต่อไป
ประการที่ 2 มีการแสดงความคิดเห็นทำนองว่า ผม หรือคุณสุเทพนั้นถือดี ที่ไม่เกรงกลัวในเรื่องของการขึ้นศาลนี้ ไปอ้าง
ว่ามีแบคดี ผมย้ำอย่างนี้ครับ ข้อแรก ผมกับคุณสุเทพก็ปุถุชนละครับ ไม่มีใครต้องตก อยากจะตกอยู่ในสภาพที่ต้องเป็น
จำเลยในคดีที่มีข้อกล่าวหาร้ายแรงอย่างนี้ครับ แต่ประเด็นก็คือว่า เรามั่นใจในความบริสุทธิ์ของเรา ไม่ควรที่จะไปเอา
ความชอบ ไม่ชอบทางการเมืองนั้น ทำลายความน่าเชื่อถือของศาล ศาลเป็นอิสระในการที่จะพิพากษาคดี ผมกับคุณ
สุเทพไม่มีแบคหรอกครับ ถ้ามี ทำไมศาลมีคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ที่นำมาสู่ที่มาของคดีนี้ล่ะครับ ถ้า
แบคดีจริง อ้างว่าแทรกแซงอะไรอะไรต่างๆ ได้ ก็คงไม่ต้องมาถึงตรงนี้ แบคเดียวที่เรามีครับ คือความเชื่อมั่นในความ
บริสุทธิ์ของเรา และเราจะเดินหน้าในการต่อสู้ เพราะเราเชื่อว่าสังคมนี้จะต้องมีความเป็นธรรม
ผมพูดว่า เราต่อสู้คดี ไม่หนีไปไหน เรามั่นใจในความบริสุทธิ์ เรามั่นใจว่าจะได้รับความเป็นธรรม แต่หากแม้นว่าศาล
จะตัดสินว่าเราผิด ผมก็ยืนยันว่าผมรับผิด ก็ต้องรับผิด แล้วต้องเคารพต่อการวินิจฉัยของศาล และผมก็บอกว่า คดีของผม
หรือคุณสุเทพ รวมทั้งคดีอื่นๆ ที่พยายามจะนิรโทษกรรมตัดตอนกันอยู่นี้ ถึงเวลาแล้วที่จะเป็นนักการเมือง หรือใครก็ตาม
ต้องรับผิดชอบกับการกระทำของตนเอง บ้านเมืองถึงจะเดินได้
ผมทราบครับบางคน บางฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า มันจะเป็นไปได้เหรอ ที่คนจะคิดอย่างนี้ ไม่กลัวถูกประหารชีวิต ไม่กลัวติดคุก
ผมบอกว่า วันนี้ต้องพิสูจน์ครับว่า มันมีคนที่พร้อมจะเอาประเทศชาติ อยู่เหนือผลประโยชน์ของตัวเองจริงๆ
คนที่มาจากตระกูลที่มีสันดานจากการโกงกิน แล้วเอาผลประโยชน์ตัวเองเป็นหลัก ไม่มีทางเข้าใจหรอกครับ อันนี้ผมก็เห็นใจ
แต่ขอให้เชื่อเถอะครับว่า บ้านเมืองนี้ยังมีคนที่พร้อมจะเอาประเทศอยู่เหนือผลประโยชน์ของตัวเอง และผมกับคุณสุเทพจะ
พิสูจน์สิ่งเหล่านี้ต่อไป ขอบคุณครับ
http://www.naewna.com/politic/74781
จาก Eโง่ ต่อไปที่ สัตว์ แล้วอีกสาระพัดฉายา วันนี้ ว่ากันทั้งตระกูล ไปถึง "โคตร"
ก็ไม่นึกไม่ฝันอีกนั่นแหละ ค่ะ ว่า การต่อสู้ ทางการเมือง มันต้องลำเลิก กันขนาดนี้หรือ
ข่าว ก็คือข่าว แต่ก็ขอแสดงคคห.หน่อย เพราะมาร์ค คือหัวหน้าพรรค การเมือง
เป็นอดีตนายกฯ ก็ยังมีหมวก สวมอยู่
คุณข้างบูรพา จะมาบอกว่าพี่สาว ชงมาให้ เพื่อนๆ ตบ ก็แล้วข่าวมันบอกอะไร ...
พอใจนายกฯ แบบคุณยิ่งลักษณ์ นะคะ พูดผิด..ผิด..ถูก...ถูก แต่ก็ไม่ไปลำเลิก
ถึงโคตรเง่า ของคู่แข่งทางการเมืองค่ะ