จากกระทู้นี้
http://pantip.com/topic/30872857
ที่ดิฉัน ได้ลงรายละเอียดกำหนด การอบรมธรรมะเพื่อการเยียวยาผู้ป่วย
เมื่อวาน ดิฉัน ได้ไปเข้าร่วมอบรมมา จึงอยากจะมาแชร์ให้เพื่อน ๆ ฟัง
พระอธิการครรชิต อกิญจโน วัดป่าสันติธรรม จ.ชัยภูมิ ลูกศิษย์ของหลวงพ่อคำเขียน (สายของ หลวงพ่อ เทียน จิตตสุโภ)
เป็นพระวิทยากรบรรยายให้ความรู้
โดยช่วงเช้า ท่านได้บรรยายถึงการเจริญสติภาวนา ซึ่งประยุกต์ใช้ได้แม้กระทั่งผู้ป่วยอาการหนักบนเตียง
จากนั้น มีจิตอาสา (ซึ่งสอนโยคะฟรีที่ สวนโมกข์กรุงเทพ ทุกอาทิตย์ด้วยค่ะ) มาสอนการยืดขยับกายแบบง่าย ๆ ที่จะช่วยให้ผู้ป่วย และผู้ดูแล ค่อย ๆ ยืด ค่อย ๆ คลายเส้น ให้รู้สึกสบายขึ้น
บรรยากาศการอบรมนะคะ

ผู้ป่วยบนเตียง หากผู้ดูแลได้คอยช่วยขยับแขน ขา ท่าทาง ต่าง ๆ เพื่อทำกายบริหารพื้นฐาน ก็จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น หรือ อาจจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
ส่วนในช่วงบ่ายของการอบรม เป็นการลงมือทำ บทบาทสมมติ ให้จับคู่กัน ให้คนหนึ่งเป็นคนป่วย อีกคนเป็นจิตอาสา แล้วลองสมมติเหตุการณ์ว่า ผู้ป่วย กำลังจะตายด้วยโรคมะเร็ง มีลูกอยู่ 2 คน สามีทำงานอยู่ต่างจังหวัด จิตอาสา จะช่วยดูแล ปลอบประโลม ให้สติ ให้กับผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง
จากนั้น เป็นการแชร์ประสบการณ์ของ พระอาจารย์ พร้อมกับ ผู้เข้าร่วมอบรม บางคนป่วยเป็นมะเร็งขั้นร้ายแรง บางคนเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง บางคนเป็นคริสตศาสนิกชน แต่มาเข้าร่วมการอบรม เพื่อต่อไป(อาจจะ) ได้ดูแลผู้ป่วยได้ บางคนก็ไม่ได้เป็นอะไรเลยมาเพื่อเรียนรู้และแบ่งปันประสบการณ์
มีหลายเรื่องเล่า หลายข้อคิดที่น่าสนใจ อยากเอามาแชร์ไว้ ณ ที่นี้นะคะ
1.
อย่าตัดสินแทนผู้ป่วย อย่าครอบงำ อย่าบังคับฝืนใจผู้ป่วย หากผู้ป่วยยังไม่พร้อม --- ผู้ป่วยร้อยคน ก็ร้อยภูมิหลัง คำปลอบแบบนี้ บางที อาจจะใช้กับคนนี้ไม่ได้ วิธีการดูแลที่เหมาะกับคนหนึ่งอาจจะไม่เหมาะกับอีกคนหนึ่ง เราอาจจะเรียนรู้ศึกษาวิธีหลากหลายวิธีเพื่อการประยุกต์ใช้ที่เหมาะสม
พี่ผู้หญิงคนหนึ่ง เล่าได้อย่างน่ารัก อ่อนหวานมากว่า ตัวเธอเองดูแลสามี ซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ชีวิตพลิกผัน จากแต่เดิมที่เคยไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันบ่อย ๆ ตอนหลัง ต้องเตรียมพร้อมเก็บกระเป๋าเข้าแอดมิทสามีได้ตลอดเวลา แต่เธอเองก็เรียนรู้ที่จะดูแลสามีไป หัดทำอะไรอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนถุงขับถ่าย หรืออะไรก็ตามที่จำเป็นในการประคับประคองสามี
เธอเล่าว่า เธอห่วงด้านจิตใจสามีมาก ว่าจะขาดกำลังใจและไม่มีที่ยึดเหนี่ยว ครั้นจะแนะนำธรรมะให้ สามีก็ไม่สนใจเอาเสียเลย ขึ้นรถด้วยกัน เปิดซีดีธรรมะ สามีก็จะเอื้อมมือมาปิด ชวนทำบุญ ทำอะไรก็ไม่สนใจ ให้หนังสือก็ไม่อ่าน แน่นอนค่ะ ว่าผู้ป่วย หากไม่ได้เรียนรู้วิธีการสงบใจ หรือ มีกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพทางกายทำ สภาพทางใจจะยิ่งย่ำแย่
แต่พี่คนนี้ เธอมีวิธีแยบยลในการค่อย ๆ ปรับให้สามีเธอมาสนใจเรื่องธรรมะด้วยการขอร้องว่า "พ่อ... พ่อช่วยอ่านหนังสือให้ฟังหน่อยสิคะ นะ... เสียงพ่อน่ะ เพราะมากเลย ช่วยอ่านให้ฟังหน่อยนะ ...นะ..."
จากที่อิดออด ... สามีก็ค่อย ๆ เริ่มอ่านหนังสือ (ออกเสียง) ให้เธอฟัง ไปทีละหน้า สองหน้า หลายครั้ง อ่านไปจนเธอหลับไปก่อน อ่านจนหนังสือหมดตู้ที่บ้าน แล้วสามีก็ค่อย ๆ ซึมซับธรรมะ และสาระดี ๆ จากหนังสือที่อ่าน
ทุกวันนี้ พี่ทั้งสอง สวดมนต์ก่อนนอนด้วยกันทุกวัน พี่ผู้หญิงยังเตือนสติสามีว่า ชีวิตก็ไม่แน่ ว่าใครจะไปก่อน ยังไง ถ้าเธอไม่อยู่ สามีก็ต้องรักษาดูแลจิตใจตัวเอง อยู่ให้เต็มที่มีความสุขทุกวันนะ



แยบยล และ อ่อนหวาน จริง ๆ
2.
สัมผัสที่อบอุ่นช่วยเยียวยาผู้ป่วยได้ บางครั้ง เรามักจะคิดว่า ผู้ป่วยอาการหนักนอนไม่รู้สึกตัว ไม่มารู้ร้อน รู้หนาวกับอะไรรอบด้านหรอก
พระอาจารย์ ท่านได้เล่าเรื่องผู้ป่วยหญิงคนหนึ่ง ที่ป่วยมานานนับสิบปีว่า ผู้หญิงคนนี้ นอนไม่ได้สติมานับสิบปี แต่สามีคอยดูแลประคับประคองนวดมือ นวดเท้าให้ตลอด และเนื่องจาก ท่อนล่างของร่างกายไม่มีปฏิกริยาตอบสนอง สามีก็จะคอยขบหัวแม่เท้าเพื่อกระตุ้นการรับรู้อยู่ตลอด
สิบกว่าปีผ่านไป ภรรยาฟื้นขึ้นมาด้วยความรักและขอบคุณสามีอย่างท่วมท้น พร้อมเล่าว่า ตอนที่โคม่าอยู่ ไม่ใช่ไม่รู้นะว่า สามีดูแลยังไง มาพูดอะไรด้วย รับรู้ทุกอย่างหมด แต่ตอบสนองไม่ได้เท่านั้นเอง
การพูดคุยกับผู้ป่วย เสมือนหนึ่งว่า ผู้ป่วยรับรู้ การบีบนวด มือ แขน ขา ฝ่าเท้า และการโอบกอด จะกระตุ้นให้ผู้ป่วยรับรู้ หรือ ฟื้นได้ไวขึ้น พร้อมทั้ง เยียวยาจิตใจของผู้ป่วยด้วยอีกทาง ในสภาพทางกายภาพที่เหมือนผักเหมือนปลา จิตใจภายในของผู้ป่วยยังรับรู้และต้องการการดูแล
จึงควรดูแลในจุดนี้ด้วย
3.
ดูแลอารมณ์ความรู้สึกของผู้ดูแลด้วย หลายครั้งผู้ดูแลผู้ป่วย จะถูกญาติละเลย ทั้งที่ความเป็นจริง ต้องใช้ความอดทน อดกลั้นอย่างมหาศาลต่อแรงกดดันต่าง ๆ การดูแลผู้ป่วยเป็นงานที่ต้องใช้ความอดทนทั้งกายและใจอย่างสูง
ผู้ดูแลเอง ต้องเสียสละ และมองสถานการณ์การดูแลผู้ป่วยว่า เป็นการบ่มเพาะหน่อแห่ง "โพธิ" และกระแสแห่งความเมตตาให้เกิดขึ้นในใจเรา
อาจารย์ มุกดา ซึ่งเป็นผู้จัดกิจกรรมนี้ขึ้น ได้แบ่งปันประสบการณ์ให้ฟังว่า การดูแลผู้ดูแลก็สำคัญไม่แพ้กัน
เคยมีผู้เข้าร่วมอบรมหญิงท่านหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า ได้ลาออกจากงานมาดูแลพี่ชายซึ่งป่วยนอนอยู่กับที่มานานมาก ๆ หลายปีผ่านไป วันหนึ่ง มีเพื่อนมาเยี่ยมแล้วเอ่ยทักว่า "เธอนี่ใจบุญนะ ... ตอนตายเธอต้องได้ไปเกิดเป็นนางฟ้าแน่ ๆ "
เท่านั้นละ ผู้ดูแลท่านนั้น ร้องไห้โฮ ออกมาด้วยความรู้สึกหลากหลาย คือ มันกดดัน มันเหนื่อย มันไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่าไร มันเบื่อ ... ความรู้สึกปน ๆ กันไปหมด
ทำให้ได้แง่คิดว่า ผู้ดูแล นอกจากจะต้องดูแลผู้ป่วยแล้ว ก็ต้องดูแลจิตใจตัวเองด้วยเหมือนกัน
4.
เตรียมใจรับสภาพที่คาดการณ์ไม่ได้ของผู้ป่วย
คุณป้าผู้เข้าร่วมอบรมรายหนึ่ง อายุมากพอสมควร แชร์ให้ฟังถึงประสบการณ์ของท่านเองว่า
ท่านเอง ดูแลสามี ซึ่งเป็นอดีตเจ้ากรมฯของกองทัพ ซึ่งอายุมากแล้ว คือ ประมาณ 78 ปี ป่วยไข้มาสารพัดโรค
เจออะไร ๆ มาสารพัด แต่คุณป้าท่านนี้ ก็เล่าด้วยอารมณ์ขัน ให้ฟังว่า ตอนที่คุณลุง เข้ารับการผ่าตัดใหม่ ๆ
ตอนออกมา จำทุกอย่างได้หมด แต่ต้องตอบเป็นภาษาอังกฤษ เหมือนภาษาไทยจะลืมไปเสียเฉย ๆ ก็ต้องมาค่อย ๆ เรียนฝึกพูดภาษาไทย หัดออกเสียงเหมือนเด็ก ๆ จนตอนนี้ ทุกอย่างค่อย ๆ เริ่มหาย
แต่บางครั้ง คุณลุงเอง ก็มีแอบดื้อ งอแง เรื่องกินยา (ซึ่งเข้าใจว่า ปริมาณมหาศาล)
คุณป้า เคี่ยวเข็ญให้กินยา คุณลุง หลุดหงุดหงิดออกมาว่า
"เรื่องของกู"

คุณป้า บอกว่า ไม่กินได้ยังไง เดี๋ยวก็ไม่สบายอีก
คุณลุงตอบกลับมาว่า "เรื่องของหมอ"

"เอ๊..เดี๋ยวตายมาจะว่าไง"
"เรื่องของเมีย"


คุณป้า ก็รับสภาพการดูแล ได้โดยพยายามมองและเล่าให้เป็นเรื่องขำ ๆ
จบการอบรมครั้งนี้ เราได้รู้สึกว่า ตัวเอง เอาตัวเข้าไปทำความเข้าใจ สร้างความคุ้นเคย กับ วัฏจักร การเกิดแก่เจ็บตาย ได้เพิ่มขึ้น และเหมือนได้เจริญมรณานุสสติไปในตัว
หากมีการอบรมแบบนี้ในคราวหน้าจะได้มาประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมที่นี่ต่อนะคะ
ปิดท้ายด้วยข้อความจากหนังสือของ พระอาจารย์ ไพศาล วิสาโล เรื่องการดูแลผู้ป่วยขั้นสุดท้าย ว่า เราควร
1. ให้ความรัก และความเห็นอกเห็นใจ
2. ช่วยให้ผู้ป่วยยอมรับความตายที่จะมาถึง
3. ช่วยให้จดจ่อกับสิ่งดีงาม
4. ช่วยปลดเปลื้องสิ่งค้างคาใจ
5. ช่วยให้ปล่อยวางจากสิ่งต่าง ๆ
6. สร้างบรรยากาศแห่งความสงบ
7. กล่าวคำอำลา
---เล่าเรื่องการอบรมธรรมะเพื่อการเยียวยาผู้ป่วย---
ที่ดิฉัน ได้ลงรายละเอียดกำหนด การอบรมธรรมะเพื่อการเยียวยาผู้ป่วย
เมื่อวาน ดิฉัน ได้ไปเข้าร่วมอบรมมา จึงอยากจะมาแชร์ให้เพื่อน ๆ ฟัง
พระอธิการครรชิต อกิญจโน วัดป่าสันติธรรม จ.ชัยภูมิ ลูกศิษย์ของหลวงพ่อคำเขียน (สายของ หลวงพ่อ เทียน จิตตสุโภ)
เป็นพระวิทยากรบรรยายให้ความรู้
โดยช่วงเช้า ท่านได้บรรยายถึงการเจริญสติภาวนา ซึ่งประยุกต์ใช้ได้แม้กระทั่งผู้ป่วยอาการหนักบนเตียง
จากนั้น มีจิตอาสา (ซึ่งสอนโยคะฟรีที่ สวนโมกข์กรุงเทพ ทุกอาทิตย์ด้วยค่ะ) มาสอนการยืดขยับกายแบบง่าย ๆ ที่จะช่วยให้ผู้ป่วย และผู้ดูแล ค่อย ๆ ยืด ค่อย ๆ คลายเส้น ให้รู้สึกสบายขึ้น
บรรยากาศการอบรมนะคะ
ผู้ป่วยบนเตียง หากผู้ดูแลได้คอยช่วยขยับแขน ขา ท่าทาง ต่าง ๆ เพื่อทำกายบริหารพื้นฐาน ก็จะช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายขึ้น หรือ อาจจะฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
ส่วนในช่วงบ่ายของการอบรม เป็นการลงมือทำ บทบาทสมมติ ให้จับคู่กัน ให้คนหนึ่งเป็นคนป่วย อีกคนเป็นจิตอาสา แล้วลองสมมติเหตุการณ์ว่า ผู้ป่วย กำลังจะตายด้วยโรคมะเร็ง มีลูกอยู่ 2 คน สามีทำงานอยู่ต่างจังหวัด จิตอาสา จะช่วยดูแล ปลอบประโลม ให้สติ ให้กับผู้ป่วยได้อย่างไรบ้าง
จากนั้น เป็นการแชร์ประสบการณ์ของ พระอาจารย์ พร้อมกับ ผู้เข้าร่วมอบรม บางคนป่วยเป็นมะเร็งขั้นร้ายแรง บางคนเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง บางคนเป็นคริสตศาสนิกชน แต่มาเข้าร่วมการอบรม เพื่อต่อไป(อาจจะ) ได้ดูแลผู้ป่วยได้ บางคนก็ไม่ได้เป็นอะไรเลยมาเพื่อเรียนรู้และแบ่งปันประสบการณ์
มีหลายเรื่องเล่า หลายข้อคิดที่น่าสนใจ อยากเอามาแชร์ไว้ ณ ที่นี้นะคะ
1. อย่าตัดสินแทนผู้ป่วย อย่าครอบงำ อย่าบังคับฝืนใจผู้ป่วย หากผู้ป่วยยังไม่พร้อม --- ผู้ป่วยร้อยคน ก็ร้อยภูมิหลัง คำปลอบแบบนี้ บางที อาจจะใช้กับคนนี้ไม่ได้ วิธีการดูแลที่เหมาะกับคนหนึ่งอาจจะไม่เหมาะกับอีกคนหนึ่ง เราอาจจะเรียนรู้ศึกษาวิธีหลากหลายวิธีเพื่อการประยุกต์ใช้ที่เหมาะสม
พี่ผู้หญิงคนหนึ่ง เล่าได้อย่างน่ารัก อ่อนหวานมากว่า ตัวเธอเองดูแลสามี ซึ่งป่วยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ชีวิตพลิกผัน จากแต่เดิมที่เคยไปเที่ยวต่างจังหวัดด้วยกันบ่อย ๆ ตอนหลัง ต้องเตรียมพร้อมเก็บกระเป๋าเข้าแอดมิทสามีได้ตลอดเวลา แต่เธอเองก็เรียนรู้ที่จะดูแลสามีไป หัดทำอะไรอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนถุงขับถ่าย หรืออะไรก็ตามที่จำเป็นในการประคับประคองสามี
เธอเล่าว่า เธอห่วงด้านจิตใจสามีมาก ว่าจะขาดกำลังใจและไม่มีที่ยึดเหนี่ยว ครั้นจะแนะนำธรรมะให้ สามีก็ไม่สนใจเอาเสียเลย ขึ้นรถด้วยกัน เปิดซีดีธรรมะ สามีก็จะเอื้อมมือมาปิด ชวนทำบุญ ทำอะไรก็ไม่สนใจ ให้หนังสือก็ไม่อ่าน แน่นอนค่ะ ว่าผู้ป่วย หากไม่ได้เรียนรู้วิธีการสงบใจ หรือ มีกิจกรรมที่เหมาะสมกับสภาพทางกายทำ สภาพทางใจจะยิ่งย่ำแย่
แต่พี่คนนี้ เธอมีวิธีแยบยลในการค่อย ๆ ปรับให้สามีเธอมาสนใจเรื่องธรรมะด้วยการขอร้องว่า "พ่อ... พ่อช่วยอ่านหนังสือให้ฟังหน่อยสิคะ นะ... เสียงพ่อน่ะ เพราะมากเลย ช่วยอ่านให้ฟังหน่อยนะ ...นะ..."
จากที่อิดออด ... สามีก็ค่อย ๆ เริ่มอ่านหนังสือ (ออกเสียง) ให้เธอฟัง ไปทีละหน้า สองหน้า หลายครั้ง อ่านไปจนเธอหลับไปก่อน อ่านจนหนังสือหมดตู้ที่บ้าน แล้วสามีก็ค่อย ๆ ซึมซับธรรมะ และสาระดี ๆ จากหนังสือที่อ่าน
ทุกวันนี้ พี่ทั้งสอง สวดมนต์ก่อนนอนด้วยกันทุกวัน พี่ผู้หญิงยังเตือนสติสามีว่า ชีวิตก็ไม่แน่ ว่าใครจะไปก่อน ยังไง ถ้าเธอไม่อยู่ สามีก็ต้องรักษาดูแลจิตใจตัวเอง อยู่ให้เต็มที่มีความสุขทุกวันนะ
แยบยล และ อ่อนหวาน จริง ๆ
2. สัมผัสที่อบอุ่นช่วยเยียวยาผู้ป่วยได้ บางครั้ง เรามักจะคิดว่า ผู้ป่วยอาการหนักนอนไม่รู้สึกตัว ไม่มารู้ร้อน รู้หนาวกับอะไรรอบด้านหรอก
พระอาจารย์ ท่านได้เล่าเรื่องผู้ป่วยหญิงคนหนึ่ง ที่ป่วยมานานนับสิบปีว่า ผู้หญิงคนนี้ นอนไม่ได้สติมานับสิบปี แต่สามีคอยดูแลประคับประคองนวดมือ นวดเท้าให้ตลอด และเนื่องจาก ท่อนล่างของร่างกายไม่มีปฏิกริยาตอบสนอง สามีก็จะคอยขบหัวแม่เท้าเพื่อกระตุ้นการรับรู้อยู่ตลอด
สิบกว่าปีผ่านไป ภรรยาฟื้นขึ้นมาด้วยความรักและขอบคุณสามีอย่างท่วมท้น พร้อมเล่าว่า ตอนที่โคม่าอยู่ ไม่ใช่ไม่รู้นะว่า สามีดูแลยังไง มาพูดอะไรด้วย รับรู้ทุกอย่างหมด แต่ตอบสนองไม่ได้เท่านั้นเอง
การพูดคุยกับผู้ป่วย เสมือนหนึ่งว่า ผู้ป่วยรับรู้ การบีบนวด มือ แขน ขา ฝ่าเท้า และการโอบกอด จะกระตุ้นให้ผู้ป่วยรับรู้ หรือ ฟื้นได้ไวขึ้น พร้อมทั้ง เยียวยาจิตใจของผู้ป่วยด้วยอีกทาง ในสภาพทางกายภาพที่เหมือนผักเหมือนปลา จิตใจภายในของผู้ป่วยยังรับรู้และต้องการการดูแล
จึงควรดูแลในจุดนี้ด้วย
3. ดูแลอารมณ์ความรู้สึกของผู้ดูแลด้วย หลายครั้งผู้ดูแลผู้ป่วย จะถูกญาติละเลย ทั้งที่ความเป็นจริง ต้องใช้ความอดทน อดกลั้นอย่างมหาศาลต่อแรงกดดันต่าง ๆ การดูแลผู้ป่วยเป็นงานที่ต้องใช้ความอดทนทั้งกายและใจอย่างสูง
ผู้ดูแลเอง ต้องเสียสละ และมองสถานการณ์การดูแลผู้ป่วยว่า เป็นการบ่มเพาะหน่อแห่ง "โพธิ" และกระแสแห่งความเมตตาให้เกิดขึ้นในใจเรา
อาจารย์ มุกดา ซึ่งเป็นผู้จัดกิจกรรมนี้ขึ้น ได้แบ่งปันประสบการณ์ให้ฟังว่า การดูแลผู้ดูแลก็สำคัญไม่แพ้กัน
เคยมีผู้เข้าร่วมอบรมหญิงท่านหนึ่ง เล่าให้ฟังว่า ได้ลาออกจากงานมาดูแลพี่ชายซึ่งป่วยนอนอยู่กับที่มานานมาก ๆ หลายปีผ่านไป วันหนึ่ง มีเพื่อนมาเยี่ยมแล้วเอ่ยทักว่า "เธอนี่ใจบุญนะ ... ตอนตายเธอต้องได้ไปเกิดเป็นนางฟ้าแน่ ๆ "
เท่านั้นละ ผู้ดูแลท่านนั้น ร้องไห้โฮ ออกมาด้วยความรู้สึกหลากหลาย คือ มันกดดัน มันเหนื่อย มันไม่รู้ว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกนานเท่าไร มันเบื่อ ... ความรู้สึกปน ๆ กันไปหมด
ทำให้ได้แง่คิดว่า ผู้ดูแล นอกจากจะต้องดูแลผู้ป่วยแล้ว ก็ต้องดูแลจิตใจตัวเองด้วยเหมือนกัน
4. เตรียมใจรับสภาพที่คาดการณ์ไม่ได้ของผู้ป่วย
คุณป้าผู้เข้าร่วมอบรมรายหนึ่ง อายุมากพอสมควร แชร์ให้ฟังถึงประสบการณ์ของท่านเองว่า
ท่านเอง ดูแลสามี ซึ่งเป็นอดีตเจ้ากรมฯของกองทัพ ซึ่งอายุมากแล้ว คือ ประมาณ 78 ปี ป่วยไข้มาสารพัดโรค
เจออะไร ๆ มาสารพัด แต่คุณป้าท่านนี้ ก็เล่าด้วยอารมณ์ขัน ให้ฟังว่า ตอนที่คุณลุง เข้ารับการผ่าตัดใหม่ ๆ
ตอนออกมา จำทุกอย่างได้หมด แต่ต้องตอบเป็นภาษาอังกฤษ เหมือนภาษาไทยจะลืมไปเสียเฉย ๆ ก็ต้องมาค่อย ๆ เรียนฝึกพูดภาษาไทย หัดออกเสียงเหมือนเด็ก ๆ จนตอนนี้ ทุกอย่างค่อย ๆ เริ่มหาย
แต่บางครั้ง คุณลุงเอง ก็มีแอบดื้อ งอแง เรื่องกินยา (ซึ่งเข้าใจว่า ปริมาณมหาศาล)
คุณป้า เคี่ยวเข็ญให้กินยา คุณลุง หลุดหงุดหงิดออกมาว่า
"เรื่องของกู"
คุณป้า บอกว่า ไม่กินได้ยังไง เดี๋ยวก็ไม่สบายอีก
คุณลุงตอบกลับมาว่า "เรื่องของหมอ"
"เอ๊..เดี๋ยวตายมาจะว่าไง"
"เรื่องของเมีย"
คุณป้า ก็รับสภาพการดูแล ได้โดยพยายามมองและเล่าให้เป็นเรื่องขำ ๆ
จบการอบรมครั้งนี้ เราได้รู้สึกว่า ตัวเอง เอาตัวเข้าไปทำความเข้าใจ สร้างความคุ้นเคย กับ วัฏจักร การเกิดแก่เจ็บตาย ได้เพิ่มขึ้น และเหมือนได้เจริญมรณานุสสติไปในตัว
หากมีการอบรมแบบนี้ในคราวหน้าจะได้มาประชาสัมพันธ์เพิ่มเติมที่นี่ต่อนะคะ
ปิดท้ายด้วยข้อความจากหนังสือของ พระอาจารย์ ไพศาล วิสาโล เรื่องการดูแลผู้ป่วยขั้นสุดท้าย ว่า เราควร
1. ให้ความรัก และความเห็นอกเห็นใจ
2. ช่วยให้ผู้ป่วยยอมรับความตายที่จะมาถึง
3. ช่วยให้จดจ่อกับสิ่งดีงาม
4. ช่วยปลดเปลื้องสิ่งค้างคาใจ
5. ช่วยให้ปล่อยวางจากสิ่งต่าง ๆ
6. สร้างบรรยากาศแห่งความสงบ
7. กล่าวคำอำลา