$$... ได้ยินกันมานาน ขออธิบายความสั้นๆ "Abenomics" คืออะไร? ...$$

ตั้งแต่ญี่ปุ่นได้นายกฯคนใหม่เมื่อปลายปีที่แล้ว คือ นายชินโซ อาเบะ มีนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจที่สำคัญที่กำลังทำอยู่ ณ ขณะนี้ ถูกเรียกว่า "Abenomics" หรือ เศรษฐกิจแบบอาเบะๆ ประกอบไปด้วย 3 ปัจจัย ฝรั่งเขาใช้คำว่า "Three Arrows หรือ ธนู 3 ดอก" เศรษฐกิจแบบ Abenomics จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ขึ้นอยู่กับธนู 3 ดอกนี้ละครับ ว่าจะปาไปโดนเป้าหรือเปล่า

ก่อนจะไปดูธนูแต่ละดอก ขอเล่าย้อนหลังว่า ญี่ปุ่นเจอกับอะไรในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมาถึงมีปัญหาที่เป็นอยู่นี้

ก็เหมือนๆกับวิกฤตที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งบนโลกมนุษย์ ไม่มีอะไรใหม่หรอกครับ

สิ้นปี ค.ศ. 1989 ช่วงนั้นเศรษฐกิจญี่ปุ่นถือได้ว่าจุดสูงสุดของฟองสบู่ ราคาหุ้นและราคาอสังหาริมทรัพย์ ใช้เวลา 6 ปีจากก่อนหน้านี้ปรับตัวขึ้นมาถึง 4 เท่าตัว (จาก 100 บาท ไปเป็น 400 บาท) เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว แบงค์ชาติก็พยายามลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไม่ว่าดอกเบี้ยเงินฝากจะต่ำขนาดไหน เงินก็ยังไม่ออกมาในระบบ เพราะคนญี่ปุ่นมีสัดส่วนการออมสูง และกลายเป็นโรคกลัวความเสี่ยง และไอ้โรคนี้ระบาดไปทั้งประเทศอย่างรวดเร็ว!! เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มซบเซา ตลาดหุ้นตก เงินทุนในภาคธุรกิจหายไปกว่าครึ่ง เมื่อไม่มีอุปสงค์ในตลาด อุปทานจึงไม่เกิดเป็นเรื่องธรรมดา จากนั้นเงินทุนก็เริ่มโยกย้ายออกไปต่างประเทศ การจ้างงานลดลง คนตกงานเป็นจำนวนมาก รัฐบาลญี่ปุ่นแก้ปัญหาแบบเลี้ยงไข้ ไม่ให้ตายแต่ก็ถอดออกซิเจนออกจากปากไม่ได้ จึงทำให้ใช้เวลาสะสางนานถึง 12 ปีกว่าจะดึงอัตราการเติบโตของธุรกิจให้กลับมาอยู่ในแดนบวก

.... แต่ก็ได้แต่เล็กน้อยเท่านั้น แล้วยิ่งมาโดนวิกฤต Subprime ปี 2008 อีกครั้ง รัฐบาลญี่ปุ่นจึงคิดใหม่ ทำใหม่ เพื่ออนาคตที่เปลี่ยนไปของประเทศ เมื่อนั้น Abenomics จึงเกิดขึ้นครับ ภาพด้านล่าง คือ GDP Growth และ Inflation ก่อนวิกฤตและหลังวิกฤต จะเห็นว่า GDP Growth หลังวิกฤตไม่เคยเกิน 2% เลย ส่วนเงินเฟ้อ ก็ติดลบ (เงินฝืด) อยู่หลายช่วงหลายปีทีเดียว



ไปดูลูกธนู 3 ดอกที่ออกจาก Abenomics กันครับ



ดอกที่ 1 นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายพิเศษ ซึ่งก็เริ่มด้วยการเปลี่ยนตัวผู้ว่าการธนาคารเป็นนายคุโรดะเมื่อต้นปี ที่มีแนวคิดแบบ Dovish เหมือนๆกัน แล้วก็เริ่มต้นด้วยการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ แบบที่อเมริกาทำ โดยตั้งวงเงินไว้ที่ 75,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อเดือน อัดไปเรื่อยๆจนถึงสิ้นปี 2557 ซึ่งถ้าดูเผินๆ 75,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อเดือน นี่ไม่เห็นเยอะเท่าไหร่ เพราะอเมริกาตอนนี้ ที่อัดฉีด QE3 กับ QE4 รวมกัน ก็ตกอยู่เดือนละ 85,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ต่อเดือน
แต่ลองไปดูขนาดเศรษฐกิจของอเมริกาเทียบกับญี่ปุ่นสิครับ ห่างกันเกิน 2.5 เท่าทีเดียว ตามรูปด้านล่าง



เมื่อมองในมุมนี้ ก็ต้องบอกว่า อัดฉีดรอบนี้ ค่าเงินเยนไม่อ่อนค่าก็บ้าไปละครับ
กราฟด้านล่างเป็นค่าเงินเยนต่อดอลล่าร์ตั้งแต่ต้นปี จาก 86 ขึ้นมาตอนนี้เทรดแถวๆ 100 ก็เท่ากับอ่อนค่าไปแล้ว 16% ทีเดียว
ซึ่งเป้าหมายการทำให้ค่าเงินตัวเองอ่อนค่านี้ ก็เพื่อให้เกิดเงินเฟ้อ โดยตั้งเป้าไว้ที่ 2.0% ภายในปี 2557 ครับ



ดอกที่ 2 นโยบายการคลังโดยใช้การใช้จ่ายภาครัฐ โดยรัฐบาลตั้งงบประมาณให้ภาครัฐเพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจจำนวน 10.3 ล้านล้านเยน เอาเงินไปลงทุนซะ จะได้กระตุ้นการจ้างงาน กระตุ้นเศรษฐกิจ หรืออาจปล่อยเข้าไปในสถาบันการเงิน เพื่อการกู้ยืมและการลงทุน รวทั้งเพิ่มสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ

การลงทุนก็แบ่งออกเป็น 4 แผนใหญ่ๆตามนี้ครับ
1. การซ่อมแซมส่วนที่เสียหายและป้องกันภัยพิบัติในอนาคต
2. เสริมสร้างความมั่งคั่งผ่านการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ลงทุนในภาคเอกชน, สนับสนุนธุรกิจรายย่อยและเกษตรกรรม, สนับสนุนกลุ่มทุนที่ไปลงทุนในต่างประเทศ และมาตรการการจ้างงาน
3. ส่งเสริมคุณภาพชีวิต และเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจท้องถิ่น
4. สุดท้าย เป็นมาตรการสาธารณะประโยชน์ต่างๆ

ไม่แน่ใจว่า ที่ Bank of Tokyo Mitsubishi (BTMU) ยื่นขอทำ Tender Offer จะเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของธนาคารกรุงศรีในไทย เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จจากมาตรการ Abenomics ด้วยรึเปล่าน้อออ ปั้มเงินออกมา ได้ Cheap Money แล้วก็มากว้านซื้อ Asset ดีๆในเอเชียแข่งกับอเมริกา เค้าล้อเล่น



ดอกที่ 3 ปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจระยะยาว ดังจะมีตัวอย่างจากตารางด้านล่าง ที่มาจาก บลจ.ทิสโก้ครับ



ซึ่งแผนปฏิรูปดังกล่าว บางอย่างต้องอาศัยกฏหมายบังคับใช้ นักวิเคราะห์ก็กังวลกันเล็กน้อย เพราะพรรค LDP ของนายอาเบะ กุมเสียงข้างมากในสภาล่าง แต่สภาบนไม่ใช่ แต่ความกังวลก็หายไปเมื่อกลางเลือกตั้งเมื่อต้นเดือน ก.ค. ที่ผ่านมานี้ LDP และพรรคร่วมรัฐบาล ได้เสียงข้างมากทั้งสภาบนและสภาล่าง เปิดโอกาสให้แผนปฏิรูประยะยาวดูมีทางไปมากขึ้น

ก่อนจบ มีหนึ่งคำถาม
ความน่ากังวลของนโยบาย Abenomics มีหรือเปล่า?
      มีครับ สมมติว่า ยิงออกไปแล้วทั้ง 3 ดอก ปรากฏว่า สิ้นปี 2557 เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังโตเบาๆ เงินเฟ้อก็ไม่แตะ 2% แถมปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจก็ทำได้ไม่กี่อย่าง ถ้าเป็นแบบนี้ ก็สัญญาณอันตรายเพราะ การอัดฉีดเงิน เดือนละ 75,000 ล้านเหรียญสหรัฐ นั้นถือเป็นเงินจำนวนที่เยอะมากๆ ถ้าต้องอัดฉีดมากกว่านี้ ใครจะอยากถือเงินเยน ใครจะกล้าไว้ใจรัฐบาลอีก จะกลายเป็น QE Infinity จริงๆอย่างที่นักเศรษฐศาสตร์เคยล้อ Fed ว่า สุดท้ายอาจจะยกเลิก QE ไม่ได้ เพราะนักลงทุนเสพติด QE ไปแล้วเรียบร้อย
       สำหรับโอกาสการลงทุนในญี่ปุ่นนั้น อาจยังพอมี ถ้า Abenomics มัน work แต่สิ่งที่ต้องเตือนตัวเองก็คือ เห็นตลาดหุ้น Nikkei ปรับฐานอย่างที่เห็นช่วงเดือน พ.ค. หรือ มิ.ย. นี้ ผมมองว่า เราอาจเห็นการปรับฐานแบบนี้อีกเป็นระยะๆในอนาคต และต้องยอมรับด้วยว่า ตลาดหุ้นญี่ปุ่น มันถูกลากไปบนความหวังว่า Abenomics จะ  work มาตั้งแต่วันที่นายชินโซ อาเบะ ประกาศนโยบายแล้วครับ และเมื่อขึ้นด้วยความหวัง เราก็ต้องระวังว่าความหวังมันอาจจะพังพินาศลงมา

      ไม่ได้จะห้ามลงทุนในญี่ปุ่นนะ แค่อยากบอกว่า ที่ไหนๆมันก็มีความเสี่ยง มันอยู่ที่เราเชื่อหรือเปล่าว่า ญี่ปุ่น จะหลุดจากกับดักเงินฝืดที่ตัวเองสร้างมากว่า 20 ปี ด้วยนโยบายนี้ “Abenomics”

   บทความนี้ เขียนจากมุมมองส่วนตัวและตัดสินจากข้อมูลอันจำกัดบนมาตรการ Abenomics ในมุมของผมเป็นหลักเท่านั้น ไม่ได้วิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานบริษัท และในมุมอื่นๆที่รัฐฯและเอกชนในญี่ปุ่นกำลังดำเนินการอยู่ จึงขอให้ใช้เป็นข้อมูลในการไปศึกษาทำความเข้าใจสำหรับผู้ที่สนใจในเศรษฐกิจญี่ปุ่นต่อไปครับ ยิ้ม
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่