สภาพตลาดหลักทรัพย์เมื่อวาน ทำให้รู้ว่าถ้าเชื่อความสามารถต่างๆ ที่นายกิติรัตน์โม้ไว้ ประเทศไทยเราต้องย่ำแย่แน่

เมื่อวาน (วันจันทร์) ทางตลาดหุ้นนอกสหรัฐปรับตัวลดลงทั่วหน้า  สาเหตุใหญ่เป็นเพราะบริษัท S&P ที่จัดอันดับความเชื่อมั่นรายใหญ่ของโลก ปรับมุมมองของเศรษฐกิจสหรัฐให้จากแง่ลบเป็นมีเสถียรภาพ ทำให้เงินดอลล่าร์สหรัฐแข็งตัว  เงินจึงไหลจากตลาดเอเชียและยุโรปไปยังสหรัฐฯ  ส่งผลให้มีการขายหุ้นจากตลาดหุ้นอื่นๆ ที่ไม่ใช่ตลาด NYSE เพื่อนำเงินที่ได้จากการขายกลับไปซื้อดอลล่าร์สหรัฐ  


นี่แสดงให้เห็นว่า ผู้ว่าธปท.คุณประสารนั้น มีมุมมองทางด้านดอกเบี้ยดีกว่าคุณกิติรัตน์หลายเท่าตัว  - เมื่อต้นปี คุณกิติรัตน์ก็ปล่อยความโง่ออกมาว่า ต้องการปลดผู้ว่าธปท.ทุกวัน เพราะอยากให้ลดดอกเบี้ยเยอะ คือ ตอนนั้น แกมีปัญญาคิดแค่ว่า การลดดอกเบี้ยเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของไทยอ่อนตัวลงได้ (ตอนนั้น อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทต่อดอลล่าร์แพงขึ้นมากที่สุดเมื่อเทียบกับค่าเงินของประเทศอื่นในเอเชีย)


นั่นคือ หลังจากเป็นรองรมต.เศรษฐกิจของรัฐบาลนายกปูมาได้เกือบ 2 ปีนี่  แกไม่ได้ทราบเลยว่า การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายนั้น นอกจากต้องการให้การส่งออกดีขึ้น นำเข้าถูกลงแล้ว  ยังต้องประเมิณจากสภาพเศรษฐกิจของประเทศเทียบกับประเทศอื่น ซึ่งตอนนั้น เศรษฐกิจของไทยเราแข็งแกร่งกว่าประเทศในเอเชียด้วยกัน อัตราแลกเปลี่ยนก็ต้องแพงกว่าเป็นธณรมดา

นอกจากนั้น อัตราแลกเปลี่ยนก็สามารถใช้หลายวิธีการในการปรับให้ลดหรือเพิ่มขึ้นได้ ซึ่งบางวิธีอยู่ในอำนาจของกระทรวงการคลังที่แกดูแลโดยตรงด้วยซ้ำ


ต่อมา เมื่อ 2-3 สัปดาห์ก่อน เมื่อมีถูก ‘สั่งสอน’ และได้ศึกษาความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์มากขึ้น  (ทั้งๆ ที่ ตัวเองมาจากผู้บริหารโบรกเกอร์หุ้นรายใหญ่, เป็นถึงอดีตผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ และเป็นรมต.คลังมาร่วมปี กลับมีความรู้ด้านเศรษฐกิจน้อยมากจนแทบไม่น่าเชื่อ) เพิ่งมาลงความเห็นกับผู้ว่าแบ็งค์ชาติและสภาอุตสาหกรรม สรุปเห็นพ้องต้องกัน 3 ฝ่าย ว่า มี 4 ขั้นในการจัดการกับอัตราแลกเปลี่ยน
1. อาจห้ามต่างชาติซื้อพันธบัตรธปท.
2. ให้ต่างชาติซื้อได้เฉพาะพันธบัตรกระทรวงการคลังหรือรัฐวิสาหกิจโดยกำหนดระยะเวลาถือครอง
3. เก็บค่าธรรมเนียมและภาษีจากตปท.ที่ลงทุนในตลาดตราสารหนี้
4. ตปท.ที่ลงทุนในไทยต้องทำประกันอัตราแลกเปลี่ยน  
และต้องกันเงินจำนวนหนึ่งสำรองไว้ที่ธปท.เพื่อสนับสนุนและรองรับการใช้มาตการต่างๆ ที่กล่าวมา
แสดงให้เห็นว่าการอยู่ในตำแหน่งรมต.คลังมาร่วมปีนี้ พี่แกเพิ่งพอจะรู้วิธีบริหารเศรฐกิจของประเทศอยู่บ้าง


ต่อมา เมื่ออัตราแลกเปลี่ยนบาทไทยแข็งตัวและเห็นตัวเลขว่าตัวเลขทางศรษฐกิจไตรมาศแรกต่ำกว่าที่ได้คาดมาก ณ วันที่ 29 พค. ทางกนง.ที่มีผู้ว่าธปท.เป็นประธานก็มีมติให้ลดดอกเบี้ยลง .25 % เหลือ 2.5% ต่อปี  นายกิติรัตน์ก็ว่าลดลงน้อยอีก  แต่ผู้ว่าประสารฯ อธิบายว่า ถ้าลดมากกว่านี้อาจส่งสัญญาณให้นักลงทุนตปท.ผิดไป และลดลงแค่นี้เพียงพอต่อสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน


ซึ่งเมื่อสัปดาห์ก่อน มีข่าวว่าทางมูดดี้ บ.จัด rating อาจประเมิณอันดับเครดิตของไทยใหม่ เพราะการขาดทุนจากนโยบายข้าว  อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทก็ทรุดทันที  เพราะถ้ามีการปรับลด rating ขึ้นมาจริง ไทยเราต้องเสียต้นทุนในการกู้ยืมเงินจากต่างประเทศเยอะมากขึ้นมากทันที

และแม้ว่า มูดดี้จะ confirm แล้วว่า ยังไม่เกี่ยวข้องโดยตรง  แต่ถ้าขาดทุนมากๆ ขึ้นมาจริงๆ ก็อาจจะมีการปรับอันดับความเครดิตอยู่ดี (นี่ขนาดขาดทุน 260,000 ล้านบาท ก็มีผลขนาดนี้แล้ว  ถ้าขาดทุนจากรถไฟฟ้าสัก 500.000 ล้าน จะเป็นอย่างไร ? ในเมื่อทางรัฐบาลบอกว่า ต้องขาดทุนอยู่แล้ว เพราะเป็นการลงุทนเพื่ออนาคต แต่อยู่ด้วยสมมติฐานว่า การเติบโตโดยเฉลี่ยของเศรษฐกิจ 5-6% ซึ่งตาม)  
ก็จะเห็นได้ถึงความสุขุมของผู้ว่าประสารว่าเหนือกว่าคนที่ประกาศว่า :

1. 2 ตค. 2556 "ถ้า รัฐบาลทำโครงการรับจำนำข้าวแล้ว ทำให้รัฐเสียหายมากกว่า 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นงบที่รัฐบาลชุดก่อนใช้ชดเชยในระบบประกันรายได้เกษตรกร รัฐบาลพรรคเพื่อไทยคงอยู่ไม่ได้ ไม่ต้องตั้งคำถามเลยว่า ในฐานะรองนายกฯ เศรษฐกิจจะรับผิดชอบอย่างไร

2. 28 มี.ค. 2556 “ด้วยเงื่อนไขที่เศรษฐกิจไทยโตเฉลี่ย 5-6% ไป 50 ปี จะทำให้คืนเงินกู้เรถไฟฟ้า 2 ล้านล้านบาท (พร้อมดอกเบี้ยจะเป็น 5 ล้านล้านบาท) จะผ่อนหมดภายใน 50 ปี

3. 28 มี.ค. 2556 “ผมมีความรู้มากและด้วยวิธ๊การที่นำสมัย สามารถจะหามาตรการป้องกันวิกฤตเศรษฐกิจใดๆ ถ้าจะเกิดขึ้นได้


ที่นายกิติรัตน์โม้มาทั้งหมดนี่  ตอนนี้เห็นได้ชัดแล้วว่า คงจะทำไม่ได้แน่ๆ แล้วเพราะ :

1.    ถึงจะปัจจุบันตัวเลข 260,000 ล้านบาท เป็นตัวเลขขาดทุนที่สรุปโดยคณะกรรมการปิดบัญชีโครงการจำนำพืชผลการเกษตร เป็นยอดรวมของพืชผลการเกษตรต่อเนื่องหลายปี  แต่ถึงรัฐบาลจะปิดบังยอดสต๊อคข้าวและยอดขาย ยอดขาดทุนมาตลอด  แต่ที่แน่ชัดคือ มูลค่าการส่งออกของข้าวไทยลดลงจากปีที่แล้ว และเป็นที่ 3 รองจากอินเดียและเวียดนาม เนื่องจากราคาต้นทุนที่รัฐบาลรับจำนำแพง  ทำให้ห็นอนาคตได้ว่า ราคาที่จะขายได้ในอนาคต จะต้องถูกมากๆ แน่ๆ  ยิ่ง G2G ยิ่งจะทำให้ราคาลดลง เพราะรัฐย่อมลดราคาการขาย lot ใหญ่อยู่แล้ง

2.    เศรษฐกิจไม่มีทางโต 5-6% ไปตลอด 50 ปีไปได้ อย่างเช่นปีนี้ projection ก็ออกมาแล้วว่า เศรษฐกิจจะโตเพียงประมาณ 4% เท่านั้น  แถมแบ็งค์ชาติยังได้ลดเป้าการเติบโตเศรษฐกิจของ ทั้งจีน, ญีปุ่น, เกาหลีใต้, ยุโรปลดลงตลอดเวลา  แล้วไทยที่พึ่งการส่งออกไม่น้อย (ถึงจะเน้นกระตุ้นการใช้จ่ายภายในประเทศมาช่วยอีกแรง) ยอดขายก็ย่อมจะลดลงเป็นธรรมดา  อย่างนี้ รถไฟฟ้าเราไม่ต้องคืนเงินกู้ไป 70-100 ปีกันงั้นหรือ ?
แน่หล่ะว่า เศรษฐกิจมีขึ้นมีลง แต่ปัจจุบัน ถึงสหรัฐจะโดนปรับมุมมองให้เสถียร แต่ก็ไม่ได้หมายถึงว่าปัญหาจะหมดไป  แถมเมื่อวานรัฐบาลญี่ปุ่นก็ไม่ได้ออกมาตรการใดๆ รองรับการหดตัวของเศรษฐกิจ จนเศรษฐกิจญี่ปุ่นเข้าสู่รูปแบบหมี (คือตกต่ำ) อย่างเต็มตัว, จีนกับเกาหลีก็โดนปรับอัตราการเติบโต  ส่วนยุโรปไม่ต้องพูดถึง เดี๋ยวก็มีปัญหาเศรษฐกิจที่ประเทศโน้น ประเทศนี้  อัตราว่างงานก็เพิ่มขึ้นตลอดเวลา  จึงรับรองได้ว่า เศรษฐกิจของโลกจะยังลำบากไปอีกเป็นสิบปี แล้วไทยเราหล่ะ ?

3.    ที่บอกว่า เก่งมากพอจะป้องกันวิกฤตเศรษฐกิจไม่ให้เกิดขึ้นอีกนี่  เขาควบคุมปัจจัยที่มาจากภายนอกได้ยังไง  อย่างที่บอกในข้อ 2 เป้าเศรษฐกิจไทยและประเทศใหญ่ๆ ของโลกก็ลดลงเห็นๆ  
นอกจากนั้น นายกิติรัตน์ยังคุมอัตราแลกเปลี่ยนไม่ได้อีกด้วย นอกจากจะ ‘พร่าเพ้อ’ คณะกรรมการกนง.เอา (ซึ่งเขาก็หัวเราะเยาะเอาในใจว่า ฉลาดน้อยเหลือเกิน) (ไม่ได้ว่ากนง.ไม่ดีนะ แต่ยกตัวอย่างสิ่งที่นายกิติรัตน์ควบคุมไม่ได้)  และยังมีตั้งหลายปัจจัยที่เขาควบคุมไม่ได้  ทำตามที่คิดของตัวเองว่าแก้ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศไม่ได้แล้ว จะมีปัญญาป้องกันวิกฤาตเศรษฐกิจที่เกิดจากนอกประเทศที่เกิดขึ้นบ่อยๆ (3-4 ปีครั้ง) ได้ยังไง ?


มิหนำซ้ำ เมื่อวาน ก็ชัดเจนว่า เมื่อเศรษฐกิจสหรัฐมีแนวโน้มดีขึ้น (แค่เปลี่ยนจากมุมมองด้านลบเป็นมีเสถียรภาพ) อัตราแลกเปลี่ยนบาทของไทยก็กลับอ่อนตัวไปเอง  โดยไม่จำเป็นต้องลดมากกว่า .25% อย่างที่นายกิติรัตน์คิด  เพราะถ้าลดดอกเบี้ยมากกว่าหรือเท่ากับ .50% ตามที่นายกิติรัตน์คิด พอมีเหตุการณ์เกิดที่สหรัฐ ก็ต้องเพิ่มอัตราดอกเบี้ยกลับไปกลับมาไปมางั้นหรือ  ตปท.เขาจะหัวเราะเยาะได้ว่า ไทยเราไม่มีปัญญาวางแผนระยะยาว ที่เผื่อความเสียงด้านต่างๆ ไว้


แล้วอย่างนี้ พวกเรายังจะให้คนเก่งแต่ปากแบบนี้ บริหารเศรษฐกิจของชาติไปอีกนานแค่ไหน หรือว่า ต้องรอจนกว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจหดตัวในประเทศมากกว่านี้ก่อน  หรือ รอจนกว่า เงินกู้ 2 ล้านล้านมันผูกผันไป 70-100 ปี กัน ? หรือเพราะว่าพรรคเพื่อไทยมีคนเก่งที่สุดอยู่เท่านี้เอง !!!!!



หมายเหตุ : หลายๆ ท่านบอกว่า ผมว่ารัฐบาลเรื่องหุ้นตก แสดงว่าอ่านไม่เข้าใจเลย ไม่ได้บอกว่าหุ้นตกเพราะรัฐบาลสักคำ
ผมเอาสถานการณ์นั้น มาอธิบายว่า ความคิดของโต้งเกี่ยวกับดอกเบี้ย และด้านเศรษฐกิจไม่ได้เก่งเลย แถมยังขึ้โม้อีกว่าเอาอยู่   คุณให้คนฉลาดแค่นี้มาบริหารหนี้ 2 ล้านล้านบาท ให้ลูกหลานเป็นหนี้ชั่วหลานชั่วเหลนอีกหรือ ... ผมว่า 7-80 ปี จะเอาอยู่หรือเปล่า ยังไม่รู้เลย

อีกอย่างที่ไม่เข้าใจกัน ก็คือ อัตราแลกเปลี่ยนไม่ได้ขึ้นกับอัตราดอกเบี้ยอย่างเดียว  ถ้าประเทศไหนเศรษฐกิจดี ดอกเบี้ยก็ต้องสูงกว่าประเทศที่เศรษฐกิจไม่ดี  ดังนั้น การที่รมต.โต้งขอให้ลดอัตราดอกเบี้ยมาตั้งหลายเดือนก่อน แสดงให้เห็นถึงระดับสติปัญญาได้เป็นอย่างดี  
เพราะตอนหลัง เขาถึงคุยกัน 3 ฝ่ายแล้วได้ข้อสรุปในการจัดการกับอัตราแลกเปลี่ยนออกมา 4 ข้อไงครับ ต้องให้คนอื่นอธิบาย รมต.โต้งถึงจะพอจะรู้ขึ้นมาบ้าง

สุดท้าย ผมไม่เคยพูดถึงอดีตรมต.กรณ์เลยสักคำนะครับ



แต่อย่างว่า ขนาดรมต.โต้งยังไม่เข้าใจ  แล้วพวกเสื้อแดงในห้องราชดำเนิน ที่ได้แค่เออออตามเขา ก็คงไม่มีทางเข้าใจ ... ผมไม่แปลกใจหรอกเรื่องนี้ 555
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่