ทิฏฐิทั้งหลาย เมื่อผู้มีกิเลสเสพแล้วเนืองๆ ย่อมติดเป็นธรรมดา

ทิฏฐิทั้งหลาย เมื่อผู้มีกิเลสเสพแล้วเนืองๆ ย่อมติดเป็นธรรมดา  หัวข้อนี้เกิดขึ้นเพราะจากการสนทนา ในกระทู้นี้

    http://pantip.com/topic/30460046/comment15

ได้สนทนาต่อ ดังนี้....

***************************************
ความคิดเห็นที่ 15-1
ยิ้ม... ผมได้อ่านหมดแล้วนะครับ  

   แต่จากข้อความ  
---------------------------------
คุณ P_vicha คงเห็นแล้วครับว่า   รูป  ที่คุณ  P_vicha  ยกมานั้น
พระบรมศาสดา  ก็ยังสั่งสอนให้ดับ  รูปนั้นเสีย  และดับซึ่งรูปที่เป็นปัจจุบันด้วย
---------------------------------

  ตอบ >>>    คุณ 712856 ลวงเลยประเด็นที่สนทนาครับ เพราะกำลังสนทนาเรื่องเหตุปัจจัย ในเรื่องของปฏิจจสมุปบาท อยู่นะครับ

และจากข้อความตรงส่วนนี้ ของคุณ คุณ 712856
------------------------
รูป ตรงนี้ก็ยังมีความหมายไปในทางที่เกิดจากเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา
------------------------

   ตอบ >>> คุณ 712856 ยอมรับเองนะครับว่า เกิดจากเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา

และจากข้อความ ของคุณ  712856
----------------------------------
เพราะถ้า รูป  หมายถึงสิ่งที่เป็นร่าง หรือกาย  ของสิ่งสมมุติที่เรียกว่า คน    (โดยปรมัตถ์ ไม่มี คน สัตว์ ...)
การดับของรูป  ก็จะตาย(เข้าโลง) กันหมดมิใช่หรือ ครับ
----------------------------------

   ตอบ >>> เมื่อคุณ  712856  กล่าวเองว่า เกิดจากเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นมา  ก็หมายความว่า รูป นั้นย่อม มีเกิด-มีดับ แล้วก็มี เกิด-ดับ สืบเนื่องกันต่อไปได้ เมื่อเหตุปัจจัยนั้นยังดำเนินอยู่ ไม่ใช่หรือครับ
ตอบกลับ
0
1
P_vicha
เมื่อวานนี้ เวลา 00:21 น.
cantona_z ถูกใจ
/////////////////////////////////
ความคิดเห็นที่ 16
พอดีเข้ามาดูเว็ป พันทิพ อีกทีก็ประมาณเที่ยงคืน จึงได้เห็นข้อความของคุณ 712856 จึงได้แสดง คคห. 15-1 ตอบไปนั้นครับ (บอกให้ทราบ เพื่อให้เกิด คคห. ใหม่ ผู้ที่ติดตามอ่านหรือสังเกตุการณ์ก็จะทราบได้ด้วย เมื่อดูรายกระทู้รวมครับ)
ตอบกลับ
0
0
P_vicha
เมื่อวานนี้ เวลา 00:29 น.
/////////////////////////////////
ความคิดเห็นที่ 17
ขอบคุณที่ คุณ P_vicha  เข้าใจ ในเรื่อง  ปฏิจจสมุปบาท   ที่กล่าวถึง การเกิดเหตุแห่งทุกข์
อันเนื่องจาก เพราะสิ่งนี้มี  สิ่งนี้จึงมี   ตามเหตุและปัจจัย

เช่นกัน รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ   ก็ล้วนแต่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง
ดังนั้น  มันจะมีอะไร ๆ  ที่เป็นตัวเป็นตน(อัตตา)  ที่จะ  ตาย  แล้ว ไปเกิด ในภพ  ทั้ง 3  หล่ะครับ
ตอบกลับ
0
1
สมาชิกหมายเลข 712856
12 ชั่วโมงที่แล้ว
Camphor ถูกใจ
/////////////////////////////////////////
ความคิดเห็นที่ 18
ยิ้มๆ.... (พึงได้มาเปิดดู)  

    ในเืมื่อ คุณ  712856  กล่าวเองว่า

   กรณี 1    "ปฏิจจสมุปบาท   ที่กล่าวถึง การเกิดเหตุแห่งทุกข์"
และ....

   กรณี 2   "รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ   ก็ล้วนแต่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง
ดังนั้น  มันจะมีอะไร ๆ  ที่เป็นตัวเป็นตน(อัตตา)  ที่จะ  ตาย  แล้ว ไปเกิด ในภพ  ทั้ง 3  หล่ะครับ "

      นะแหละเป็นการติดอยู่ใน การนึกคิดตรึกตรองที่ติดหล่มอยู่  การกล่าวในกรณี 2 ก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เพราะเืมื่อเหตุปัจจัย ของปฏิจจสมุปบาท ยังดำเนินอยู่  ทุกข์ ยังดำเนินอยู่ เป็นธรรมดา แม้ว่าคุณ 712856  จะกล่าวว่า

      "รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ   ก็ล้วนแต่มีเหตุปัจจัยปรุงแต่ง
ดังนั้น  มันจะมีอะไร ๆ  ที่เป็นตัวเป็นตน(อัตตา)  ที่จะ  ตาย  แล้ว ไปเกิด ในภพ  ทั้ง 3  หล่ะครับ "

     แต่คุณ 712856 ก็กล่าวเองว่า  "ปฏิจจสมุปบาท   ที่กล่าวถึง การเกิดเหตุแห่งทุกข์"  

     ก็คือในเมื่อเหตุปัจจัยยังมีอยู่ ทุกข์ก็ยังดำเนินอยู่ เช่นนั้นเองเป็นธรรมดา แม้คุณ 712856 จะสำคัญด้วยการนึกคิดตรึกตรองด้วยทิฏฐิเช่นใดก็ตาม
ตอบกลับ
**************************************

  ต่อไปผมขอยกธรรมจากพระไตรปิฏก เล่มที่ 12 ใน  ๘. สัลเลขสูตร  ว่าด้วยธรรมเครื่องขัดเกลากิเลส ส่วนหนึ่งดังนี้

-------------------------------------
       เธอทั้งหลายพึงทำความขัดเกลาว่า ชนเหล่าอื่นจักเป็นคนลูบคลำทิฏฐิของตน ยึดถืออย่าง
มั่นคง และสละคืนได้โดยยาก ในข้อนี้ เราทั้งหลายจักไม่เป็นผู้ลูบคลำทิฏฐิของตน ไม่ยึดถือ
อย่างมั่นคง และสละคืนได้โดยง่าย.
-------------------------------------

     ซึ่งใน สัลเลขสูตร นั้นยังมีประเด็นระเอียดอีก แต่ขอยกเพียงเท่านี้ ในการสนทนาก่อนนะครับ  ส่วนผู้ที่ประสงค์ร่วมสนทนาก็เชิญครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่