[เสียงคนวงนอก] การศึกษาไทย : ขออภัยที่สำนึกในบุญคุณ “การศึกษานอกระบบ”

[เสียงคนวงนอก] การศึกษาไทย : ขออภัยที่สำนึกในบุญคุณ “การศึกษานอกระบบ”


โดย : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
FaceBook : TonyMao Nk


“วันนี้เราทุ่มเทกับเด็กที่เรียนในระบบ แล้วเรียนก็ไม่จบ  ท้องออกมาแล้วไปอยู่ไหน ติดยาเสพติดออกมาแล้วไปอยู่ไหน อยากจะบอกว่าเด็กพวกนี้อยู่กับ กศน. ทั้งนั้น แล้วครู กศน. ก็ดี ผอ.กศน. ก็ดี ต้องมานั่งแก้ปัญหาเพื่อเอาคนดีกลับคืนสู่สังคมให้ได้ อย่างเด็กติดยาเสพติด 1 คน มาอยู่กับเรา เราก็ต้องค่อยๆ ดูแล ประคบประหงมกันเหมือนลูก เด็กที่ท้องจากในระบบแล้วกลับไปไม่ได้ มาอยู่กับเรา เราก็ต้องสอน

สิ่งเหล่านี้ต่างหากคือคุณภาพของประชากร ที่เราต้องดูแล ที่เรียกว่า Long Live Education หรือทักษะชีวิต ทำอย่างไรเรียนแล้วจะไม่กินยาตาย ทำอย่างไรอกหักแล้วจะไม่กระโดดตึกตาย สิ่งเหล่านี้มากกว่า ที่จะเป็นตัวพัฒนาคุณภาพชีวิต ถ้าคุณภาพชีวิตพัฒนา อาชีพมันก็พัฒนา แล้วถ้าอาชีพพัฒนา เศรษฐกิจและอื่นๆ ก็จะพัฒนาไปกันทั้งหมด”

ที่มา : http://www.naewna.com/scoop/45706 ( ผ่าทางตันการศึกษาไทย (จบ) “แรงบันดาลใจ” วิชาที่ไม่มีสอนใน ร.ร. : สกู๊ปหน้า 5 นสพ.แนวหน้า วันที่ 21 มี.ค.2556 )

--------------------------

ความจริงแล้ว เรื่องที่เขียนวันนี้เป็นเรื่องที่ผมคาใจมาตลอด อย่างน้อยๆ ก็ตั้งแต่ปีก่อน ( 2555 – 2012 ) ที่ผมไม่มีโอกาสได้แสดงความคิดเห็นใดๆ บนสังคมออนไลน์ เนื่องด้วยคอมพิวเตอร์เสียในช่วงน้ำท่วม กทม.  ( 2554 – 2011 ) และได้ยกเลิก Internet ไป ผมจำได้ว่า ปีก่อนมีกระทู้บ่นเรื่องคุณภาพการศึกษาของเด็กไทยเป็นจำนวนมาก ส่วนใหญ่ก็เรื่องเด็กเรียนอ่อน พวกจบ ป.6 อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้บวกลบคูณหารไม่เป็น ไปถึงจบ ป.ตรีสาขาใด แต่ดันไม่รู้จักความรู้พื้นฐานในสาขานั้นๆ

ทว่าสิ่งที่ผมคาใจ และรู้สึกว่าถ้ามีโอกาสจับคอมฯ แล้วไม่ได้ระบายมันออกมา ผมว่าผมคงนอนไม่หลับไปอีกนาน เพราะนี่ก็ผ่านมาเกือบปีแล้ว หากนับจากเดือนกันยายนปีก่อน อันเป็นช่วงที่มีกระแสดังกล่าว นั่นคือบางความเห็นที่บอกว่า เพราะคนสมัยนี้ได้เรียนกันง่ายเกินไป ไม่ว่าจะเป็น กศน. , อาชีวะภาคค่ำ ไปจนถึงบรรดามหาวิทยาลัยเอกชน และรวมทั้ง ม.เปิด อย่างรามคำแหงกับ มสธ. ด้วย

คนเหล่านี้ให้เหตุผลว่า พอเรียนกันง่าย คนก็จบกันเกร่อ แล้วก็ล้นตลาด ขณะที่แรงงานระดับล่างขาดตลาด จนต้องไปเอาคนต่างด้าวมาทำงาน เพราะการศึกษาของคนไทยโดยเฉลี่ยสูงขึ้น ( เดี๋ยวนี้อยู่ที่ ม.6 หรือ ปวช. แล้วครับ ) จึงไม่ยอมทำงาน 3D อันหมายถึง Dirty = สกปรก , Dangerous = อันตราย , Difficult = ลำบาก เช่นงานก่อสร้าง หรืองานประมงกันแล้ว ส่วนงานในสายพานผลิตกับงานบริการ ก็จะเป็นเพียงทางผ่าน ระหว่างที่ยังศึกษาอยู่ และงานดังกล่าวก็มีแนวโน้มจะขาดแคลนมากขึ้นเรื่อยๆ ( ไม่เว้นแม้แต่งานบริการที่เป็นวิชาชีพชั้นสูงอย่างพยาบาล ที่วันนี้คนเรียนน้อยลงมาก ) หากคนไทยยังสามารถหาปริญญาบัตรมาแปะฝาบ้านได้ง่ายๆ เช่นนี้

ถามว่าทำไมแค่ไม่กี่ความเห็น แต่สามารถทำให้ผมนอนหลับไม่เต็มตามาเป็นระยะๆ ได้? คำตอบคงเป็นเพราะว่า..ผมเป็นคนหนึ่งที่ถูกระบบหลัก “คัดออก” และได้รับประโยชน์จาก “สถาบันการศึกษานอกกระแส” เช่นกัน

เล่าย้อนเสียหน่อย ( ต้องขออภัยแฟนประจำกระทู้ผมกับการที่ต้องมาเล่าเรื่องซ้ำๆ ซากๆ ของตัวเองอีกรอบ เผื่อคนที่ยังไม่เคยอ่านกระทู้ผม จะได้เข้าใจหัวอก Loser ผู้นี้ได้มากขึ้น ) ตัวผมเองนั้น แม้กระทั่งวันนี้ก็ตาม ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมคนส่วนมากคิดว่าผมเป็นเด็กเรียน ทั้งที่ผลการเรียนผมแย่มาก แถมเรียนๆ โดดๆ อีกต่างหากในช่วงมัธยมปลาย ซึ่งจริงๆ แล้ว ซึ่งผมสารภาพไว้ตรงนี้เลยครับ ผมเบื่อหน่ายการเรียน ณ เวลานั้นมาก ยิ่งตอนที่ใช้อินเตอร์เน็ตเป็นใหม่ๆ ( 2544 – 2001 : อายุ 16 อยู่ ม.5 ) ผมว่าผมนั่งอ่านกระทู้ที่คนมาถกเถียงกันในเรื่องต่างๆ ตามเว็บบอร์ด + ไปยืนอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ – การเมือง – ปรัชญา ตามร้านหนังสือในห้าง ระหว่างรอชมภาพยนตร์ ผมยังได้ประโยชน์ ได้ความรู้รอบตัวเสียมากกว่าจะไปทนฟังอะไรที่ไม่เข้าใจ และจดจ่อว่าเมื่อไหร่จะหมดคาบซะทีไปวันๆ หนึ่ง

ครับ..ผมเริ่มเป็นกบฏต่อต้านสังคมแบบดื้อเงียบมาตั้งแต่ตอนนั้นแหละครับ สาเหตุง่ายๆ สั้นๆ “ผมโง่คณิตศาสตร์ – วิทยาศาสตร์” เรียกว่าอะไรที่เกินไปจากการบวกลบคูณหารปกติแล้ว จะเป็นถอดราก แคลฯ เวคเตอร์ พาราโบล่า ฯลฯ บลาๆๆ ผมไม่รู้เรื่องเลย ถึงขนาดที่บางเทอมตก แต่บางเทอมก็รอดแบบโคม่า ( ด้วยการส่งงานครบจากการลอกการบ้าน ) และที่บอกว่าผมเป็นคนดื้อเงียบ คือผมคำนวณไว้ตลอด 2 ปีการศึกษา ( ม.5 และ ม.6 ส่วน ม.4 ไปลองดีกับวิทย์ – คณิต ผลคือตกหมดทั้งฟิสิกส์ เคมี ชีวะ คณิตศาสตร์ เลยย้ายไปคณิต – อังกฤษตอน ม.5 ซึ่งมันทำให้ผมเรียนแบบมีความสุขขึ้น เพราะจะหนักแค่คณิตศาสตร์เท่านั้น ) ว่าจะตกแล้วไม่ต้องซ่อมได้กี่หน่วยกิต..แน่นอนผมเผื่อมันไว้สำหรับคณิตศาสตร์โดยเฉพาะ เรียนว่าถ้ามันยากนักก็ไม่ต้องซ่อม เพราะหน่วยกิตพอสำหรับจบ ม.ปลายแน่นอน

แต่ทุกท่านรู้ใช่ไหมครับ? ว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ( สมัยนั้นใช้ระบบเอ็นทรานซ์ ซึ่งผมว่ามันยุติธรรมกับเด็กทุกกลุ่ม และเอื้ออำนวยกับชีวิตด้านอื่นๆ ของวัยรุ่นนอกเหนือจากการเรียน มากกว่าระบบใหม่ในปัจจุบัน ) ไม่ว่าคุณจะอยากเรียนคณะไหน วิชาที่ต้องสอบเป็นภาคบังคับก็คือคณิตศาสตร์ เรียกว่าหนีให้ตายก็หนีไม่พ้น หากคุณยังต้องการไปต่อในระบบ..แน่นอนครับ ผมปฏิเสธระบบตั้งแต่วันนั้น ด้วยการเป็นคนส่วนน้อยในรุ่น ที่ไม่ไปแม้กระทั่งสมัครสอบเอ็นทรานซ์ ( แน่นอนว่ามันทำให้ผมทะเลาะกับท่านแม่ไปพักใหญ่ ซึ่งเป็นครั้งที่สองที่เกี่ยวกับการเรียน ครั้งแรกคือการที่ผมขอย้ายออกจากวิทย์ – คณิต เพราะเรียนไม่ไหว คือท่านแม่ผมแกชอบเปรียบเทียบกับญาติผมคนนึง ที่หัวไม่ดี แต่ยังทนเรียนในสายดังกล่าวต่อไป โดยไปเรียนพิเศษเพิ่ม ซึ่งผมไม่ชอบ เพราะไม่อยากเครียด และเสียเวลาด้านอื่นๆ ของวัยรุ่นไป ) เนื่องจากมีคนแนะนำว่า..ถ้าอยากเรียนมหา’ลัย โดยไม่ต้องเจอคณิตศาสตร์ชั้นสูงยากๆ แบบที่ผมเกลียด ก็ให้ไป ม.รามคำแหง เพราะไม่ต้องสอบเข้า ซึ่งหลังจากนั้นก็ตามที่ผมเล่าแหละครับ ผมจบ ป.ตรีใบแรกที่รามฯ และตอนนี้ก็กำลังเรียน ป.ตรีใบที่สอง จากรามฯ เช่นกัน

นี่เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น ที่ทำให้ผมรู้สึกหวงแหน และเป็นหนี้บุญคุณสถาบันการศึกษานอกกระแสเป็นอย่างมาก จนไม่อาจรับได้หากใครจะมาลบหลู่ดูหมิ่น เพราะถ้าหากวัดตามระบบหลัก ที่ถือว่าคนเก่งคณิตศาสตร์ – วิทยาศาสตร์ได้ คือคนที่ IQ สูง ( ใครไม่เคยวัด IQ ลองไปเล่นที่เว็บนี้ http://www.iqtest.dk/main.swf ) หรือเท่ากับมีสติปัญญาดี เป็นผู้เฉลียวฉลาด สมควรได้รับการส่งเสริมแล้วละก็ ผมที่วัดได้ IQ ไม่เคยเกิน 110 ( เฉลี่ยอยู่ที่ 104 – 107 แต่คนเก่งวิทย์ – คณิตที่พบมา ส่วนใหญ่ได้มากกว่า 110 ทั้งนั้น ) ย่อมต้องเป็นผู้ที่ถูกระบบคัดออก ไม่มีสิทธิ์ได้เรียนจนถึงอุดมศึกษาแน่นอน แต่เพราะมีสถาบันนอกกระแสนี้เอง ผมและอีกหลายๆ คน ที่หัวอกเดียวกับผม จึงมีโอกาสได้สัมผัสปริญญาบัตรบ้าง เฉกเช่นพวกที่ระบบยอมรับทั้งหลาย

ถึงไอคิวจะน้อย ไม่เก่งคำนวณ เขาก็ควรมีสิทธิ์ได้เรียนต่อ ในสาขาอื่นๆ ที่ไม่ได้คำนวณเป็นหลักไม่ใช่หรือ?

แน่นอน..สำหรับผม การสำนึกถึงคุณค่าของสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะอุดมศึกษาเท่านั้น เพราะเมื่อมีโอกาสได้ใช้ชีวิตเป็นแรงงานระดับล่างอยู่ถึง 5 ปีเศษๆ ในช่วงที่เรียน ป.ตรีใบแรก ผมรู้สึกได้ถึงความยากลำบากทั้งทางกายและใจ ของผู้คนระดับรากหญ้าทั้งหลาย

เพราะเรียนมาน้อย จึงต้องทำงานหนักแต่ได้ค่าแรงต่ำๆ , เพราะเรียนมาน้อย จึงมีรายได้น้อย ไม่พอใช้ก็ต้องยืมเงินนอกระบบ ถูกข่มขู่คุกคาม , เพราะเรียนมาน้อย คุณค่าในตัวตนจึงน้อยไปด้วย จะต่อรองอะไรกับใครก็ลำบาก  

ผมจำไม่ได้แล้วว่าใครสอนผมไว้ แต่ผมจำคำที่เขาสอนได้เสมอ “ในเมื่อเกิดมาไม่หล่อ ไม่รวย แถมคนส่วนใหญ่ยังมองว่าเป็นคนไม่ปกติอีก สิ่งเดียวที่จะทำให้ยืนหยัดได้ คือเรียนให้สูงๆ และทำงานอย่างรอบคอบเต็มที่ แล้วใครก็จะว่าอะไรเราไม่ได้” แน่นอนว่าผมไม่เพียงทำตามคำดังกล่าวเท่านั้น แต่ยังพยายามกระตุ้นเพื่อนร่วมงานด้วยกันด้วย

“แกจะเข็นของ แบกของไปแบบนี้ชั่วชีวิตรึไงวะ?” แน่นอน ผมพูดแบบนี้กับทุกคนเสมอ ส่วนใครจะคิดได้หรือไม่ได้ นั่นก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล แต่ถ้ามีใครคิดได้ แล้วหาเวลาไปเรียนอาชีวะภาคค่ำ หรือเรียน กศน.วันอาทิตย์ ฯลฯ ผมก็จะดีใจด้วย และถ้าไม่เข้าใจการบ้านก็มาถามได้ ( ยกเว้นคณิตศาสตร์วิชาเดียว เพราะไม่รู้เรื่องจริงๆ ) ทั้งนี้ในชีวิตผม ก็เคยเห็นคนไม่น้อย ที่ตอนได้เรียนในระบบดันเกเร คิดไม่ได้ในเวลานั้นว่าต้องเรียนสูงๆ ถึงจะได้งานที่ดีๆ ทำ ก็เสียผู้เสียคนกันไป จนวันนึง พอต้องทำงาน ( รวมถึงบางคนอาจจะมีลูก อันเนื่องมาจากความคึกคะนองจนเกิดปัญหาท้องไม่พร้อม ) เจองานหนักเพราะเลือกไม่ได้ ก็มาคิดได้ แล้วก็ไปหาเวลาเรียนทีหลัง ซึ่งก็มีทั้งสำเร็จและไม่สำเร็จ

พวกเขาอาจพลาดพลั้ง เคยเกเร บ้างอาจถึงขนาดต้องอาญาแผ่นดิน ติดคุกตะรางเข้าสถานพินิจ แต่พวกเขาก็มีสิทธิ์ ที่จะกลับตัว และแสวงหาโอกาสที่ดีขึ้นในทางสุจริตไม่ใช่หรือ?

หรือแม้แต่อีกมาก ที่ยังเป็น “ซากปรักหักพัง” จากปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวสมัยก่อน หรือแม้กระทั่งสมัยนี้ ที่ไม่อาจให้ลูกได้เรียนทุกคน ส่วนใหญ่อาจไม่ให้ลูกสาวเรียน เพราะคิดว่าจบสูงๆ ไปก็ต้องไปแต่งงาน ให้สามีเลี้ยงดูอยู่ดี ให้ลูกชายที่ต้องเลี้ยงตัวเองและพ่อแม่เรียนดีกว่า หรือบางครอบครัว พี่คนโตอาจไม่ได้เรียน เพราะต้องส่งน้องๆ เรียน แน่นอนคนที่ไม่ได้เรียน ก็ต้องมาช่วยพ่อแม่ส่งพี่น้องคนอื่นๆ เรียนด้วย ซึ่งก็ต้องขอบคุณสถาบันการศึกษานอกกระแส ไล่ตั้งแต่ กศน. เป็นต้นมา ที่ให้โอกาสคนเหล่านี้ เจียดเงินเก็บส่วนตนอันน้อยนิด ไปเรียนเพื่อยกระดับตัวเองบ้าง

พวกเขาอาจเกิดมาจน ไม่มีโอกาสได้อยู่ในระบบนานเหมือนเพื่อนๆ รุ่นราวคราวเดียวกัน แต่พวกเขาจำต้องจนอยู่เช่นนั้น ไม่สมควรได้รับโอกาสในการพัฒนาตนเองเลยหรือ?

มีคนกล่าวว่า “เพราะทรัพยากรมีจำกัด เราจึงต้องปั้นคนที่มีแววมากที่สุด” อันหมายถึง..เพราะการเข้าระดับอุดมศึกษา อันเป็นก้าวแรกสู่การเป็น “ปัญญาชน” ที่นำไปสู่การเป็น “ชนชั้นนำ”ดังนั้นจึงควรมีแต่หัวกะทิเท่านั้นที่มีสิทธิ์ได้เรียนในระดับดังกล่าว เพื่อจะได้ไม่ต้องมีการออก ( Retire ) กลางคัน จนเสียงบประมาณแผ่นดินที่ใช้อุดหนุนไปโดยเปล่าประโยชน์

แต่อะไรคือตัวชี้วัดที่ยุติธรรมเล่า? เพราะถ้าใช้ระบบกีดกันไม่ให้สถาบันอื่นๆ เปิดสอนบางวิชาชีพตามแบบสถาบันระดับ S หรือ A Class นั่นเท่ากับว่า จะมีแต่เด็กเรียน ( หมายถึงเรียนจริงๆ ทั้งในห้องเพื่อเก็บ GPA ไปใช้อ้างอิง และเรียนพิเศษเพื่อเอาสูตรลัดไปสอบ ) เท่านั้น ที่รอดเข้าไปถึงเป็นส่วนมาก

ส่วนพวกที่เคยพลาดพลั้ง ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุใดก็ตาม ก็จะถูกกดลงเป็นชนชั้นล่างอย่างในอดีต เพราะจะไม่มีทางวัดดวง..ประเภทว่ามาคิดได้ตอน ม.6 หรือมาคิดได้ตอนทำงานแล้ว แล้วพยายามอ่านหนังสือเพื่อสอบเข้าไปใหม่ เพราะทำไปก็ไม่มีประโยชน์ ทั้งในกรณีวิชาชีพที่ต้องสอบเข้าแต่ไม่มีสิทธิ์สอบเพราะหลุดจากวัยระบบหลักมาแล้ว หรือในกรณีที่หากรัฐบาลไหนสักรัฐบาล เกิดบ้าจี้ยกเลิกสถาบันการศึกษานอกกระแสเหล่านี้ เพื่อแก้ปัญหาบัณฑิตล้นตลาดขึ้นมาจริงๆ

ถ้าการศึกษาไม่นำมาซึ่งชีวิตที่ดีขึ้น ( สอบเข้าที่ดีๆ เรียนจบ ได้วุฒิ ไปสมัครงานตำแหน่งสูงๆ เพื่อปรับฐานเงินเดือนให้สูงขึ้น ) ผมว่าก็ไม่รู้จะพยายามไปทำไม เพราะพยายามไปก็ไม่มีช่องทางให้ไต่เต้าไปอยู่ในชีวิตที่ดีกว่า ตราบใดที่บ้านเรา งาน Office รายได้สูงกว่างานแรงงาน มันก็ต้องเป็นเช่นนี้ ดังนั้นทุกคนจึงควรได้รับโอกาส..ส่วนใครจะใช้โอกาสเป็นหรือไม่? ก็แล้วแต่บุญกรรมของแต่ละบุคคล

( มีต่อ )
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่