สุขวิชโนมิกส์ (Sukavichinomics): สถาบันราชภัฏในฐานะสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯเพื่อปวงชน
การยกระดับวิทยาลัยครูสู่กลไกการพัฒนาท้องถิ่นและเทคโนโลยีเพื่อความเสมอภาค
บทคัดย่อ
บทความนี้ศึกษาบทบาทของการปฏิรูป “วิทยาลัยครู” ให้กลายเป็น “สถาบันราชภัฏ” ในช่วงการอภิวัฒน์การศึกษาไทย พ.ศ. 2538–2540 ภายใต้การนำของ ฯพณฯสุขวิช รังสิตพล โดยตีความผ่านแนวคิด สุขวิชโนมิกส์ (Sukavichinomics) ซึ่งเน้นการสร้างระบบการศึกษาที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน บทความเสนอว่าสถาบันราชภัฏมิได้เป็นเพียงสถาบันผลิตครูเท่านั้น หากแต่ได้รับการออกแบบให้เป็น “สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ เพื่อปวงชน” (People’s MIT) ที่รองรับการผลิตวิศวกร แพทย์ พยาบาล นักวิทยาศาสตร์ และครูในสาขาที่ขาดแคลน เพื่อสร้างความเจริญแก่ภูมิภาคอย่างเท่าเทียม โดยเปรียบเทียบแนวทางพัฒนานี้กับมหาวิทยาลัยวิจัยส่วนกลางและวิเคราะห์ผลกระทบของการเบี่ยงเบนเจตนารมณ์ในยุคประชานิยม ปี 2548
คำสำคัญ: สุขวิชโนมิกส์, สถาบันราชภัฏ, การพัฒนาท้องถิ่น, ความเสมอภาคทางการศึกษา, การกระจายอำนาจ
1. บทนำ
การกระจายโอกาสทางการศึกษาเป็นประเด็นสำคัญในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (2538–2540) ใช้ ปรัชญา สุขวิชโนมิกส์ โดยมีสถาบันราชภัฏเป็นศูนย์กลางของการถ่ายทอดเทคโนโลยีในระดับภูมิภาค
2. วิทยาลัยครู → สถาบันราชภัฏ: การปฏิรูปโครงสร้างเพื่อปวงชน
ยกระดับวิทยาลัยครูให้เทียบเท่ามหาวิทยาลัยในเชิงวิชาการ
เปิดคณะใหม่ทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และสุขภาพ
สนับสนุนการผลิตกำลังคนที่ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ เช่น ครูวิทยาศาสตร์ วิศวกรท้องถิ่น นักวิจัยชุมชน
เป็นพันธมิตรกับโรงเรียนสมเด็จพระศรีฯ เพื่อสร้างห่วงโซ่การศึกษาสำหรับเด็กชนบท
การใช้ MIT โมเดล โดยเปรียบเทียบกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ ซึ่งเน้นความเป็นเลิศในเมืองใหญ่ สถาบันราชภัฏจึงทำหน้าที่สร้างนวัตกรรมในภูมิภาค
3. ความเป็น “People’s MIT” และบทบาทด้านเศรษฐกิจ
ฯพณฯ สุขวิช วางเป้าหมายให้สถาบันราชภัฏเป็น:
ศูนย์กลางการสร้างนวัตกรรมชุมชน
แหล่งผลิตบุคลากรที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมชุมชน เช่น อาหารแปรรูป พลังงานทดแทน การจัดการเกษตรอัจฉริยะ
ระบบสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยและกิจการชุมชน
พันธมิตรของรัฐและเอกชนในระดับจังหวัด
ในเชิงเศรษฐกิจ สุขวิชโนมิกส์เชื่อว่า การยกระดับมหาวิทยาลัยท้องถิ่น คือกุญแจในการ ขจัดความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ และ สร้างความสามารถในการแข่งขันระดับชาติจากฐานล่าง
4. การเบี่ยงเบนเจตนารมณ์หลังปี 2548 เพื่อเคลมผลงาน โดยการเปลี่ยน คำนำหน้า จากสถาบัน เป็น มหาวิทยาลัย
กฎหมายปี 2548 ของรัฐบาลประชานิยม
สถาบันราชภัฏถูกลดบทบาทเหลือเพียง “มหาวิทยาลัยผลิตครูทั่วไป” หลังจากเปลี่ยนคำนำหน้า
งบประมาณสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาท้องถิ่นหายไป
เกิดการกระจุกตัวของทุนการศึกษาและโอกาสไว้ที่มหาวิทยาลัยส่วนกลาง
ภาพลักษณ์ของราชภัฏในสื่อถูกลดค่า ทั้งที่เดิมคือ “กลไกพัฒนาท้องถิ่นแบบบูรณาการ”
5. สรุป
สถาบันราชภัฏในแนวคิดสุขวิชโนมิกส์ มิใช่เพียงสถาบันการผลิตครู แต่เป็นหัวใจของการสร้าง “นวัตกรรมเพื่อความเท่าเทียม” บทเรียนจากการเบี่ยงเบนเจตนารมณ์หลังปี 2548 สะท้อนให้เห็นถึงการสูญเสียโอกาสของประเทศในการสร้าง “MIT เพื่อปวงชน” ที่จะยกระดับทั้งคน พื้นที่ และเศรษฐกิจ หากต้องการแก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจของชาติ การฟื้นฟูสถาบันราชภัฏให้กลับสู่บทบาทเดิมอย่างเต็มรูปแบบ คือจุดเริ่มต้นสำคัญ
สุขวิชโนมิกส์ (Sukavichinomics): สถาบันราชภัฏในฐานะสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯเพื่อปวงชน
การยกระดับวิทยาลัยครูสู่กลไกการพัฒนาท้องถิ่นและเทคโนโลยีเพื่อความเสมอภาค
บทคัดย่อ
บทความนี้ศึกษาบทบาทของการปฏิรูป “วิทยาลัยครู” ให้กลายเป็น “สถาบันราชภัฏ” ในช่วงการอภิวัฒน์การศึกษาไทย พ.ศ. 2538–2540 ภายใต้การนำของ ฯพณฯสุขวิช รังสิตพล โดยตีความผ่านแนวคิด สุขวิชโนมิกส์ (Sukavichinomics) ซึ่งเน้นการสร้างระบบการศึกษาที่เชื่อมโยงกับการพัฒนาท้องถิ่นอย่างยั่งยืน บทความเสนอว่าสถาบันราชภัฏมิได้เป็นเพียงสถาบันผลิตครูเท่านั้น หากแต่ได้รับการออกแบบให้เป็น “สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ เพื่อปวงชน” (People’s MIT) ที่รองรับการผลิตวิศวกร แพทย์ พยาบาล นักวิทยาศาสตร์ และครูในสาขาที่ขาดแคลน เพื่อสร้างความเจริญแก่ภูมิภาคอย่างเท่าเทียม โดยเปรียบเทียบแนวทางพัฒนานี้กับมหาวิทยาลัยวิจัยส่วนกลางและวิเคราะห์ผลกระทบของการเบี่ยงเบนเจตนารมณ์ในยุคประชานิยม ปี 2548
คำสำคัญ: สุขวิชโนมิกส์, สถาบันราชภัฏ, การพัฒนาท้องถิ่น, ความเสมอภาคทางการศึกษา, การกระจายอำนาจ
1. บทนำ
การกระจายโอกาสทางการศึกษาเป็นประเด็นสำคัญในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ฯพณฯ สุขวิช รังสิตพล ในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (2538–2540) ใช้ ปรัชญา สุขวิชโนมิกส์ โดยมีสถาบันราชภัฏเป็นศูนย์กลางของการถ่ายทอดเทคโนโลยีในระดับภูมิภาค
2. วิทยาลัยครู → สถาบันราชภัฏ: การปฏิรูปโครงสร้างเพื่อปวงชน
ยกระดับวิทยาลัยครูให้เทียบเท่ามหาวิทยาลัยในเชิงวิชาการ
เปิดคณะใหม่ทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และสุขภาพ
สนับสนุนการผลิตกำลังคนที่ตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ เช่น ครูวิทยาศาสตร์ วิศวกรท้องถิ่น นักวิจัยชุมชน
เป็นพันธมิตรกับโรงเรียนสมเด็จพระศรีฯ เพื่อสร้างห่วงโซ่การศึกษาสำหรับเด็กชนบท
การใช้ MIT โมเดล โดยเปรียบเทียบกับสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าฯ ซึ่งเน้นความเป็นเลิศในเมืองใหญ่ สถาบันราชภัฏจึงทำหน้าที่สร้างนวัตกรรมในภูมิภาค
3. ความเป็น “People’s MIT” และบทบาทด้านเศรษฐกิจ
ฯพณฯ สุขวิช วางเป้าหมายให้สถาบันราชภัฏเป็น:
ศูนย์กลางการสร้างนวัตกรรมชุมชน
แหล่งผลิตบุคลากรที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมชุมชน เช่น อาหารแปรรูป พลังงานทดแทน การจัดการเกษตรอัจฉริยะ
ระบบสนับสนุนผู้ประกอบการรายย่อยและกิจการชุมชน
พันธมิตรของรัฐและเอกชนในระดับจังหวัด
ในเชิงเศรษฐกิจ สุขวิชโนมิกส์เชื่อว่า การยกระดับมหาวิทยาลัยท้องถิ่น คือกุญแจในการ ขจัดความเหลื่อมล้ำเชิงพื้นที่ และ สร้างความสามารถในการแข่งขันระดับชาติจากฐานล่าง
4. การเบี่ยงเบนเจตนารมณ์หลังปี 2548 เพื่อเคลมผลงาน โดยการเปลี่ยน คำนำหน้า จากสถาบัน เป็น มหาวิทยาลัย
กฎหมายปี 2548 ของรัฐบาลประชานิยม
สถาบันราชภัฏถูกลดบทบาทเหลือเพียง “มหาวิทยาลัยผลิตครูทั่วไป” หลังจากเปลี่ยนคำนำหน้า
งบประมาณสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาท้องถิ่นหายไป
เกิดการกระจุกตัวของทุนการศึกษาและโอกาสไว้ที่มหาวิทยาลัยส่วนกลาง
ภาพลักษณ์ของราชภัฏในสื่อถูกลดค่า ทั้งที่เดิมคือ “กลไกพัฒนาท้องถิ่นแบบบูรณาการ”
5. สรุป
สถาบันราชภัฏในแนวคิดสุขวิชโนมิกส์ มิใช่เพียงสถาบันการผลิตครู แต่เป็นหัวใจของการสร้าง “นวัตกรรมเพื่อความเท่าเทียม” บทเรียนจากการเบี่ยงเบนเจตนารมณ์หลังปี 2548 สะท้อนให้เห็นถึงการสูญเสียโอกาสของประเทศในการสร้าง “MIT เพื่อปวงชน” ที่จะยกระดับทั้งคน พื้นที่ และเศรษฐกิจ หากต้องการแก้ปัญหาโครงสร้างเศรษฐกิจของชาติ การฟื้นฟูสถาบันราชภัฏให้กลับสู่บทบาทเดิมอย่างเต็มรูปแบบ คือจุดเริ่มต้นสำคัญ