เรื่องเล่าจาก Aupair(ชาย) ที่ประเทศเยอรมัน ตอนที่ 2

http://pantip.com/topic/30044265      <<<< นี่เป็นเรื่องราวของ ตอนที่ 1 ครับ

        เรื่องราวต่อจากนี้จะสืบเนื่องมาจากตอนแรกทั้งหมดครับ เชิญอ่านกันตามสะดวกครับ เรื่องทุกอย่างผมไม่มีแต่งเติมประสบพบเจอกับตัวเองทั้งหมด ใครเคยเป็นออแพร์มาคงรู้ว่าเหตุการณ์ที่ผมกำลังจะสื่อสารออกมานี้มันทำให้ออแพร์รู้สึกอย่างไรครับ
        คงมีหลายคนที่เคยอ่านเรื่องราวของผมจากกระทู้เก่าและยังคงพอจำบรรยากาศเก่าๆได้ หลังจากที่ผมได้มีโอกาสเล่าเรื่องราวการเป็นออแพร์ไปครั้งที่แล้วและเพียงไม่นานหลังจากนั้นก็มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายทำให้ต้องเรียบเรียงหลายเหตุการณ์เพื่อที่จะมาเล่าสู่กันฟังอีกซักครั้ง จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมันทำให้ผมต้องย้ายครอบครัวใหม่ครับ เรื่อราวทั้งหมดกำลังจะถูกถ่ายทอดอีกครั้งจากชีวิตการเป็นออแพร์ชายของผมครั้งแรกและคงเป็นแค่ครั้งเดียว ^^
    ตามจริงแล้วทุกอย่างในบ้านจะไม่มีปัญหาครับถ้าทุกคนต่างเคารพในหน้าที่ของตนเอง ทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด แต่มันไม่ง่ายแบบนั้นสิครับเมื่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นหัวหน้าครอบครัวไม่ทำหน้าที่การเป็นผู้บริหารระดับสูงแค่นอกบ้าน แต่กลับเอาตำแหน่งของตัวเองนั้นกลับเข้ามาในบ้านและทำงานไปด้วยทุกวัน เน้นนะครับทุกวันไม่มีวันหยุด เค้าว่ากันว่าชาวเยอรมันที่มีบ้านเป็นของตัวเอง มีรถยนต์ราคาแพง ในแต่ละปีจะเสียภาษีค่อนข้างหนัก จริงไหม ? อันนี้ผมก็ขอตอบว่าคงจะจริง เพราะจากที่อยู๋และเห็นมากับตาตัวเอง และนี่ก็คงเป็นส่วนหนึ่งให้ในบ้านที่ผมอาศัยอยู่นั้นไม่ค่อยสงบสุขซักเท่าไหร่ เพราะคนเป็นพ่อชอบพูดอยู่เสมอว่า เค้าทำงานคนเดียว เค้าเหนื่อย ไม่มีใครช่วยเค้า รายจ่ายในบ้านมีแต่เค้า แต่ผู้เป็นภรรยาซึ่งทำงานอยู่บ้านอาจารย์สอนดนตรีคลาสสิคและไม่ต้องเสียภาษีมักจะแอบมานินทาสามีให้ผมฟังบ่อยๆว่า "ชั้นไม่เข้าใจว่าเค้าจะบ่นทำไม ชั้นเองก็ทำงานและชั้นก็รู็สึกว่าชั้นทำมากกว่าเค้า ชั้นต้องทำกับข้าว ทำงานบ้าน ไปรับ-ส่งเด็กๆ ไหนจะต้องคอยไปซุปเปอร์มาเก็ต พาเด็กๆไปหาหมอ ช้นเหนื่อยแต่ชั้นก็ยังไม่บ่นเลย" ผมก็คิดในใจว่า หรอ ? ที่พูดอยู่นี่ไม่บนหรอ ? ฮ่าๆๆๆ เธอคนนี้แหละครับที่ทำให้ชีวิตผมวุ่นวายครั้งแล้วครั้งเล่า เริ่มจากครั้งแรกตอนผมมาถึงใหม่ๆ เธอบอกผมว่า "เราอยู่กันเหมือนครอบครัวนะ มีเรื่องอะไรจะพูดจะปรึกษาคุยกับชั้นได้ทุกเรื่อง ไม่ต้องเกรงใจนะ" ผมก็เอาสิผมอยากเรียนที่นี่หนิก็เลยจัดการซะเลย ช่วงเข้าเดือนที่ 2 ผมไปปรึกษาเธอว่า "ผมอะลังเลระหว่างเรียนพวกสังศาสตร์กับบริหารหนะคุณว่าเรียนแบบไหนดี หางานทำง่ายไหม ?" เธอถามผมว่า " เธอชอบอะไร" ผมก็เลยบอกตรงๆว่า "ชอบเรียนสายสังคมมากกว่า แต่บริการแค่ต้องเรียนเพราะคิดว่าหางานง่าย" ส่วนตัวผมแล้วจบสาขาโลจิสติกส์มาจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ว.จักพงภูวนารถ ไอตอนเรียนหนะก็เรียนเพราะแม่ผมบอกว่าสาขานี้น่าจะดีกว่าไปเรียนพวกสายสังคมนะแม่ว่า และที่เรียนที่นี่ก็เพราะมันแอดมิดชั่นติด ค่าเทอมไม่แพงและก็ บลาๆๆๆๆๆ แต่ที่ถูกใจแม่มากคือ รับพระราชทานปริญญาบัตรจากสมเด็จพระเทพฯ ตัดไปเรื่องสถาบันมาต่อเรื่องราวของผม ..... กลับมาเยอรมันกันครับ ฮ่าๆๆๆ เธอก็ตอบผมมาว่า "งานมันก็มีให้ทำแต่เงินจะไม่มีดีเท่าเธอเรียนพวก วิศวกร เทคโดโนลี หรือ อะไรที่เกี่ยวของกับอุตสาหกรรมยานยนตร์นะ" ผมได้ฟังดังนั้นก็เก็บเอามาคิดอยู่พอสมควร ผมบ้าบอเรื่องจะเรียนต่ออยู่ 2-3 เดือนเห็นจะได้ ผมจะเดินไปคุยกับเธอทุกวันหลังกินข้าว ไม่ค่อยไปคุยกับคนเป็นพ่อเพราะพอเค้ากินข้าวเสร็จเค้าขึ้นไปชั้นบนเพื่อไปทำงานของเค้าต่อ ระหว่างที่ผมอยู่ในบ้านหลังนี้ มันก็มีเรื่องราวให้รำคาญคือ สามีและภรรยาคู่นี้มักจะทะเลาะกันกลางวงข้าวตอนค่ำ โดยไม่สนว่าจะมีใครนั่งอยู่ด้วย ซึ่งปกติจะเป็น ผม ลูกเค้า 2 คน และพวกเค้าเอง บางวันจะมีคุณย่ามากินข้าวด้วย เฉลี่ยก็อาทิตย์ละ 2 วันคุณย่าจะมา(คุณย่านี่ก็ตัวแซบเดี๋ยวมาต่อให้ฟัง) ประเด็นในการทะเลาะกันก็จะเรื่องเดิมๆคือ เงินและลูก เรื่องเงินก็จะมาจากที่ผมบอกหนะครับฝ่ายชายจะชอบว่าฝ่ายหญิงว่าทำงานน้อย ทำไมไม่สอนให้ได้เยอะกว่านี้ ฝ่านหญิงก็จะเถียงไปว่าชั้นทำไม่ได้ ชั้นต้องทำกับข้าว ทำงานบ้าน รีดผ้า ดูดฝุ่น และก็อยากมีเวลาอยู่กับลูกๆบ้าง พอมาเรื่องลูกก็คือ ฝ่ายหญิงจะเป็นแนวพูดไปสอนไปจะไม่ตีและดุลูก แต่ฝ่ายชายจะเน้นฟาดๆๆๆๆๆเป็นหลัก ไล่เข้าห้อง ข้าวไม่กิน โหดม่ะ ? เรื่องมันน่าสมเพสมากกว่านั้นเพราะน้องๆที่ผมดูแลไม่ใช่ลูกเค้า เค้าไปเอาน้องๆมาจากเมืองไทยเอามาเลี้ยง ผมอะสงสารน้องเพราะต้องเห็นพ่อแม่ทะเลาะกันแบบนี้ประจำ ผมหนะเหรอเท่าที่จำความได้เห็นพ่อกับแม่ผมเองทะเลาะครั้งเดียวเท่านั้นและก็ไม่เคยเห็นอีกเลย หลังจากที่เค้าทะเลาะกันเสร็จฝ่ายหญิงจะร้องไห้เล่นเอ็มสิควิดีโอ เล่าเรื่องราวต่างๆให้ผมฟังอีกรอบโน้นนี่นั้น "ชั้นอยากเลิกกับเค้า แต่ชั้นสงสารลูกๆ และที่สำคัญชั้นไม่มีที่จะไปเพราะบ้านหลังเก่าเป็นชื่อเค้าคนเดียว แต่หลังนี้ชั้นและเค้าเป็นเจ้าของบ้าน" แต่เท่าที่ผมทราบเวลาชาวเยอรมันเค้าจะหย่าร้างกัน เรื่องราวมันใหญ่โตมากยิ่งถ้าบ้านหลังไหนรวยๆนี่บอกเลยว่า จะมีแต่เรื่องทรัพย์สมบัติทั้งนั้น... และพอเธอเล่าจบเล่นละครจบเธอมักจะบอกผมเสมอว่า "เธอสัญญานะว่าเธอจะไม่บอกสามีชั้น ถ้าเค้ารู้ชั้นนึกไม่ออกเลยว่าเค้าจะทำอะไรชั้น" ตอนนั้นอะผมไม่ได้คิดอะไรหรอกผมสงสารเค้าก็มาบีบน้ำตาใส่ผมอะ เค้าเคยให้ผมช่วยส่งรูปขวดเหล้าที่สามีเธอดื่มไปให้เพื่อนของเธอเพราะเธอส่งเมลล์พร้อมแนบรูปภาพไม่เป็น เธอบอกว่าเอาไว้เป็นหลักฐานหากเวลาเธอมีปัญหาจริงๆจะได้จัดการสามีเธอได้ (เหรอวะ ? เห็นกลัวหัวหดตลอดเลยไม่กล้าทำซักที )
    ผมทนอยู่ในสภาพแบบนี้อยู่ 3 เดือนเต็มๆ เพราะถึงเยอรมันตั้งแต่ 18 พ.ย. 2012 หลังจากผมถึงได้อาทิตย์เดียว เค้าก็ต้อนรับโดนการทุบโต๊ะกินข้าวตอนเย็นและชี้หน้าด่ากันให้ผมดู เหตุการณ์ผ่านๆไปในแต่ละวัน สนุกบ้าง รำคาญบ้าง จิตตกบ้าง จนมาถึงสิ้นเดือนมกราคม ผมเองเริ่มไม่สนุกและรำคาญมากเพราะความไม่รู้จักคำว่าเกรงใจของสามีภรรยาคู่นี้ เรื่องเด็กตัดทิ้งเลยเพราะผมไม่เอามาเป็นประเด็นมากมาย ผมไปพูดเลยว่า"ทำไมคุณทะเลาะกันต่อหน้าลูกๆแบบนี้และชั้นเองก็ไม่สบายใจรู้สึกไม่ค่อยดี ชั้นเป็นออแพร์นะมาอาศัยบ้านของเธอยู่แต่เห็นเธอทะเลาะกันบ่อยมากจะให้ชั้นตัวเองยังไง" ฝ่ายแม่ได้แต่บอกว่า "อายผม ขอโทษ ไม่อยากให้เป็นแบบนี้เลยแต่สามีเค้าไม่หยุดและไม่พร้อมที่จะพูดคุยดีๆ" เธอเล่นละครฉากใหญ่ใส่ผมตลอดเวลา พอพูดอะไรจบก็มักจะบอกว่า "เธออย่าบอกสามีชั้นนะ ชั้นจะเก็ยเรื่องราวของเราเอาไว้รู้แค่เรา  2 คน มีอะไรเราจะปรึกษากัน" ผมอะลืมตัวตลอดพอเห็นน้ำตาเค้าผมก็ลืมแล้ว ลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าเค้า  2 คนเป็นสามีภรรยากันแล้วกูเป็นใครวะ ออแพร์ปะวะ ? อะไรเนียะ ....​ ผมมามีปัญหากับเค้าอีกเรื่องอาหาร เนื่องจากที่ผ่านมาผมไม่พูดว่ากินไม่ได้แต่ฝืนกินมาตลอดจนมารู้อีกทีน้ำหนักผมหลายไป 5-6 กิโลกรัม ผมเลยตัดสินใจบอกเค้าไปว่า "ผมไม่กินขนมปังแล้วนะ ขอกินข้าวแทน ผมเบื่อขนมปัง ผมกินทุกวันแบบนี้ไม่ได้หรือไม่ก็ให้ผมทำกับข้าวกินเองไม่ขอร่วมโต๊ะอาหารด้วยได้ไหม" พอจบประโยคที่ผมพูดไปเค้าตอบกลับมาว่า "หลังจากอาหารเย็นเราขอคุยอะไรกับเธอหน่อยนะ" ผมก็คิดในใจว่าเออดีเหมือนกันจะพูดให้หมด เค้าถามผมว่ามี "ปัญหาอะไรรึเปล่าดูเราไม่ค่อยร่าเริงเหมือนเก่า" ผมก็บอกว่า "ผมไม่ชอบว่าเวลาที่พวกคุณทะเลาะกันมันเป็นเวลากินข้าวเย็น ผมเป็นคนนอกจะให้ผมทำยังไง" คนพ่อตอบมาว่า "แต่เราก็ไม่ได้ว่าอะไรเธอหนิแล้วมันก็เรื่องของเราด้วยไม่เกี่ยวกับเธอ" ผมก็...อ่าวไอเชี้ยทำไมพูดจาแบบนี้อะ .... แต่ก็ตอบกลับไปว่า "อืมๆเรื่องของคุณ" คำถามต่อมา "ทำไมเธอถึงมีปัญหาเรื่องกับข้าวเพราะที่ผ่านมาเธอก็กินมาตลอดนะไม่เห็นเธอพูดอะไร" ผมก็บอกว่า "ใช่ แต่มันไม่ใช่อาหารหลักของผม ผมอยากกินข้าวบ้าง ผมเบื่อขนงปัง สลัด แฮม ชีท" คนที่อึ้งกับคำตอบคือฝ่ายแม่ครับเพราะเธอคิดมาตลอดว่าอาหารของเธออร่อยมาก ใครมาบ้านเธอจะชมเสมอว่าเธอทำกับข้าวอร่อย เหอะๆบ้าไปแล้ว ผมคงนึงอะไรไม่อะ ไม่เคยเอ่ยปากว่าอร่อยยิ้มบ้าอะ จะให้อร่อยไปซะทุกอย่าง พอเราคุยกับจนเรื่องมันไม่จบเท่านี้  หลังจากนั้นโฮสพ่อเริ่มเข้ามาวุ่นวายกับชีวิตผมมาบอกให้เขียนแผรการเรียน มาพูดว่าเธอจะออกจากบ้านทุกวันหยุดไปกับเพื่อนทำไมมันไร้สาระไม่มีประโชยน์ ทำไมเธอเล่นอินเตอร์เน็ตเยอะจังมันไม่มีประโยชน์ ทำไมเธอไมกินอาหารเย็นอีกแล้ว ภรรยาชั้นว่าเธอกินอาหารน้อยลง(ก็กูบอกแล้ว่าไม่ชอบก็ไม่หยุดหนิ บังคับให้กูกินอะ) ทำไมเธอชอบเอาขนมปังมาวางประกบกันเหมือนพวกร้านแมคโดนัล(มันเป็นทางเดียวที่จะทำให้อาหารมื้อนั้นของผมดูเสมือนว่าผมอร่อยดี หลอกตัวเองไปวันๆ) จนผมไม่ไหวเลยขอคุยและอธิบายเรื่องราวทั้งหมด ผมบอกว่า "ชั้นเกิดและโตที่เมืองไทย 20 กว่าปีชั้นกินข้าวมาตลอด มีแค่บางวันเท่านั้นที่กินขนมปังหรืออาหารเช้าแบบอเมริกันสไตล์และชั้นก็กินผักเกือบทุกชนิดที่เมืองไทยแต่ไม่ใช่ทุกชนิดของเยอรมันเพราะชั้นไม่ชอบ มีแค่แตงกวา แครอท กับ ผักกาดเท่านั้นที่ชั้นกินได้ ทำไมคุณอยากรู้เรื่องแผนการเรียนของชั้นเกิดอะไรขึ้น ผมออกจากบ้านไปกับเพื่อนก็ไปเฉพาะวันหยุดหรือเวลาที่ผมเลิกงานแล้ว อินเตอร์เน็ตก็เล่นเฉพาะเวลาว่างและไม่ใช่เวลาทำงานหรือเล่นในวันหยุด อะไรคือปัญหาเหรอ ?"
    ผมรู้นะว่าเค้าเริ่มไม่พอใจเพราะปกติผมเป็นคนยิ้มๆไม่พูดมากจะพูดแค่เรื่องลูกเค้าในแต่ละวันเท่านั้น ปัญหามันเริ่มบานปลายเพราะฝ่ายหญฺงกลับนำเรื่องราวของผมเวลาที่ผมไปปรึกษาเธอเรื่องเรียนต่อไปเล่าให้สามีฟัง มีอยู่วันนึงฝ่ายชายขอคุยกับผมอีก เชื่อไหมว่าผมโดนเรียกคุยเรื่องราวเดิมคือ อาหาร อาหาร และอาหาร เค้าเปิดประเด็ดเรื่องอาหารอีกครั้งผมก็ยืนยันคำตอบเดิมคือไม่เปลี่ยนและไม่ต้องมาปรับอะไรให้ผม ผมจะเลือกกินของบนโต๊ะที่กินได้ เค้าพูดกับผมว่าแล้วจะให้เค้าอธิบายลูกๆเค้ายังไงว่าทำไมผมถึงไม่กินทุกอย่างบนโต๊ะ ผมก็บอกว่า "เธอบอกลูกเธอไปสิว่า ชั้นเป็นคนไทย ชั้นกินอาหารที่นี่ได้เก่ง แต่ก็พยายามฝึกกินอยู่" เค้าพูดกลับมาอีกว่า "ตอนนี้ลูกชั้นจะเลือกกินเหมือนเธอแล้วนะะ" ผมก็บอกไปว่า " นั้นมันปัญหาของคุณ สรุปแล้วที่มีปัญหากับผมเรื่องอาหารเพราะคุณไม่สามารถอธิบายลูกๆของคุณได้เหรอถึงมาบังคับให้ผมต้องกินทุกอย่างบนโต๊ะอาหาร" แล้วเค้าก็หยุดพูดเรื่องอาหาร เปลี่ยนมาเรื่องเรียนของผมเค้าเปิดคำถามมาว่า "เธอไปคุยกับภรรยาชั้นเหรอว่า อยากเรียนต่อที่นี่" ผมก็ตอบว่า "ใช่ มีอะไรรึเปล่า" ทีนี้ยาวครับ "เธอมาเป็นออแพร์นะ เธอควรจะสนใจเรื่องดูแลเด็กๆมากกว่าเรื่องเรียนของเธอ เธอต้องมาช่วยพวกเราไม่ใช่มารบกวนพวกเราแบบนี้ ภรรยาชั้นไม่มีเวลามาคุยกับเธอเรื่องพวกนี้บ่อยๆหรอกนะมันเสียเวลาเค้า" จบประโยคนี้ผมสะอึกเลยนะครับ ตอนนั้นในใจคิดถึงหน้าฝ่ายภรรยาอย่างเดียวว่า ไหนว่าจะเก็บไว้เป็นเรื่องของเรา เอาไว้ปรึกษากันไง พอได้สติคืนมาผมเลยตอบกลับไปครับว่า "ออแพร์มาแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ภาษา ท่องเที่ยว และดูแลน้องๆแค่ 30 ชั่วโมงต่อวีค เพื่อแลกกับเงินเพียง 260 ยูโร ไม่ใช่มาทำแต่งานอยู่แต่ในบ้านและทุกวันนี้ชั้นก็ทำงานเกิน 30 ชั่วโมง ไปถามภรรยาเธอดูสิ" แล้วเค้าก็เงียบไปครับ ผมก็เลยบอกว่า "ผมขอตัวไปนอนพรุ่งนี้มีเรียนอีก ราตรีสวัสดิ์" แล้วผมก็เดินออกจากโต๊ะสนทนาออกมา ส่วนตัวแล้วผมมองว่ามันมากไปมาวุ่นวายอะไรเรื่องส่วนตัวขนาดนี้ ทีผมทำงานเกินเวลาผมไม่เคยไปร้องขอเงินเพิ่มเลย(เพราะรุ้ว่ามันไม่ได้หรอกอย่าเสียเวลาไปพูดเพราะเค้าจะอ้างเรื่องค่าเรียนว่าเค้าจ่ายให้นะ) เวลาผมเถียงกับฝ่ายพ่อที่โต๊ะ ฝ่ายแม่เค้าจะไม่ลงมาด้วยแต่เค้าจะนั่งอยู่ข้างบนฟังอย่างเดียว ผมเองก็ทำตัวเหมือนเดิมเพราะถือว่าหน้าที่ไม่ได้บกพร่องอย่ามาวุ่นวายเรื่องส่วนตัว จนวันอาทิตย์หลังจากกลับจากบ้านเพื่อนก็เห็นเค้าทะเลาะกันอีก แต่ครั้งนี้มันไม่จบแค่ตรงนั้นมันรุกรามมาถึงผมด้วย


** ผมขออนุญาตมาต่อตอนที่ 3 ครั้งหน้านะครับ ขอบคุณทุกๆคนเลยครับที่เข้ามาอ่านจนจบ **
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่