เพิ่งลงเครื่องมาจากโฮจิมินท์ หลังจากใช้แต้มแลกตั๋วไปเที่ยวดาลัท-มุยเน่ ตั้งแต่วันที่ 22 กพ. รวม 5 วัน 4คืน เป็นทริปที่ใช้งบน้อยมาก รวมทุกอย่างแล้วสองคนตายายใช้ไปประมาณ 20,000 บาทแค่นั้น (ไว้ค่อยรีวิวมาอีกครั้ง) แต่ที่ต้องรีบรีวิวมาก่อนก็เพราะเจอเรื่องที่ปวดตับจริงๆ ขืนรอรีวิวพร้อมเรื่องเที่ยวเป็นอันนอนไม่หลับไปอีกหลายคืน (ด้วยความระบบตับ) และเพื่อเป็นบทเรียนให้แก่น้องๆที่กำลังจะตามรอยไปเที่ยวแบบถูกสุดอันเนื่องมาจากโปรฯแต้มแลกตั๋ว จะได้ระมัดระวังมากเป็นพิเศษ
อารัมภบทมาพอให้หายเซ็งได้นิดหน่อยก็เริ่มเลยละกัน
ตัวเองมีอาชีพเป็นครู(ใกล้เกษียณ )ไปคราวนี้จังหวะพอดีกับที่กำลังจะปิดภาคเรียนหลังสอบไล่เสร็จ เลยถือโอกาสลาพักไปเที่ยวและบอกเด็กนักเรียนชั้น ม.6 ที่ตัวเองเป็นครูประจำชั้นว่าจะซื้อของมาฝากเป็นที่ระลึกก่อนจบ ซาวเสียงกันในชั้นแล้วปรากฏว่าอยากได้หมวกดาวแดง ครูก็ไปตระเวนต่อราคาในตลาดเบ็นถาน จนได้มา 30 ใบเท่าจำนวนนักเรียนในชั้น /ได้ชีส
ตราวัวมาฝากลูกสาวข้างบ้านและหลานตัวเองอีก 5 อัน /ได้ชาแห้งมาฝากเจ้านาย 2 ห่อ/กาแฟยอดฮิตฝากเพื่อน 2 กล่อง
และกาแฟขี้ชะมดแสนแพงสำหรับตัวเอง 200 กรัม
ทั้งหมดห่อรวมกันในกระเป๋าเดินทางใบเดียวไม่ได้แยกใส่ถุงต่างหาก เพราะตัวเองมีกระเป๋าสะพายแล้ว 1 ใบใหญ่ขนาดใส่ไอแพดได้ และกระเป๋าแฮนด์แบคใส่ของกระจุกกระจิกพวกผ้าพันคอ เครื่องสำอางค์ ยา อีกหนึ่งใบ ขณะผ่านเข้าเกทขึ้นเครื่อง ก็โดนคุณเจ๊ที่เคาน์เตอร์เรียก เราก็ชี้แจงว่าที่สะพายอยู่นี่เป็นกระเป๋าใส่แลปท้อบ และที่ถือนี่เป็นแฮนด์แบค เจ๊บอกว่าคุณถือได้ 1 ใบเท่านั้น อาจเป็นเพราะเห็นเราพะรุงพะรัง กระเป๋าก็ดูอ้วนๆบวมๆเลยเอาเครื่องชั่งน้ำหนักออกมาชั่ง ปรากฎว่าเกินมา 1 กิโลกรัมจริงๆ แล้วให้เราเปิดให้ดู เราก็บอกว่างั้นเราทิ้งของบางอย่างก็ได้ (ในใจก็นึกว่าจะทิ้งไรดี จะทิ้งหมวกก็อุตส่าห์รับปากเด็กนักเรียนแล้ว ส่งรูปให้ดูแล้วด้วย จะทิ้งกาแฟชะมดก็ทิ้งไม่ลง) เลยแยกเสื้อผ้าตัวเองออก กะยอมทิ้งละ แต่เจ๊แกก็ไม่ยอม บอกว่าไม่มีที่ให้ทิ้ง เราต้องจ่ายค่าน้ำหนักเกิน 36 Usd.เราต่อรองว่าลดให้ได้มั้ยเพราะไม่ได้เกินมากมาย เจ๊ก็ยืนยันไม่ได้ลูกเดียว ซ้ำยังขู่อีกนะว่าถ้ายูไปจ่ายที่เช็คอิน จะแพงกว่านี้ เราก็เกรงใจผู้โดยสารอื่นๆที่ขึ้นเครื่องกันไปหมดแล้ว ก็เอาวะจ่ายก็จ่าย ผีถึงป่าช้าแล้วนี่ ไม่เผาก็ฝังละ แต่พอจะจ่ายเป็นแบงค์ 100 usd.ก็บอกไม่มีทอน จะให้รูดการ์ดก็บอกว่าไม่มีเครื่องรูด ต้องเสียเวลาลงไปรูดนอกเกท เรากำลังงงๆเจ๊แกก็เหลือบดูในกระเป๋าเงินเราแล้วบอกจ่ายเป็นไทยก็ได้ 1,200 บาท ... ตกลงเลยโดน(ปล้น)ไป 1,200 บาท แล้วบอกจะส่งบิลมาให้ทาง อีเมล์ (หวังว่าคงได้บิลในไม่ช้านี้) ถ้าไม่ได้คงมีตอน 2 มาเล่าต่อ
เล่ามาทั้งหมดนี่ ไม่ใช่เพื่อขอความเห็นใจหรือตัดพ้อต่อว่าใคร แค่อยากให้เป็นการแบ่งปันประสบการณ์ให้แก่นักท่องเที่ยวที่ได้มาอ่าน ดังเช่นเราก็เคยอ่านรีวิวของหลายท่านมาก่อนหน้านี้ แล้วเก็บไปเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในการท่องเที่ยว แต่ไม่คิดเลยว่าที่เคยอ่านมาจะเจอกับตัวเราเอง งานนี้ต้องเรียกว่ากิ้งกือตกท่อของจริง เพราะเราเดินทางกับหางแดงมาไม่น้อยเลย ไม่เคยมีเรื่องให้ปวดใจอย่างคราวนี้ แต่ก็ไม่ซีเรียสมากมายเพราะส่วนหนึ่งต้องยอมรับกติกาที่รู้อยู่แก่ใจ เลยคุยขำๆกับพ่อบ้านว่าคิดเสียว่าจ่ายค่าเครื่องไป-กลับกรุงเทพฯ-โฮจิมินท์ สองคน 5,000 บาท(จากที่แลกแต้มมาที่ราคา 3,800) ก็ยังถือว่าเที่ยวราคาถูกอยู่ดี
โดนจนได้ น้ำหนักเกิน โดนปรับไป 1,200 บาท
อารัมภบทมาพอให้หายเซ็งได้นิดหน่อยก็เริ่มเลยละกัน
ตัวเองมีอาชีพเป็นครู(ใกล้เกษียณ )ไปคราวนี้จังหวะพอดีกับที่กำลังจะปิดภาคเรียนหลังสอบไล่เสร็จ เลยถือโอกาสลาพักไปเที่ยวและบอกเด็กนักเรียนชั้น ม.6 ที่ตัวเองเป็นครูประจำชั้นว่าจะซื้อของมาฝากเป็นที่ระลึกก่อนจบ ซาวเสียงกันในชั้นแล้วปรากฏว่าอยากได้หมวกดาวแดง ครูก็ไปตระเวนต่อราคาในตลาดเบ็นถาน จนได้มา 30 ใบเท่าจำนวนนักเรียนในชั้น /ได้ชีส
ตราวัวมาฝากลูกสาวข้างบ้านและหลานตัวเองอีก 5 อัน /ได้ชาแห้งมาฝากเจ้านาย 2 ห่อ/กาแฟยอดฮิตฝากเพื่อน 2 กล่อง
และกาแฟขี้ชะมดแสนแพงสำหรับตัวเอง 200 กรัม
ทั้งหมดห่อรวมกันในกระเป๋าเดินทางใบเดียวไม่ได้แยกใส่ถุงต่างหาก เพราะตัวเองมีกระเป๋าสะพายแล้ว 1 ใบใหญ่ขนาดใส่ไอแพดได้ และกระเป๋าแฮนด์แบคใส่ของกระจุกกระจิกพวกผ้าพันคอ เครื่องสำอางค์ ยา อีกหนึ่งใบ ขณะผ่านเข้าเกทขึ้นเครื่อง ก็โดนคุณเจ๊ที่เคาน์เตอร์เรียก เราก็ชี้แจงว่าที่สะพายอยู่นี่เป็นกระเป๋าใส่แลปท้อบ และที่ถือนี่เป็นแฮนด์แบค เจ๊บอกว่าคุณถือได้ 1 ใบเท่านั้น อาจเป็นเพราะเห็นเราพะรุงพะรัง กระเป๋าก็ดูอ้วนๆบวมๆเลยเอาเครื่องชั่งน้ำหนักออกมาชั่ง ปรากฎว่าเกินมา 1 กิโลกรัมจริงๆ แล้วให้เราเปิดให้ดู เราก็บอกว่างั้นเราทิ้งของบางอย่างก็ได้ (ในใจก็นึกว่าจะทิ้งไรดี จะทิ้งหมวกก็อุตส่าห์รับปากเด็กนักเรียนแล้ว ส่งรูปให้ดูแล้วด้วย จะทิ้งกาแฟชะมดก็ทิ้งไม่ลง) เลยแยกเสื้อผ้าตัวเองออก กะยอมทิ้งละ แต่เจ๊แกก็ไม่ยอม บอกว่าไม่มีที่ให้ทิ้ง เราต้องจ่ายค่าน้ำหนักเกิน 36 Usd.เราต่อรองว่าลดให้ได้มั้ยเพราะไม่ได้เกินมากมาย เจ๊ก็ยืนยันไม่ได้ลูกเดียว ซ้ำยังขู่อีกนะว่าถ้ายูไปจ่ายที่เช็คอิน จะแพงกว่านี้ เราก็เกรงใจผู้โดยสารอื่นๆที่ขึ้นเครื่องกันไปหมดแล้ว ก็เอาวะจ่ายก็จ่าย ผีถึงป่าช้าแล้วนี่ ไม่เผาก็ฝังละ แต่พอจะจ่ายเป็นแบงค์ 100 usd.ก็บอกไม่มีทอน จะให้รูดการ์ดก็บอกว่าไม่มีเครื่องรูด ต้องเสียเวลาลงไปรูดนอกเกท เรากำลังงงๆเจ๊แกก็เหลือบดูในกระเป๋าเงินเราแล้วบอกจ่ายเป็นไทยก็ได้ 1,200 บาท ... ตกลงเลยโดน(ปล้น)ไป 1,200 บาท แล้วบอกจะส่งบิลมาให้ทาง อีเมล์ (หวังว่าคงได้บิลในไม่ช้านี้) ถ้าไม่ได้คงมีตอน 2 มาเล่าต่อ
เล่ามาทั้งหมดนี่ ไม่ใช่เพื่อขอความเห็นใจหรือตัดพ้อต่อว่าใคร แค่อยากให้เป็นการแบ่งปันประสบการณ์ให้แก่นักท่องเที่ยวที่ได้มาอ่าน ดังเช่นเราก็เคยอ่านรีวิวของหลายท่านมาก่อนหน้านี้ แล้วเก็บไปเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยในการท่องเที่ยว แต่ไม่คิดเลยว่าที่เคยอ่านมาจะเจอกับตัวเราเอง งานนี้ต้องเรียกว่ากิ้งกือตกท่อของจริง เพราะเราเดินทางกับหางแดงมาไม่น้อยเลย ไม่เคยมีเรื่องให้ปวดใจอย่างคราวนี้ แต่ก็ไม่ซีเรียสมากมายเพราะส่วนหนึ่งต้องยอมรับกติกาที่รู้อยู่แก่ใจ เลยคุยขำๆกับพ่อบ้านว่าคิดเสียว่าจ่ายค่าเครื่องไป-กลับกรุงเทพฯ-โฮจิมินท์ สองคน 5,000 บาท(จากที่แลกแต้มมาที่ราคา 3,800) ก็ยังถือว่าเที่ยวราคาถูกอยู่ดี