6 สาเหตุหลักที่ทำให้ YouTube Shorts ได้วิวต่ำกว่า 1,000

กระทู้สนทนา


เคยไหมที่นั่งหลังขดหลังแข็งตัดต่อวิดีโอสั้นหรือ Shorts อย่างตั้งใจ กะว่าโพสต์ปุ๊บยอดวิวต้องพุ่งปั๊บ แต่ความเป็นจริงกลับโหดร้าย เพราะผ่านไปหลายชั่วโมงหรือหลายวัน ยอดวิวก็ยังวนเวียนอยู่แค่หลักสิบหรือหลักร้อย ไม่ถึง 1,000 วิวสักที ปัญหานี้เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดใจสำหรับคนทำคอนเทนต์ทุกคน แต่เชื่อเถอะว่าคุณไม่ได้เผชิญปัญหานี้อยู่คนเดียว และที่สำคัญคือมันมีทางแก้

จากประสบการณ์ของครีเอเตอร์ที่ปั้นช่อง Shorts จนมียอดวิรวมกว่า 75 ล้านวิวและผู้ติดตามกว่า 200,000 คน เขาได้ค้นพบสาเหตุหลัก 6 ประการที่ทำให้คลิปของคุณถูกอัลกอริทึมมองข้าม วันนี้เราจะมาเจาะลึกกันทีละข้อแบบละเอียด เพื่อให้คุณนำไปปรับใช้และปลุกช่องของคุณให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง โดยไม่ต้องพึ่งไสยศาสตร์ แต่พึ่งหลักการตลาดและอัลกอริทึมล้วนๆ

 ปัญหาใหญ่เรื่อง View to Swipe Ratio ที่คนส่วนมากมองข้าม
สิ่งแรกที่เราต้องทำความเข้าใจคือหัวใจสำคัญของอัลกอริทึม YouTube Shorts นั่นคือค่าที่เรียกว่า View to Swipe Ratio หรืออัตราส่วนระหว่างคนที่หยุดดูเทียบกับคนที่ปัดทิ้ง นี่คือตัวชี้วัดที่โหดหินที่สุดแต่ก็ยุติธรรมที่สุดเช่นกัน

 ความสำคัญของตัวเลข 70 เปอร์เซ็นต์
ลองจินตนาการภาพตามว่า YouTube เหมือนกับพนักงานขายที่ต้องการเสิร์ฟสินค้าที่ลูกค้าชอบที่สุด ถ้าคลิปของคุณถูกส่งไปให้คนดู แล้วคนส่วนใหญ่เลือกที่จะปัดทิ้งทันที นั่นเป็นการส่งสัญญาณบอกระบบว่า คลิปนี้ไม่น่าสนใจ ระบบก็จะหยุดนำส่งคลิปของคุณทันที
เกณฑ์มาตรฐานที่วัดว่าคลิปของคุณ พอใช้ได้ หรือไม่ อยู่ที่ 70 ต่อ 30 หมายความว่าใน 100 คนที่เห็นคลิป ต้องมีคนหยุดดูอย่างน้อย 70 คน และปัดทิ้งไม่เกิน 30 คน ถ้าตัวเลขของคุณต่ำกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ โอกาสที่คลิปจะถูกดันให้มียอดวิวสูงๆ นั้นแทบจะเป็นศูนย์
แต่ถ้าคุณอยากให้คลิป ไวรัล หรือมียอดวิวหลักล้าน ตัวเลขที่คุณต้องทำให้ได้คือ 80 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป มีกรณีศึกษาจากคลิปหนึ่งที่มียอดวิวถึง 12 ล้านวิว พบว่าคลิปนั้นมีอัตรา View to Swipe Ratio สูงถึง 86 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเป็นเครื่องพิสูจน์ว่ายิ่งคนหยุดดูมากเท่าไหร่ โอกาสดังระเบิดก็มากเท่านั้น

 เทคนิคการทำคลิปสั้น 20 วินาที
คำถามต่อมาคือ แล้วเราจะทำอย่างไรให้คนหยุดดู คำตอบนั้นเรียบง่ายแต่ทำยาก นั่นคือ การควบคุมความยาวและการเปิดหัวคลิป แนะนำให้ลองทำคลิปที่มีความยาวไม่เกิน 20 วินาที เพราะธรรมชาติของคนดู Shorts มีสมาธิสั้นมาก การทำคลิปสั้นๆ จะช่วยเพิ่มโอกาสที่คนจะดูจนจบคลิปได้ง่ายกว่าคลิปยาว 40 วินาทีถึง 60 วินาที

 กฎ 2 วินาทีแรกชี้ชะตา
นอกจากความยาวแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ Hook หรือท่อนฮุกในช่วงเปิดคลิป คุณมีเวลาเพียงแค่ 2 วินาทีแรกเท่านั้นในการสะกดจิตคนดูให้หยุดนิ้วโป้งของพวกเขา ถ้า 2 วินาทีแรกไม่น่าสนใจ ไม่กระแทกตา หรือไม่สร้างความสงสัย พวกเขาจะปัดทิ้งทันที ดังนั้นจงทุ่มเทเวลาทั้งหมดไปกับการคิดว่าจะเปิดคลิปอย่างไรให้น่าสนใจที่สุด อาจจะเป็นภาพที่แปลกตา ประโยคคำถามที่ชวนคิด หรือการตัดต่อที่ฉับไว เพื่อดึงดูดให้เขาอยู่กับเราต่อ

 กับดักของบัญชีใหม่ YouTube ไม่ชอบคนแปลกหน้า
หลายคนใจร้อน พอสมัครบัญชีใหม่ปุ๊บ ก็ระดมโพสต์คลิปปั๊บหวังจะให้ดังชั่วข้ามคืน แต่ผลลัพธ์กลับเงียบกริบ สาเหตุเป็นเพราะ YouTube มีระบบป้องกันสแปมและบอทที่เข้มงวดมาก


 ทฤษฎี Bot Detection
เมื่อคุณเปิดช่องใหม่และเริ่มอัปโหลดรัวๆ อัลกอริทึมของ YouTube จะยังไม่รู้จักคุณ และอาจจะมองว่าพฤติกรรมนี้คล้ายกับโปรแกรมอัตโนมัติหรือ บอท ที่สร้างมาเพื่อสแปมเนื้อหาขยะ ผลก็คือระบบจะ ปิดกั้น การมองเห็นในช่วงแรก เพื่อรอดูน่าพฤติกรรมของคุณเป็นมนุษย์จริงๆ หรือไม่
ข้อมูลนี้ได้รับการยืนยันจากการทดสอบจริงกับบัญชีใหม่หลายบัญชี พบว่าบัญชีที่เพิ่งสร้างและโพสต์ทันทีแทบไม่มีการนำส่งคลิปเลย ในขณะที่บัญชีที่มีการใช้งานมาสักพักแล้วกลับมียอดวิวที่เติบโตได้ไวกว่ามาก

วิธีการวอร์มบัญชีให้พร้อมก่อนลงสนาม
ทางแก้ของปัญหานี้คือการ วอร์มบัญชี หรือทำให้บัญชีมีความเคลื่อนไหวเสมือนผู้ใช้งานทั่วไปก่อนที่จะเริ่มเป็นครีเอเตอร์ หากคุณวางแผนจะเปิดช่องใหม่ แนะนำให้ใช้บัญชีนั้นในการดูคลิปคนอื่น กดไลก์ และคอมเมนต์ ในช่องต่างๆ อย่างสม่ำเสมอเป็นเวลา 2 ถึง 3 สัปดาห์
การทำแบบนี้จะช่วยสร้างประวัติการใช้งาน หรือ Digital Footprint ให้กับบัญชีของคุณ ทำให้ระบบเรียนรู้ว่านี่คือคนจริงๆ ที่มีความสนใจในเรื่องต่างๆ ไม่ใช่หุ่นยนต์ เมื่อระบบมั่นใจแล้วว่าคุณเป็นมนุษย์เมื่อนั้นแหละที่คุณเริ่มโพสต์คลิป แล้วอัลกอริทึมจะเริ่มทำงานและนำส่งคลิปของคุณอย่างที่ควรจะเป็น


ความไม่สมบูรณ์ของอัลกอริทึมและการแก้เกม
ต้องยอมรับความจริงข้อหนึ่งว่า อัลกอริทึมของ YouTube Shorts นั้นยังไม่ได้สมบูรณ์แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ และยังตามหลังคู่แข่งอย่าง TikTok หรือ Instagram Reels อยู่บ้างในเรื่องความแม่นยำ บางครั้งคลิปที่ดีมากๆ ของคุณอาจจะ แป้ก เพียงเพราะระบบเกิดความผิดพลาดในการนำส่ง หรือ หาคนดูไม่เจอ ในช่วงเวลานั้น

 เทคนิคการลบแล้วลงใหม่
หากคุณมั่นใจว่าคลิปของคุณคุณภาพดี ตัดต่อเนียบ เนื้อหาโดน แต่ผ่านไป 2 วันแล้วยอดวิวยังจอดสนิทอยู่ที่หลักสิบหรือหลักร้อยต้นๆ อย่าเพิ่งถอดใจ ให้ลองใช้เทคนิค ลบแล้วลงใหม่
มีกรณีศึกษาที่น่าทึ่งเกิดขึ้นกับคลิปท่องเที่ยวคลิปหนึ่ง ในการอัปโหลดครั้งแรก คลิปนี้ได้ยอดวิวเพียง 47 วิวในเวลา 48 ชั่วโมง ซึ่งถือว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แต่เจ้าของช่องตัดสินใจลบคลิปนั้นทิ้ง เปลี่ยนชื่อคลิปใหม่เล็กน้อย แล้วอัปโหลดซ้ำอีกครั้งในวันถัดไป ผลปรากฏว่าคลิปเดิมตัวนี้กลับมียอดวิวพุ่งทะยานไปเกือบ 6 ล้านวิว

 ความสำคัญของการให้โอกาสคอนเทนต์
เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า บางครั้งปัญหาไม่ได้อยู่ที่ตัวคอนเทนต์ แต่อยู่ที่จังหวะเวลาและดวงของอัลกอริทึมในขณะนั้น หากคลิปไหนเงียบผิดปกติ ลองให้โอกาสมันอีกครั้ง การเปลี่ยนชื่อคลิปหรือเปลี่ยนเวลาลงอาจจะเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ระบบจับคู่คลิปของคุณกับกลุ่มคนดูที่ถูกต้องได้ในรอบที่สอง
 สูตรลับการใส่ Tags เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมาย
การใส่ Tags หรือแท็ก ไม่ใช่แค่การใส่คำอะไรก็ได้ที่เกี่ยวข้องลงไป แต่ถ้าคุณอยากได้ยอดวิวเกิน 1,000 หรือเป็นล้าน คุณต้องมีกลยุทธ์ที่ชัดเจน เพื่อช่วยให้ระบบนำส่งคลิปไปหาคนที่ อยากดู จริงๆ

H4 สูตรการแบ่ง Tags 3 ประเภท

เราขอแนะนำสูตรการใส่ Tags ที่เรียกว่า Viral Tags Formula ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 ส่วนสำคัญ โดยให้ใส่ประเภทละ 3 ถึง 4 คำ ดังนี้
1 Post Specific Tags (แท็กเจาะจงเนื้อหา)
นี่คือแท็กที่อธิบายว่าคลิปนี้เกี่ยวกับอะไรโดยตรง ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณทำคลิปสอนออกกำลังกายกล้ามแขน แท็กในส่วนนี้ควรจะเป็นคำว่า ท่าเล่นแขน, ยกเวทแขนใหญ่, วิธีเล่นไบเซ็ป, หรือ เทคนิคกล้ามแขน เป็นคำที่ระบุชัดเจนว่าคนดูจะเห็นอะไรในคลิป
2 Niche Specific Tags (แท็กหมวดหมู่)
ส่วนนี้คือกว้างขึ้นมาอีกนิด เป็นการระบุวงการหรือหมวดหมู่หลักของคลิปคุณ เพื่อให้ระบบรู้ว่าคลิปนี้อยู่ในกลุ่มความสนใจไหน จากตัวอย่างเดิม แท็กส่วนนี้ควรจะเป็น สุขภาพ, ฟิตเนส, เพาะกาย หรือ ออกกำลังกาย หากคุณทำช่องเกม ก็อาจจะเป็น เกมมิ่ง, สตรีมเมอร์ หรือชื่อเกมนั้นๆ
3 Broad Tags (แท็กกว้างเพื่อการค้นหา)
สุดท้ายคือแท็กยอดฮิตที่คนใช้กันทั่วโลก เพื่อเปิดโอกาสให้คลิปถูกเข้าถึงในวงกว้าง เช่นคำว่า Shorts, Viral, FYP, หรือ ForYou การใส่แท็กกลุ่มนี้ไม่ได้เจาะจงกลุ่มเป้าหมาย แต่เป็นการเกาะกระแสคำค้นหาที่มีปริมาณมหาศาล

การผสมผสานแท็กทั้ง 3 ประเภทเข้าด้วยกัน จะช่วยสร้างสมดุลระหว่างการเจาะกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำและการเปิดกว้างเพื่อรับยอดวิวจากขาจร ทำให้คลิปของคุณมีโอกาสเติบโตได้ดีที่สุด

 กับดักของการขยันผิดที่ โพสต์บ่อยเกินไปอาจพังได้
ความขยันเป็นเรื่องดี แต่ในโลกของ YouTube Shorts การขยันผิดจังหวะอาจส่งผลร้ายมากกว่าผลดี โดยเฉพาะถ้าคุณยังเป็นช่องใหม่หรือช่องขนาดกลางที่ยังไม่ได้มีฐานแฟนคลับหนาแน่น

 ความสับสนของระบบเมื่อข้อมูลมากเกินไป
คำแนะนำที่ดีที่สุดสำหรับผู้เริ่มต้นคือ โพสต์แค่วันละ 1 คลิป ก็เพียงพอแล้ว เหตุผลเบื้องหลังคือ อัลกอริทึมต้องการเวลาในการประมวลผล เมื่อคุณลงคลิปไป 1 ตัว ระบบจะเริ่มทำงานโดยการสุ่มส่งคลิปไปให้คนกลุ่มเล็กๆ ดูเพื่อเก็บข้อมูลว่าคนชอบไหม คนดูจบนานแค่ไหน
แต่ถ้าคุณกระหน่ำลงวันละ 2 ถึง 3 คลิป ระบบจะเกิดอาการ ทำงานไม่ทัน หรือต้องแบ่งทรัพยากรในการนำส่ง สมมติว่าคลิปแรกกำลังเริ่มจะดี แต่คุณดันลงคลิปที่สองตามมาติดๆ ระบบอาจจะหยุดดันคลิปแรกเพื่อมาลองดันคลิปที่สองแทน กลายเป็นว่าคลิปแรกก็ไปไม่สุด คลิปสองก็อาจจะไม่ปัง สุดท้ายยอดวิวก็กอดคอกันร่วงทั้งคู่

 ความอดทนคือกุญแจสู่ความสำเร็จ
นอกจากนี้ การลงวันละคลิปยังช่วยให้คุณมีเวลาโฟกัสกับ คุณภาพ ของงานมากขึ้น และช่วยให้คุณฝึกความอดทน บางครั้งคลิปอาจจะเงียบในช่วง 5 ชั่วโมงแรก แต่พอผ่านไป 24 ชั่วโมง ระบบเริ่มจับทางได้ ยอดวิวอาจจะพุ่งจากหลักสิบไปเป็นหลักหมื่นได้ ดังนั้น ใจเย็นๆ ให้เวลาระบบทำงาน แล้วผลลัพธ์ที่ดีจะ
ตามมาเอง

 ชื่อคลิปคือพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ห้ามใส่ Hashtag เด็ดขาด
ข้อนี้เป็นความผิดพลาดที่เห็นได้บ่อยที่สุด คือการเอา Hashtag หรือเครื่องหมายสี่เหลี่ยม ไปใส่ไว้ในชื่อคลิป ซึ่งเป็นการกระทำที่ เปลืองพื้นที่ และ ไร้ประโยชน์ อย่างยิ่ง

ทำไมถึงห้ามใส่ Hashtag ใน Title
ชื่อคลิป หรือ Title คือพื้นที่ทองคำที่คุณต้องใช้เพื่อดึงดูดความสนใจ ใช้สร้างความสงสัย หรือใช้บอกคนดูว่าคลิปนี้น่าดูอย่างไร การใส่ Hashtag รกๆ เข้าไป นอกจากจะทำให้อ่านยากแล้ว ยังไม่ได้ช่วยเรื่อง SEO หรือการค้นหาในส่วนของชื่อเรื่องเลยแม้แต่น้อย

ดูตัวอย่างจากระดับโลก
หากคุณสังเกตช่องของ MrBeast ครีเอเตอร์อันดับหนึ่งของโลก คุณจะไม่เห็น Hashtag ในชื่อคลิปของเขาเลยแม้แต่คลิปเดียว เขาใช้พื้นที่ทั้งหมดไปกับคำที่กระตุ้นอารมณ์และสร้างความอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น

แล้ว Hashtag ควรไปอยู่ที่ไหน คำตอบคือ ในคำบรรยาย หรือ Description นั่นคือที่ที่ถูกต้องสำหรับการใส่ Hashtag เพื่อช่วยเรื่องการค้นหา คุณสามารถใส่ได้เต็มที่ 3 ถึง 4 คำที่เกี่ยวข้อง แต่ขอร้องว่าอย่าเอามาใส่ในชื่อคลิป ให้ชื่อคลิปทำหน้าที่ของมันคือการ เรียกลูกค้า ส่วน Hashtag ให้ทำหน้าที่หลังบ้านคือการ จัดหมวดหมู่

มาสรุปบทความนี้กันครับ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่