ค่าเงินเยนร่วงต่อเนื่อง แตะ 20 บาทต่อ 100 เยน ทำไมนักท่องเที่ยวเฮ แต่นักลงทุนขนลุก?

กระทู้ข่าว
ค่าเงินเยนร่วงต่อเนื่อง แตะ 20 บาทต่อ 100 เยน ทำไมนักท่องเที่ยวเฮ แต่นักลงทุนขนลุก?

สำหรับคนที่ชอบไปเที่ยวญี่ปุ่น ช่วงนี้ข่าวค่าเงินเยนลดลงเรื่อยๆ น่าจะเป็นข่าวดี เพราะในวันศุกร์ที่ 19 ธันวาคม 2025 ค่าเงินเยนก็ลงไปถึง 20 บาทต่อ 100 เยน ซึ่งเป็นระดับที่ในไทยน่าจะไม่ได้เห็นมาตั้งแต่ก่อน 'ค่าเงินบาทลอยตัว' ในปี 1997 ที่ทำให้เกิดวิกฤต 'ต้มยำกุ้ง' อันลือลั่น
.
แต่จากมุมของญี่ปุ่นเอง ภาวะนี้น่าจะเกี่ยวข้องกับการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่นสูงที่สุดในรอบ 30 ปี (นับแต่ปี 1995) เพราะขึ้นปุ๊บ ค่าเงินตกมาถึงจุดนี้เลย
.
เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไร? คงต้องเล่ายาวหน่อย
.
ญี่ปุ่นนั้นเศรษฐกิจมีภาวะชะงักงันมาตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1990 และทำให้ธนาคารกลางญี่ปุ่นพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการลดดอกเบี้ย อันเป็นนโยบายเศรษฐกิจแนว 'เสรีนิยมใหม่' ที่ฮิตในช่วงนั้น และดอกเบี้ยของญี่ปุ่นก็ลงมาเรื่อยๆ จนติดลบ
.
สาเหตุที่ดอกเบี้ยญี่ปุ่นติดลบได้ อธิบายง่ายๆ คือค่าเงินญี่ปุ่นแข็งมาก และทำให้นักลงทุนทั่วโลกพร้อมจะให้ญี่ปุ่นยืมเงิน และทำให้ญี่ปุ่นเป็นชาติที่มีหนี้สาธารณะสูงที่สุดในโลก (คิดตามสัดส่วน GDP) พูดอีกแบบคือ สกุลเงินเยน เป็นเงินที่ถือเอาไว้เฉยๆ มูลค่าก็เพิ่มขึ้นถ้าเทียบกับสกุลเงินอื่น ดังนั้นนักลงทุนถึงรับได้กับอัตราดอกเบี้ยที่ติดลบหรือต่ำกว่าสกุลเงินอื่น เช่น คิดง่ายๆ สมมติค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ลดลงเมื่อเทียบกับเงินเยน 3 เปอร์เซ็นต์ ใน 1ปี การเอาเงินเยนไปฝากธนาคารญี่ปุ่น (หรือซื้อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น) ทั้งที่ดอกเบี้ยแค่ 0.5 เปอร์เซ็นต์ ก็ดีกว่าการเอาเงินไปฝากธนาคารอเมริกาที่ให้ดอกเบี้ย 2 เปอร์เซ็นต์ เพราะจากมุมคนใช้สกุลเงินสหรัฐฯ เป็นหลัก การเอาเงินไปฝากธนาคารญี่ปุ่นจะได้ 'กำไรค่าเงิน' บวกกับดอกเบี้ยรวมกัน 3.5 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสูงกว่าการฝากธนาคารในอเมริกา (ตัวเลขสมมติให้เข้าใจง่าย)
.
ความแข็งแรงของค่าเงินญี่ปุ่นน่าจะเป็นตำนานจริงๆ คำถามคือทำไมเป็นแบบนั้น?
.
คนที่ไปเที่ยวญี่ปุ่นช่วงทศวรรษ 1990 กับไปเที่ยวสักกลางๆ ทศวรรษ 2010 ก็จะเห็นว่า 20 ปีผ่านไป ราคาสิ่งของและบริการต่างๆ ในญี่ปุ่นแทบไม่เปลี่ยนเลย ภาวะนี้เรียกในทางเทคนิคว่าเงินเฟ้อญี่ปุ่นแทบจะเป็น 0 เปอร์เซ็นต์ มาเป็นสิบปี ที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่าประชากรญี่ปุ่นลดลงเรื่อยๆ และกำลังบริโภคก็ลดลงเรื่อยๆ จึงไม่มีอะไรไปดันระดับราคาสินค้าขึ้น
.
พอไม่มีภาวะเงินเฟ้อ จากมุมธนาคารกลาง มันก็ไม่มีเหตุผลให้เพิ่มอัตราดอกเบี้ย เพราะ 'ตามตำรา' เทคนิคสามัญในการลดภาวะเงินเฟ้อคือการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เป็นเทคนิคที่ธนาคารกลางทั่วโลกใช้กันตั้งแต่ทศวรรษ 1980 ที่สหรัฐอเมริกาเริ่มใช้และจัดการกับภาวะเงินเฟ้อต่อเนื่องจากทศวรรษ 1970 สำเร็จ
.
นี่จึงทำให้ตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990 ญี่ปุ่นคือดินแดนที่ค่าเงินแข็งแรง ดอกเบี้ยต่ำ และทำให้นักลงทุนทั่วโลกใช้เทคนิคที่เรียกว่า ‘Carry Trade’ อธิบายง่ายๆ คือการไปยืมเงินจากสถาบันการเงินญี่ปุ่น เพื่อไปลงทุนในสกุลเงินอื่น แล้วเอา 'กำไร' มาจากเงินต้นและดอกเบี้ย ซึ่งมันทำได้เพราะญี่ปุ่น 'คิดดอกเบี้ยถูกกว่าที่อื่น' โดยก็ต้องเข้าใจด้วยว่านักลงทุนเชิงสถาบันสามารถกู้เงินในอัตราที่ต่ำกว่านักลงทุนรายย่อย
.
ตัวอย่างเช่น สถาบันการเงินใหญ่ๆ อาจกู้เงินเยนได้ 0 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งเงินนี้เอาไปเปลี่ยนเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ มันก็แทบจะ 'ได้ดอกเบี้ย' มาฟรีๆ และ 'กำไรส่วนต่าง' แบบฟรีๆ นี้จะเกิดขึ้นต่อเมื่ออัตรากำไรสูงกว่ามูลค่าสกุลเงินที่เอาไปลงทุนลดลงต่อหน้าเงินเยน
.
ยกเป็นตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่น ถ้ากู้เงินเยนที่ดอกเบี้ย 0 เปอร์เซ็นต์ แล้วเอาไปลงทุนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ดอกเบี้ยปีละ 3.5 เปอร์เซ็นต์ สิ่งที่จำต้องลุ้นเพื่อให้ได้กำไรฟรีๆ คือค่าเงินสหรัฐฯ ต้องไม่ตกลงต่ำกว่า 3.5 เปอร์เซ็นต์ และส่วนต่างเท่าไร กำไรก็เท่านั้น
.
แน่นอน 'เงินฟรี' พวกนี้คือสิ่งที่คนเถียงกันมานานว่ามีจริงไหม? ทำได้จริงหรือไม่ แต่ก็ต้องเข้าใจด้วยว่าสถาบันการเงิน สามารถกู้ยืมเงินได้ต่ำกว่าคนทั่วไป นี่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ 'เงินฟรี' พวกนี้เป็นไปได้ และอีกส่วนก็คือความเปลี่ยนแปลงช่วงโควิด-19
.
โควิดทำให้หลายอย่างเปลี่ยน แต่ในทางการเงินโลก สิ่งที่มันทำให้เกิดคืออเมริกามีภาวะเงินเฟ้อ ทำให้ธนาคารกลางขึ้นดอกเบี้ยสูงสุดในรอบ 20 ปี เพื่อลดภาวะเงินเฟ้อ แต่ผลข้างเคียงคือมันทำให้เงินไหลเข้ามาสหรัฐอเมริกาเพื่อลงทุนในพันธบัตรสหรัฐอเมริกา และทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งมากๆ
.
พอค่าเงินดอลลาร์แข็งตอนโควิด ญี่ปุ่นที่นำเข้าสินค้าจากอเมริกาสูงสุดจากทุกชาติก็ได้รับผลเต็มๆ เพราะนั่นทำให้ต้นทุนของสารพัดสิ่งในญี่ปุ่นสูงขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ และสุดท้ายญี่ปุ่นที่ไม่มีภาวะเงินเฟ้อมาราว 30 ปี ก็ต้องพ่ายแพ้ และผลก็คือญี่ปุ่นที่เราเห็นทุกวันนี้ที่ราคาสินค้าและบริการขึ้นกระจุยกระจาย (ใครไปเที่ยวญี่ปุ่นก่อนและหลังโควิดก็คงจะตระหนักดี)
.
ภาวะเงินเฟ้อมันคือเงิน 'เสื่อมมูลค่า' ลง และนั่นคือทำให้ค่าเงินตกลง และนี่เองที่ทำให้สกุลเงินเยนที่ยืนหยัดแข็งแรงมายาวนานเสื่อมมูลค่าลงด้วย และนั่นทำให้จากมุมของคน 'ยืมเงิน' จากญี่ปุ่นถึงกับยิ้ม เพราะเงินเยนเสื่อมมูลค่า แปลว่าเงินที่ต้องคืนในสกุลเงินเยนนั้นน้อยลง หรือพูดอีกแบบก็คือ คนที่ยืมเงินเยนไปลงทุนสกุลอื่น ก็ยิ่ง 'กำไร' เพราะเวลาเปลี่ยนสกุลอื่นเป็นเงินเยน มันได้เงินเยนมากขึ้น เพราะมูลค่าเงินเยนตก
.
แน่นอน 'เรื่องดีๆ' แบบนี้ไม่ได้อยู่ไปตลอด เพราะญี่ปุ่นเงินเฟ้อขึ้นไม่หยุด จนสุดท้ายธนาคารกลางญี่ปุ่นก็ต้องยอมขึ้นดอกเบี้ย อันเป็นนโยบาย 'สู้เงินเฟ้อ' แบบตามตำราเป๊ะๆ โดยเขาก็ค่อยๆ ขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุดคือขึ้นสูงสุดในรอบ 30 ปี แต่ประเด็นคือเทคนิคแบบนี้จะต้องใช้ไม่หยุดจนกว่าเงินเฟ้อจะหยุด หรือพูดอีกแบบ ถ้าภาวะเงินเฟ้อในญี่ปุ่นยังดำเนินต่อไป ดอกเบี้ยก็จะขึ้นต่อไป
.
และนี่ก็นำเรามาสู่ปัจจุบัน ที่เงินเฟ้อญี่ปุ่นทำค่าเงินร่วง นักท่องเที่ยวเฮ แต่นโยบายของธนาคารกลางที่จะต้องขึ้นดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ จนเงินเฟ้อหยุด มันกลับทำให้นักลงทุนผวา
.
เพราะอย่างที่เล่า ตั้งแต่ญี่ปุ่นดอกเบี้ยต่ำ ญี่ปุ่นเป็นแหล่งเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำให้นักลงทุนทั่วโลกยืมเงินไปลงทุนทั่วโลก แต่ถ้าดอกเบี้ยขึ้นแบบนี้ไปเรื่อยๆ ภาวะแบบนี้มันจะไม่มีแล้ว
.
และนั่นความความว่า 'สภาพคล่อง' ในตลาดเงินโลกจะหายไปมหาศาล ถึงขั้นที่คนมองว่าอาจทำให้เกิดวิกฤตในระดับโลก
.
อธิบายง่ายๆ ก็คือ ทุกวันนี้ระบบการเงินโลกมันคือการยืมเงินกันเป็นทอดๆ และเหมือนคิดดอกเบี้ยทับกันขึ้นไปเรื่อยๆ ซึ่งระบบนี้มันดำเนินอยู่ได้เพราะมี 'คนปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ' คนแรกสุด เช่น A คิดดอก 0 เปอร์เซ็นต์ B เลยยืมเงินไปปล่อยกู้ต่อคิดดอก 1 เปอร์เซ็นต์ ก็กำไรแล้ว C เอาเงิน B ไปปล่อยกู้ต่อคิดดอก 2 เปอร์เซ็นต์ ก็กำไรแล้ว และมันก็จะเป็นแบบนี้ไปเรื่อยๆ กระทั่งหาคนกู้เงินที่มีปัญญาจ่ายดอกเบี้ยไม่ได้
.
ทีนี้ถ้าคนที่ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำคนแรก บอกจะขึ้นดอกเบี้ย ผลคือดอกเบี้ยก็จะขึ้นไปเป็นทอดๆ เพื่อให้มีเงินมาจ่ายเป็นทอดๆ
.
ปลายทางของภาวะแบบนี้ก็คือเมื่อดอกเบี้ยมันสูงจน 'ปลายทาง' เริ่มไม่มีเงินจ่าย เกิดหนี้เสีย ก็จะไม่มีเงินจ่ายเป็นทอดๆ เช่น Z ยืมเงินมาทำธุรกิจตอนแรกจ่ายดอกเบี้ย 6 เปอร์เซ็นต์ กับ Y ได้สบายๆ วันดีคืนดี Y ขึ้นดอกเป็น 7 เปอร์เซ็นต์ ผลคือ Z จ่ายไม่ได้ และนั่นทำให้ Y ไม่มีเงินจ่าย X ที่เพิ่งขึ้นดอกเบี้ยจาก 5 เปอร์เซ็นต์ เป็น 6 เปอร์เซ็นต์ ส่งผงให้ Y ต้องไปขึ้นดอกเบี้ย Z อีกทอด
.
อาจฟังดูงงๆ แต่ระบบการเงินโลกมันเป็นแบบนี้จริง มันคือการยืมเงินกันไปเป็นทอดๆ และขึ่นดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ
.
และก็อย่างที่บอก ถ้าคนที่เป็น 'ต้นทาง' ให้ยืมตอนแรกขึ้นดอกเบี้ยสูงเกินไป ในทางทฤษฎีระบบจะพังหมด กระบวนการก็ไม่ได้ต่างจากวิกฤตเศรษฐกิจไม่รู้กี่ครั้งในโลกที่ชนวนมันคือการที่ 'ลูกหนี้' ไม่จ่ายเงิน 'เจ้าหนี้' และทำให้ระบบที่ 'ยืมเงินกันเป็นทอดๆ' พังทั้งแถบ
.
และนี่เองเหตุผลที่ทำให้การที่เงินเยนร่วงขนาดนี้ ด้านหนึ่งทำให้นักท่องเที่ยวดีใจ แต่นักลงทุนหรือคนจับตาดูระบบการเงินโลกทุกคนนั้นน่าจะขนลุก เพราะเบื้องหลังของค่าเงินเยนร่วงรวมถึงกลยุทธ์ที่ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะใช้ในการ 'สร้างเสถียรภาพทางการเงิน' มันจะสั่นคลอนระเบียบการเงินโลกแน่นอน
.
และนี่คือภาวะที่น่าจะเรียกว่า Long COVID ในทางการเงิน แท้ๆ คือเป็นความปั่นป่วนของระบบการเงินโลกที่เริ่มจากตอนโควิด และจนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่คลี่คลาย
.
ที่มา : Brandthink
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่