สงครามไทย-เขมร:ทำไมถึงไม่มีใครยกย่องเสนาธิการ?

ทั้งที่บุคคลตำแหน่งนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง อย่างเรื่องที่จะนำมาสาธก

ในยุคปลายราชวงศ์ฉิน ทัพของหลิวปังกรีฑาออกรบทั้งเหนือใต้ และยกเข้าเขตภาคกลางเพื่อปราบราชวงศ์ฉิน เปิดสงครามระหว่างฉู่-ฮั่น ช่วงที่หลิวปังเพิ่งบุกเข้าเมืองหลวงเสียนหยาง บรรดาทหารในกองทัพก็แย่งชิงทรัพย์สินของราษฎร ชาวเมืองถูกปล้นจนหมดเนื้อหมดตัวเป็นที่น่าเวทนา ทัพของเซี่ยงหวีก็เช่นกัน พอบุกเข้าเมืองได้ก็ปล้นสะดม ฆ่าและวางเพลิงเผาพระราชวัง เพลิงลุกไหม้อยู่สามเดือนก็ยังไม่มอดดับ

ในภาวะบ้านแตกสาแหรกขาด มีเพียงเซียวเหอเท่านั้นที่ไม่เหมือนคนอื่นสิ่งที่เขาสนใจไม่ใช่การแย่งชิงทรัพย์สิน แต่จะบุกเบิกสร้างบ้านเมืองอย่างไรต่างหาก หลังจากติดตามหลิวปังเข้าเมืองเสียนหยาง สถานที่แห่งแรกที่เขาไปคือจวนอัครเสนาบดี เขาเข้าไปศึกษาแผนผังและเอกสารข้อมูลทุกอย่างของแคว้นฉิน สิ่งเหล่านี้ ช่วยให้เขาเข้าใจสภาพภูมิศาสตร์ การกระจายตัวของประชากร กำลังของชาติในด้านต่างๆว่าอ่อนแอหรือเข้มแข็ง รวมถึงปัญหาความทุกข์ยากของราษฎรในแคว้นฉิน

เซียวเหออาศัยข้อมูลต่างๆเหล่านี้มาเป็นแหล่งอ้างอิง ในการกำหนดนโยบายปกครองและกฏหมาย โดยเรียบเรียงกฏหมายขึ้นใหม่กลายเป็นกฏหมายฮั่นรวมเก้าบท เสนอให้หลิวปังใช้ปกครองประเทศ ทำให้ราษฎรหลุดพ้นจากภัยพิบัติ มีชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น เด็กและคนชราได้รับความดูแล บ้านเมืองเกิดความสงบสุข

หลังจากหลิงปังจัดการปัญหาทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ก็ปูนบำเหน็จรางวัลแก่ขุนนาง เซียวเหอได้รับรางวัลสูงสุด มีคนทักท้วงไม่เห็นด้วย แต่หลิวปังอธิบายว่า

"เวลาล่าสัตว์ ผู้ที่คอยตามจับตามฆ่ากระต่ายหรือสัตว์ป่าคือสุนัขล่าสัตว์ แต่ผู้ที่พบร่องรอยสัตว์ป่า ชี้ทางบอกให้สุนัขไปไล่ล่าคือคนล่าสัตว์  ที่พวกเจ้าทำคือตามจับตามฆ่าสัตว์ป่า จึงมีความชอบเท่าสุนัขล่าสัตว์ แต่เซียวเหอสามารถค้นพบร่องรอยสัตว์ป่า  เป็นคนชี้ทางให้ไปไล่ล่า  ความชอบจึงเทียบเท่าคนล่าสัตว์"

ซือหม่าเชียนผู้บันทึกประวัติศาสตร์วิจารณ์ว่า

"เซียวเหอเป็นผู้รักษากฏหมายอย่างเคร่งครัด โดยคำนึงถึงทุกข์สุขของราษฎรเป็นหลัก ในบรรดาขุนนางผู้มีความดีความชอบในการก่อตั้งราชวงศ์ฮั่น คุณูปการของเซียวเหอถือว่าสูงที่สุด"

...

วีรบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ไม่จำเป็นต้องสวมเกราะ หรือห้อม้าตะบึงในสนามรบด้วยตนเอง  อย่างเช่นเซียวเหอ หน้าที่ของเขาไม่ได้อยู่ในสนามรบ แต่อยู่ในกระโจมที่พัก มีหน้าที่ใช้สติปัญญาความรู้ความสามารถวางแผนการณ์รบ สั่งการกองทหารเข้าสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ

ทหารที่รบอย่างกล้าหาญ ไม่หวั่นเกรงต่อความตาย ย่อมสมควรยกย่องสดุดีอยู่แล้ว แต่ผู้มีสติปัญญาความสามารถวางแผนในกระโจม คือหัวใจสำคัญของการได้มาซึ่งชัยชนะ

มาที่เมืองไทย อย่างเช่นสมรภูมิปราสาทตาควาย และเนิน 350 โดยเฉพาะอันหลังถือเป็นสนามรบที่หินมาก เพราะพวกเขมรเล่นวางทุ่นระเบิดและตั้งด่านหลายชั้น ยากแก่การณ์เข้าถึง แต่เป็นเพราะการวางแผนอันชาญฉลาดของท่านเสนาธิการ ทำให้ทหารไทยสามารถเข้ายึดปราสาทและเนินจุดสูงข่มกลับมา จนถึงสามารถสถาปนาอธิปไตยเหนือดินแดนได้

ถ้าปราศจากเสนาธิการผู้วางแผนการณ์รบแล้ว ไม่เพียงทหารไทยจะยึดเนินไม่ได้ บางทียังอาจกลายเป็นศพทั้งกองร้อยสังเวยให้แร้งกาเสียอีก เพราะรอบนี้เขมรเตรียมตัวมาดี แถมอยู่ที่สูง ถึงอย่างไรก็ได้เปรียบ แต่เพราะทหารไทยห้าวหาญกว่าแถมมีแผนแยบยล จึงสามารถทวงแผ่นดินแทบทุกตารางนิ้วกลับคืน

แต่พอหลังจากเสร็จศึก เสนาธิการกลับไม่มีใครพูดถึงหรือถามหา ทั้งที่เป็นผู้ชี้ช่องทางให้ได้มาซึ่งชัยชนะ มีความสำคัญไม่น้อยกว่าทหารชั้นแนวหน้า ช่างน่าแปลกจริงๆ?

อันที่จริง ไม่เพียงแต่แวดวงทหารเท่านั้น ในแวดวงธุรกิจ การเมือง หรืออื่นๆ หากมีเสนาธิการหรือที่ปรึกษาที่มีความสามารถ ก็มีชัยเหนือศัตรูคู่ปรปักษ์ไปกว่าครึ่ง อย่างน้อยก็อยู่ในสถานะที่ไม่แพ้ จึงเปรียบได้กับคนล่าสัตว์ที่ชี้ทางให้ออกล่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่