ถ้าจะอธิบายเรื่องนี้แบบไม่เข้าข้างใครจริง ๆ เราคงต้องเริ่มจากการยอมรับตรง ๆ ก่อนว่า พรรคประชาชนหรืออดีตก้าวไกลเขามองเรื่อง “ศีลธรรมทางการเมือง” ไม่เหมือนคนไทยจำนวนมากตั้งแต่ต้นทางอยู่แล้ว พรรคนี้ให้น้ำหนักกับสิ่งที่เรียกว่า การทุจริตเชิงโครงสร้าง มากกว่าการทุจริตรายบุคคล พูดแบบชาวบ้านคือ ในสายตาเขา “นักการเมืองที่โกงกติกา” แย่กว่าคนที่โกงเงิน เพราะการโกงกติกาไม่ใช่แค่เรื่องใครคนใดคนหนึ่งเอาเปรียบ แต่มันพังทั้งระบบ และเปิดทางให้คนโกงรุ่นต่อ ๆ ไปแทบไม่ต้องรับผิดอะไรเลย
ตรรกะแบบนี้เองที่อธิบายได้ว่าทำไมพรรคถึงไม่เอา 3 ป. หรือใช้คำแรงอย่าง “มีลุงไม่มีเรา” เพราะถ้าวันหนึ่งไปจับมือกับขั้วที่เขามองว่าเป็นเผด็จการหรือสืบทอดอำนาจรัฐประหาร ต่อให้พูดสวยหรูว่าเพื่อปราบโกงก็ตาม ตรรกะหลักของพรรคจะพังทันที นั่นคือความเชื่อที่ว่า “อำนาจสูงสุดต้องเป็นของประชาชน” ในมุมของเขา การยอมรับอำนาจที่ไม่ชอบธรรมตั้งแต่ต้น ก็คือการยอมแพ้ทางศีลธรรมไปแล้ว
เรื่องสถาบันฯ ก็อยู่ในกรอบเดียวกัน มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่หลายคนเข้าใจกันง่าย ๆ แต่เป็นการชนกันของศีลธรรมคนละชุด ฝั่งอนุรักษนิยมมองว่าสถาบันและคุณค่าแบบเดิม ๆ อย่างความกตัญญู ความจงรักภักดี ความรักแผ่นดิน ความเป็นระเบียบ คือโครงสร้างที่ทำให้สังคมไทยอยู่รอดมาได้ เป็นรากที่ค้ำประเทศไม่ให้พัง ขณะที่ฝั่งเสรีนิยมกลับมองว่ารากเดียวกันนี่แหละ ที่ค่อย ๆ กลายเป็นกรง ทำให้สังคมขยับไปข้างหน้าไม่ได้
พรรคประชาชนจึงยึดเสรีนิยมประชาธิปไตยในฐานะ ศีลธรรมเชิงโครงสร้าง คือเชื่อว่าความอยุติธรรมที่ร้ายแรงที่สุดไม่ใช่คนโกงคนเดียว แต่คือระบบที่ไม่เปิดให้ตรวจสอบ ไม่เปิดให้เปลี่ยน และไม่เปิดให้ประชาชนถอดถอนผู้มีอำนาจได้ เพราะฉะนั้น ในสายตาพรรค เผด็จการหรือการสืบทอดอำนาจรัฐประหารจึงเป็น “ความผิดเชิงศีลธรรมระดับราก” ต่อให้คนในระบบนั้นจะดูดี ทำงานเก่ง หรือพูดจาดีแค่ไหนก็ตาม
เมื่อคิดแบบนี้ พรรคก็เลยทุ่มพลังไปที่การต่อต้านฝ่ายที่เขามองว่า “ไม่ชอบธรรมตั้งแต่ต้นทาง” มากกว่าการคัดกรองศีลธรรมรายบุคคลแบบเข้มที่สุด ไม่ใช่ว่าเขาไม่สนใจเรื่องโกง แต่เป็นเพราะเขาจัดลำดับความผิดว่า ระบบที่เปิดช่องให้โกงแล้วไม่ต้องรับผิด ผิดหนักกว่าคนโกงในระบบที่ยังพอแก้ไขและตรวจสอบได้
ปัญหาคือ ตรรกะแบบนี้ไปชนตรง ๆ กับศีลธรรมของคนไทยอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะสายอนุรักษนิยม ที่มองแบบตรงไปตรงมาว่า “โกงก็คือโกง” จะอยู่ฝั่งประชาธิปไตยหรือไม่มันก็ผิดเหมือนกัน ความดีต้องเริ่มจากตัวคน ไม่ใช่จากอุดมการณ์หรือคำพูดสวย ๆ
และนี่คือจุดอ่อนใหญ่ของศีลธรรมเชิงโครงสร้าง ถ้ามองตามตรรกะล้วน ๆ คนที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความดีเชิงปัจเจก หรือแม้แต่มีประวัติด่างพร้อยทางศีลธรรมส่วนตัว แต่พูดภาษาอุดมการณ์เก่ง ด่าเผด็จการคล่อง ต่อต้านอำนาจรวมศูนย์เป็น วิจารณ์ระบบได้สวย คนแบบนี้สามารถ “ผ่านด่านศีลธรรม” ของกรอบนี้ได้ง่ายกว่าการไปผ่านกรอบที่ดูตัวคนเป็นหลัก
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ศีลธรรมเชิงโครงสร้างไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าใครเป็นคนดีจริง มันบอกได้แค่ว่าคุณยืนอยู่ฝั่งไหนของโครงสร้างเท่านั้น เพราะงั้นในเชิงทฤษฎี จึงเป็นไปได้จริงที่คนทุจริตบางคน หรือคนที่ไม่ให้ค่าความดีแบบปัจเจก จะเลือกมาอยู่กับพรรคที่ให้น้ำหนักกับอุดมการณ์มากกว่าศีลธรรมส่วนตัว เพราะต้นทุนทางศีลธรรมในการเข้ามามันต่ำกว่า
แต่ก็ต้องพูดกันอย่างแฟร์ ๆ ว่า เรื่องนี้ไม่ได้แปลว่าพรรคประชาชนสนับสนุนการโกง และก็ไม่ได้หมายความว่าคนในพรรคส่วนใหญ่เป็นแบบนั้น มันเป็นแค่ผลข้างเคียงทางตรรกะของกรอบศีลธรรมที่เลือกใช้เท่านั้น
ถ้ามองให้กว้างขึ้นอีกหน่อย ศีลธรรมเชิงโครงสร้างเองก็มีแนวโน้มจะเหมารวม เพราะมันตั้งสมมติฐานว่าระบบที่ไม่เปิดให้ตรวจสอบหรือเปลี่ยนแปลงได้ ย่อมมีศีลธรรมต่ำกว่าเสรีประชาธิปไตย นี่คือเหตุผลว่าทำไมประเทศอย่างจีน เวียดนาม หรือแม้แต่สิงคโปร์ในบางมิติ มักถูกจัดให้อยู่ต่ำกว่าแบบอัตโนมัติ
แต่โลกจริงไม่ได้เดินตามทฤษฎีเป๊ะ ๆ จีนแม้ไม่เสรี แต่ควบคุมคอร์รัปชันเชิงนโยบายได้จริง เวียดนามมีเสถียรภาพเชิงนโยบายสูง สิงคโปร์การเมืองไม่เปิดเต็มที่ แต่คอร์รัปชันต่ำมาก ในขณะที่หลายประเทศประชาธิปไตยเต็มรูปแบบกลับเต็มไปด้วยระบบอุปถัมภ์และ elite capture หนักกว่าเสียอีก
สุดท้าย ปัญหาของศีลธรรมเชิงโครงสร้างคือมันมักสับสนระหว่าง “ศักยภาพทางศีลธรรม” กับ “ผลลัพธ์ทางศีลธรรม” เสรีประชาธิปไตยอาจมีโครงสร้างที่ดีและแก้ไขตัวเองได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำได้จริงทุกครั้ง ขณะที่อำนาจนิยมบางแบบกลับให้ผลลัพธ์ที่ประชาชนรู้สึกว่าเป็นธรรมกว่าในชีวิตจริง
เพราะงั้น การเมืองที่แข็งแรงจริง ๆ คงไม่ใช่การเลือกศีลธรรมแบบใดแบบหนึ่งจนสุดโต่ง แต่ต้องกล้าถามทั้งกระบวนการและผลลัพธ์ไปพร้อมกัน และนี่เองคือเหตุผลว่า ทำไมในการเมืองไทย พรรคที่พูดถูกในเชิงทฤษฎี จึงมักแพ้ในความรู้สึกของคนจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ผ่านโลกการเมืองจริงมาเยอะ และมองการเมืองจากประสบการณ์ชีวิตมากกว่าจากตำราครับ
ศีลธรรมแบบโครงสร้าง vs ศีลธรรมแบบตัวคน: ความขัดแย้งที่ลึกกว่าการเลือกข้างการเมือง
ถ้าจะอธิบายเรื่องนี้แบบไม่เข้าข้างใครจริง ๆ เราคงต้องเริ่มจากการยอมรับตรง ๆ ก่อนว่า พรรคประชาชนหรืออดีตก้าวไกลเขามองเรื่อง “ศีลธรรมทางการเมือง” ไม่เหมือนคนไทยจำนวนมากตั้งแต่ต้นทางอยู่แล้ว พรรคนี้ให้น้ำหนักกับสิ่งที่เรียกว่า การทุจริตเชิงโครงสร้าง มากกว่าการทุจริตรายบุคคล พูดแบบชาวบ้านคือ ในสายตาเขา “นักการเมืองที่โกงกติกา” แย่กว่าคนที่โกงเงิน เพราะการโกงกติกาไม่ใช่แค่เรื่องใครคนใดคนหนึ่งเอาเปรียบ แต่มันพังทั้งระบบ และเปิดทางให้คนโกงรุ่นต่อ ๆ ไปแทบไม่ต้องรับผิดอะไรเลย
ตรรกะแบบนี้เองที่อธิบายได้ว่าทำไมพรรคถึงไม่เอา 3 ป. หรือใช้คำแรงอย่าง “มีลุงไม่มีเรา” เพราะถ้าวันหนึ่งไปจับมือกับขั้วที่เขามองว่าเป็นเผด็จการหรือสืบทอดอำนาจรัฐประหาร ต่อให้พูดสวยหรูว่าเพื่อปราบโกงก็ตาม ตรรกะหลักของพรรคจะพังทันที นั่นคือความเชื่อที่ว่า “อำนาจสูงสุดต้องเป็นของประชาชน” ในมุมของเขา การยอมรับอำนาจที่ไม่ชอบธรรมตั้งแต่ต้น ก็คือการยอมแพ้ทางศีลธรรมไปแล้ว
เรื่องสถาบันฯ ก็อยู่ในกรอบเดียวกัน มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่หลายคนเข้าใจกันง่าย ๆ แต่เป็นการชนกันของศีลธรรมคนละชุด ฝั่งอนุรักษนิยมมองว่าสถาบันและคุณค่าแบบเดิม ๆ อย่างความกตัญญู ความจงรักภักดี ความรักแผ่นดิน ความเป็นระเบียบ คือโครงสร้างที่ทำให้สังคมไทยอยู่รอดมาได้ เป็นรากที่ค้ำประเทศไม่ให้พัง ขณะที่ฝั่งเสรีนิยมกลับมองว่ารากเดียวกันนี่แหละ ที่ค่อย ๆ กลายเป็นกรง ทำให้สังคมขยับไปข้างหน้าไม่ได้
พรรคประชาชนจึงยึดเสรีนิยมประชาธิปไตยในฐานะ ศีลธรรมเชิงโครงสร้าง คือเชื่อว่าความอยุติธรรมที่ร้ายแรงที่สุดไม่ใช่คนโกงคนเดียว แต่คือระบบที่ไม่เปิดให้ตรวจสอบ ไม่เปิดให้เปลี่ยน และไม่เปิดให้ประชาชนถอดถอนผู้มีอำนาจได้ เพราะฉะนั้น ในสายตาพรรค เผด็จการหรือการสืบทอดอำนาจรัฐประหารจึงเป็น “ความผิดเชิงศีลธรรมระดับราก” ต่อให้คนในระบบนั้นจะดูดี ทำงานเก่ง หรือพูดจาดีแค่ไหนก็ตาม
เมื่อคิดแบบนี้ พรรคก็เลยทุ่มพลังไปที่การต่อต้านฝ่ายที่เขามองว่า “ไม่ชอบธรรมตั้งแต่ต้นทาง” มากกว่าการคัดกรองศีลธรรมรายบุคคลแบบเข้มที่สุด ไม่ใช่ว่าเขาไม่สนใจเรื่องโกง แต่เป็นเพราะเขาจัดลำดับความผิดว่า ระบบที่เปิดช่องให้โกงแล้วไม่ต้องรับผิด ผิดหนักกว่าคนโกงในระบบที่ยังพอแก้ไขและตรวจสอบได้
ปัญหาคือ ตรรกะแบบนี้ไปชนตรง ๆ กับศีลธรรมของคนไทยอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะสายอนุรักษนิยม ที่มองแบบตรงไปตรงมาว่า “โกงก็คือโกง” จะอยู่ฝั่งประชาธิปไตยหรือไม่มันก็ผิดเหมือนกัน ความดีต้องเริ่มจากตัวคน ไม่ใช่จากอุดมการณ์หรือคำพูดสวย ๆ
และนี่คือจุดอ่อนใหญ่ของศีลธรรมเชิงโครงสร้าง ถ้ามองตามตรรกะล้วน ๆ คนที่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับความดีเชิงปัจเจก หรือแม้แต่มีประวัติด่างพร้อยทางศีลธรรมส่วนตัว แต่พูดภาษาอุดมการณ์เก่ง ด่าเผด็จการคล่อง ต่อต้านอำนาจรวมศูนย์เป็น วิจารณ์ระบบได้สวย คนแบบนี้สามารถ “ผ่านด่านศีลธรรม” ของกรอบนี้ได้ง่ายกว่าการไปผ่านกรอบที่ดูตัวคนเป็นหลัก
ที่สำคัญกว่านั้นคือ ศีลธรรมเชิงโครงสร้างไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าใครเป็นคนดีจริง มันบอกได้แค่ว่าคุณยืนอยู่ฝั่งไหนของโครงสร้างเท่านั้น เพราะงั้นในเชิงทฤษฎี จึงเป็นไปได้จริงที่คนทุจริตบางคน หรือคนที่ไม่ให้ค่าความดีแบบปัจเจก จะเลือกมาอยู่กับพรรคที่ให้น้ำหนักกับอุดมการณ์มากกว่าศีลธรรมส่วนตัว เพราะต้นทุนทางศีลธรรมในการเข้ามามันต่ำกว่า
แต่ก็ต้องพูดกันอย่างแฟร์ ๆ ว่า เรื่องนี้ไม่ได้แปลว่าพรรคประชาชนสนับสนุนการโกง และก็ไม่ได้หมายความว่าคนในพรรคส่วนใหญ่เป็นแบบนั้น มันเป็นแค่ผลข้างเคียงทางตรรกะของกรอบศีลธรรมที่เลือกใช้เท่านั้น
ถ้ามองให้กว้างขึ้นอีกหน่อย ศีลธรรมเชิงโครงสร้างเองก็มีแนวโน้มจะเหมารวม เพราะมันตั้งสมมติฐานว่าระบบที่ไม่เปิดให้ตรวจสอบหรือเปลี่ยนแปลงได้ ย่อมมีศีลธรรมต่ำกว่าเสรีประชาธิปไตย นี่คือเหตุผลว่าทำไมประเทศอย่างจีน เวียดนาม หรือแม้แต่สิงคโปร์ในบางมิติ มักถูกจัดให้อยู่ต่ำกว่าแบบอัตโนมัติ
แต่โลกจริงไม่ได้เดินตามทฤษฎีเป๊ะ ๆ จีนแม้ไม่เสรี แต่ควบคุมคอร์รัปชันเชิงนโยบายได้จริง เวียดนามมีเสถียรภาพเชิงนโยบายสูง สิงคโปร์การเมืองไม่เปิดเต็มที่ แต่คอร์รัปชันต่ำมาก ในขณะที่หลายประเทศประชาธิปไตยเต็มรูปแบบกลับเต็มไปด้วยระบบอุปถัมภ์และ elite capture หนักกว่าเสียอีก
สุดท้าย ปัญหาของศีลธรรมเชิงโครงสร้างคือมันมักสับสนระหว่าง “ศักยภาพทางศีลธรรม” กับ “ผลลัพธ์ทางศีลธรรม” เสรีประชาธิปไตยอาจมีโครงสร้างที่ดีและแก้ไขตัวเองได้ แต่ก็ไม่ได้แปลว่าจะทำได้จริงทุกครั้ง ขณะที่อำนาจนิยมบางแบบกลับให้ผลลัพธ์ที่ประชาชนรู้สึกว่าเป็นธรรมกว่าในชีวิตจริง
เพราะงั้น การเมืองที่แข็งแรงจริง ๆ คงไม่ใช่การเลือกศีลธรรมแบบใดแบบหนึ่งจนสุดโต่ง แต่ต้องกล้าถามทั้งกระบวนการและผลลัพธ์ไปพร้อมกัน และนี่เองคือเหตุผลว่า ทำไมในการเมืองไทย พรรคที่พูดถูกในเชิงทฤษฎี จึงมักแพ้ในความรู้สึกของคนจำนวนมาก โดยเฉพาะคนที่ผ่านโลกการเมืองจริงมาเยอะ และมองการเมืองจากประสบการณ์ชีวิตมากกว่าจากตำราครับ