ก.ล.ต. ลงดาบญาติบอร์ด MAJOR-ปธ.บอร์ด SF ใช้ข้อมูลวงในดีล CPN เทคฯ ฟันกำไร

กระทู้สนทนา
          สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (29 ธ.ค. 2568)--สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยการดำเนินคดีด้วยมาตรการลงโทษทางแพ่งกับผู้กระทำความผิด 7 ราย กรณีซื้อหุ้น บมจ.สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ [SF] โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน เปิดเผยข้อมูลภายในแก่บุคคลอื่น โดยรู้หรือควรรู้ว่าผู้รับข้อมูลอาจนำข้อมูลนั้นไปใช้ประโยชน์ในการซื้อหุ้น หรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการซื้อหุ้น SF โดยใช้ข้อมูลภายใน แล้วแต่กรณี โดยให้ผู้กระทำผิดชำระเงินตามมาตรการลงโทษทางแพ่งรวม 8,623,408 บาท รวมทั้งกำหนดระยะเวลาห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารกับผู้กระทำความผิดทั้ง 7 ราย
          
          ก.ล.ต. ได้รับข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปี 2564 และตรวจสอบเพิ่มเติม พบข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานที่ทำให้เชื่อได้ว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 11 มิถุนายน – 5 กรกฎาคม 2564 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนที่จะมีการเปิดเผยต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 2564 เวลา 17.57 น. เกี่ยวกับการที่ บมจ.เซ็นทรัล พัฒนา [CPN] จะซื้อหุ้น SF จาก บมจ. เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป [MAJOR] และกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SF เกินกว่าร้อยละ 50 ของหุ้นสามัญทั้งหมด และจะทำ Tender offer หุ้น SF ทั้งหมดที่ราคาหุ้นละ 12 บาท อันเป็นข้อมูลที่ส่งผลกระทบด้านบวกต่อราคาหุ้น SF มีการกระทำความผิดของผู้กระทำความผิด 7 ราย ดังนี้
          
          (1) นางนภัสสร สุนทรมโนกุล พี่สาวของกรรมการของ MAJOR รายหนึ่ง ได้ร่วมกับนางสาวปภาวรินท์ ฉัตรกุล ณ อยุธยา (หลานสาวของนางนภัสสร) ซื้อหุ้น SF ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนางสาวปภาวรินท์ รวมทั้งนางนภัสสรได้ซื้อหุ้น SF ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนางสาวศิรดา สุนทรมโนกุล (บุตรสาวของนางนภัสสร) โดยการซื้อดังกล่าวมีจำนวนมากผิดปกติวิสัย จึงเป็นความผิดฐานซื้อหลักทรัพย์ โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน
          
          (2) นางเพ็ญทิพา องค์วาสิฏฐ์ พี่สาวของกรรมการของ MAJOR รายหนึ่ง ได้ร่วมกับนางสาวปภาวรินท์ ฉัตรกุล ณ อยุธยา (บุตรสาวของนางเพ็ญทิพา) ซื้อหุ้น SF ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนางสาวปภาวรินท์ จำนวนมากผิดปกติวิสัย จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันซื้อหลักทรัพย์ โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน
          
          (3) นางสาวปภาวรินท์ ฉัตรกุล ณ อยุธยา ได้ร่วมกับนางนภัสสร (ป้าของนางสาวปภาวรินท์) และนางเพ็ญทิพา (มารดาของนางสาวปภาวรินท์) บุคคลตาม (1) และ (2) ตามลำดับ ซื้อหุ้น SF จำนวนมากผิดปกติวิสัย ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของนางสาวปภาวรินท์ จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันซื้อหลักทรัพย์โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน
          
          (4) นางสาวศิรดา สุนทรมโนกุล ได้ยินยอมให้นางนภัสสร (มารดาของนางสาวศิรดา) บุคคลตาม (1) ซื้อหุ้น SF จำนวนมากผิดปกติวิสัย ในบัญชีซื้อขายหลักทรัพย์ของตน จึงเป็นความผิดฐานช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกแก่บุคคลอื่นในการกระทำความผิด
          
          (5) นายเกียรติ สุนทรมโนกุล สามีของนางนภัสสร (ซึ่งเป็นพี่สาวของกรรมการของ MAJOR รายหนึ่ง) ซื้อหุ้น SF จำนวนมากผิดปกติวิสัย จึงเป็นความผิดฐานซื้อหลักทรัพย์โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน
          
          (6) นายนพพร วิฑูรชาติ ประธานกรรมการบริหาร กรรมการ และผู้ถือหุ้นใหญ่ของ SF เป็นบุคคลที่รู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน ได้รู้หรือครอบครองข้อมูลภายในจากการเข้าร่วมประชุมเจรจาซื้อขายหุ้น SF และได้เปิดเผยข้อมูลภายในดังกล่าวแก่นางสุพรรณ วิฑูรชาติ (มารดาของนายนพพร) โดยรู้หรือควรรู้ว่านางสุพรรณอาจนำข้อมูลนั้นไปใช้ประโยชน์ในการซื้อหุ้น SF และนางสุพรรณซื้อหุ้น SF โดยใช้ข้อมูลภายในดังกล่าว จึงเป็นความผิดฐานเปิดเผยข้อมูลภายในแก่บุคคลอื่น โดยรู้หรือควรรู้ว่าผู้รับข้อมูลอาจนำข้อมูลนั้นไปใช้ประโยชน์ในการซื้อหลักทรัพย์
          
          (7) นางสุพรรณ วิฑูรชาติ มารดาของนายนพพร เป็นบุคคลที่รู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน โดยได้รับการบอกกล่าวข้อมูลภายในจากนายนพพร และซื้อหุ้น SF จำนวนมากผิดปกติวิสัย จึงเป็นความผิดฐานซื้อหลักทรัพย์โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน
          
          การกระทำของผู้กระทำความผิดทั้ง 7 ราย เป็นความผิดฐานซื้อหลักทรัพย์โดยเป็นบุคคลซึ่งรู้หรือครอบครองข้อมูลภายใน เปิดเผยข้อมูลภายในแก่บุคคลอื่น โดยรู้หรือควรรู้ว่าผู้รับข้อมูลอาจนำข้อมูลนั้นไปใช้ประโยชน์ในการซื้อหลักทรัพย์ ร่วมกันซื้อหุ้น SF โดยใช้ข้อมูลภายใน หรือช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการซื้อหุ้น SF โดยใช้ข้อมูลภายใน ตามมาตรา 242(1) มาตรา 242(2) ประกอบมาตรา 243(1) ประกอบมาตรา 244(3) มาตรา 244(4) มาตรา 244(5) ประกอบมาตรา 315 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 หรือมาตรา 83 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งมีบทกำหนดโทษตามมาตรา 296 และมาตรา 296/2 และมาตรการลงโทษทางแพ่งตามมาตรา 317/4 และมาตรา 317/5 แห่งพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ พ.ศ. 2535 แล้วแต่กรณี
          
          คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำความผิดทั้ง 7 รายดังกล่าว โดยกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่ง ได้แก่ ค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ ชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด และห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์ ดังนี้
          
          (1) ให้นางนภัสสร ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 1,254,050 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลา 14 เดือน
          
          (2)  ให้นางเพ็ญทิพา ชำระค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนเท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับ และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 694,550 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหาร เป็นเวลา 12 เดือน
          
          (3)  ให้นางสาวปภาวรินท์ ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 717,050 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 12 เดือน
          
          (4)  ให้นางสาวศิรดา ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 577,300 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 9 เดือน
          
          (5)  ให้นายเกียรติ ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 3,450,908 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 12 เดือน
          
          (6)  ให้นายนพพร ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 577,300 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 14 เดือน
          
          (7)  ให้นางสุพรรณ ชำระค่าปรับทางแพ่ง และชดใช้ค่าใช้จ่ายของ ก.ล.ต. เนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 1,352,250 บาท และกำหนดมาตรการห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารเป็นเวลา 12 เดือน
          
          มาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนดจะมีผลนับตั้งแต่วันที่ผู้กระทำความผิดลงนามในบันทึกการยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษทางแพ่งที่ ค.ม.พ. กำหนด หากผู้กระทำความผิดไม่ยินยอม ก.ล.ต. จะมีหนังสือขอให้พนักงานอัยการดำเนินการฟ้องคดีต่อศาลแพ่งเพื่อกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งในอัตราที่อัตราสูงสุดที่กฎหมายบัญญัติโดยไม่ต่ำกว่าอัตราที่ ค.ม.พ. กำหนด
          
          ทั้งนี้ เงินค่าปรับทางแพ่งและเงินค่าชดใช้คืนผลประโยชน์ที่ได้รับจากการกระทำความผิดเป็นรายได้แผ่นดินที่นำส่งกระทรวงการคลัง
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่