วันนี้ผมอยากจะมาเม้าท์มอยรีวิวหนัง Geostorm หรือชื่อไทยว่า “เมฆาถล่มโลก” กันแบบสะใจชนิดที่สปอยกันเต็มๆ ใครยังไม่ได้ดูแล้วกลัวโดนสปอยแนะนำให้รีบไปหาดูก่อนนะครับแล้วค่อยกลับมาอ่าน แต่ถ้าใครดูแล้วหรือสะดวกที่จะโดนสปอยก็ลุยกันเถอะ
หนัง Geostorm เป็นหนังแนวไซไฟเวอร์ชั่นพินาศโลกที่เข้าโรงในปี 2017 ผลงานของผู้กำกับ Dean Devlin ที่ปกติแล้วเขาเป็นโปรดิวเซอร์ของหนังไอ้มดแดง อินดิเพนเดนซ์ เดย์ อะไรประมาณนั้น มาคราวนี้เขาเปลี่ยนบทบาทมาลุยเองในฐานะผู้กำกับ โดย Geostorm เล่าเรื่องอนาคตอันใกล้โลกเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติแบบถี่รัวไม่เว้นวัน ก้อนเมฆลูกเห็บหิมะ มรสุม พายุหิมะ ไฟป่าเยอะจนเครื่องจักรสวรรค์ยังงงว่าทำไมมันจัดเต็มขนาดนี้ ดังนั้นมนุษยชาติก็เลยรวมตัวกันออกแบบระบบดาวเทียมอัจฉริยะที่ชื่อ “Dutch Boy” เพื่อควบคุมสภาพอากาศบนโลกป้องกันภัยพิบัติ
ฟังดูอลังการใช่ไหมครับ มีดาวเทียมมากมายล้อมรอบโลกช่วยจัดแจงสรรสร้างดินฟ้าอากาศไม่ให้โหดร้ายกับมนุษย์มากเกินไป ซึ่งพระเอกของเราก็คือ Jake Lawson (รับบทโดย Gerard Butler) เป็นหัวหน้าทีมวิศวกรที่วางแผนและสร้าง Dutch Boy ตั้งแต่ต้น พร้อมกับน้องชายชื่อ Max Lawson (รับบทโดย Jim Sturgess) ซึ่งต่อมาก็เข้ามาทำงานกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อดูแลโครงการนี้เหมือนกัน
แต่เรื่องราวมันไม่ได้เรียบง่ายอย่างนั้นครับ เพราะทันทีที่หนังเปิดฉากด้วยการให้เราเห็นเทคโนโลยีล้ำยุค ภาพจำลองดาวเทียมรอบโลกสวยๆ แล้ว ก็โยนปัญหาใส่หัวพระเอกเลยจ้ารัฐบาลเกิดไม่ไว้ใจ เจค ว่าเขาจะดูแล Dutch Boy ให้ดี อารมณ์แบบหัวหน้าที่เก่งแต่มือถึงปากไว ขวางโลกนิดๆ ก็เลยถูกปลดออกแล้วส่งน้องชาย Max ขึ้นมาเป็นหัวหน้าแทน สองพี่น้องความสัมพันธ์ก็เลยตึงๆ หน่อยเหมือนเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ใกล้จะขาด
เวลาผ่านไปพอดาวเทียม Dutch Boy กำลังจะส่งมอบให้สหรัฐอเมริกาดูแลเพียงเจ้าเดียวจู่ๆ ก็เกิดเหตุผิดปกติขึ้น หลายประเทศเริ่มประสบภัยพิบัติแบบแปลกประหลาดจนเกือบหาคำอธิบายไม่ได้ เช่น เมืองในอัฟกานิสถานกลายเป็นน้ำแข็งหมดภายใน 10 วินาที ฮ่องกงก็โดนไฟไหม้ตึกสูงซะยิ่งกว่าเพลิงไหม้โรงเก็บแก๊ส มันดูเว่อร์วังอลังการหลุดโลกมาก เรียกว่าภาพซีจีจัดเต็มจนรู้สึกเหมือนอยู่ในเกม SimCity เวอร์ชั่นบ้าคลั่ง
Max และทีมก็เลยต้องเรียกพี่ชาย (Jake) กลับมาเข้าร่วมสืบสวน เขาต้องไต่หาความจริงขึ้นไปยังสถานีอวกาศ ร่วมทีมกับชาวโลกนานาชาติหาคำตอบว่า เกิดอะไรขึ้นกับ Dutch Boy? มีแฮคเกอร์หรือนักวางแผนร้ายกำลังใช้ดาวเทียมนี้ก่อวินาศกรรมโลกหรือเปล่า?
เนื้อเรื่องช่วงนี้จะค่อยๆ เผยให้เห็นเบื้องหลังการเมือง ความขัดแย้งระหว่างชาติ การวางอำนาจ การหักหลังกันในหมู่ผู้บริหารระดับสูง รวมทั้งการซ่อนตัวของวายร้ายคนหนึ่งที่หวังใช้ภาวะอากาศเป็น “อาวุธ” เพื่อเติมเต็มแผนการหรือผลประโยชน์อะไรบางอย่างที่ใหญ่โตมาก
สิ่งที่ผมต้องยอมรับอย่างแรกเลยคือ ความสเกลของหนัง เรื่อง “ความโกลาหลของโลก” เขาทำได้อลังแบบจัดเต็มจริงๆ ฉากที่ดูแล้วติดตาคือ ซีนมหาสมุทรลุกเป็นไฟ ทะเลทรายกลายเป็นน้ำแข็ง ตึกถล่มเป็นโดมิโน่หรือฉากที่ลูกเห็บหิมะก้อนโตพอๆ กับลูกฟุตบอลตกใส่เมือง คือนั่งดูไปก็ไม่ต้องคิดถึงหลักฟิสิกส์ใดๆ ทั้งสิ้นประมาณว่าขอให้มันระเบิดตาแตกวิ่งหนีตายให้สุดทางไว้ก่อน ส่วนตรรกะ-หลักวิทย์ ไม่มีจ้าลืมไปได้เลย
จุดเด่นของหนังอีกอย่างคือฉากแอ็คชั่นและความเว่อร์ของซีจี นี่คือหนังที่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ “คิดอะไรได้ใส่มาหมด” ระดับหนังวันโลกาวินาศ (Disaster Movie) ตัวละครหลายตัวก็จะมีเสน่ห์เฉพาะตัว หล่อ สวย เกรียน ฉลาดเฉพาะทาง แม้จะเป็นสูตรสำเร็จก็ตาม บวกกับความตึงเครียดความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องที่ถูกคลี่คลายไปพร้อมๆ กับปริศนาบนสถานีอวกาศ ก็ทำให้หนังไม่ถึงกับน่าเบื่อเสียทีเดียว
แต่ในทางกลับกัน เนื้อเรื่องมันค่อนข้างเบาบาง มีช่องโหว่เยอะ Logic หรือความสมจริงในการใช้งานเทคโนโลยี (อย่างที่เราบอกไปด้านบน) คือมันหลุดโลกสุดๆ การแฮก ระบบ ความซับซ้อนของดาวเทียมที่ควบคุมโลกทั้งใบ อยู่ดีๆ ก็มีคนแฮกเข้ามาแก้ได้ภายใน 3 นาที แล้วพระเอกจะเก่งไปไหน เดินชมวิวในสถานีอวกาศเหมือนไม่รู้จักความกลัวใดๆ นี่จริงๆ ควรจะตายไปเป็นรอบๆ ตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วด้วยซ้ำ
พอเข้าช่วงไคลแมกซ์ ความระทึกยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก บนสถานีอวกาศมีระเบิด มีคนเดินไปเดินมาอยู่ ๆ ระบบจะแถมสั่งให้ Auto-Destruct อีกต่างหาก (ขอชื่นชมความคิดถึงในหนังยุค 80/90 ที่สถานีอวกาศต้องมีปุ่มทำลายตัวเองเสมอ ฮา) ในขณะที่ภาคพื้นโลก สองพี่น้องก็ต้องแข่งกับเวลา คลี่คลายแผนสมคบคิดและหาจุดหยุดยั้งมหันตภัย ก่อนที่ “Geostorm” หรือ “พายุแห่งสรรพสิ่ง” จะกวาดล้างโลกแบบรีเซ็ตคอมทุกอย่างทิ้ง

ตอนจบก็แน่นอนครับ พระเอกอย่างเจคกับแม็กซ์สามารถช่วยกันหยุดมหันตภัยได้สำเร็จ โลกปลอดภัยอีกครั้ง แม้ว่าพี่ชายจะเกือบต้องสละชีพอยู่บนสถานีอวกาศแต่สุดท้ายก็หนีรอดมาได้อย่างฉิวเฉียดสไตล์แฮปปี้เอนดิ้ง
สรุปแล้วนะครับ Geostorm เป็นหนังดูเพลินๆ ที่เหมือนเอา “หนังพินาศโลก” หลายเรื่องมายำรวมกัน ทั้งความเวอร์ของ CG เรื่องราวสายลับแบบ Political Thriller ความขัดแย้งในครอบครัว และซีนน้ำท่วม ไฟไหม้ ลูกเห็บลงเมืองรวมๆ กัน เหมาะกับคนที่ชอบหนังดูง่าย ไม่ต้องคิดมาก เน้นระเบิดภูเขาเผากระท่อมกับ CG ยุคใหม่ อารมณ์ประมาณนั่งดู Popcorn Movie วันหยุดกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง พวกสายหาเหตุผลลึกๆ หรือคนที่อยากดูไซไฟแบบสมจริง แนะนำผ่านไปเลยครับ เพราะ Logic หลุดเพียบ

ข้อดีหลักๆ คือ CG ฉากแอ็คชั่น และการเดินเรื่องรวดเร็วไม่อืดอาด รวมถึงอาจจะได้ข้อคิดเรื่อง “คนเราก็ต้องสามัคคีกันดูแลโลก” แบบไม่ต้องซีเรียสมากมาย
ข้อเสียคือ เนื้อเรื่องธรรมดา ตัวละครไม่มีมิติเท่าไหร่ หลายอย่างดูเข้าทำนองบังเอิญเกิ๊น แล้วก็ Logic หลายส่วนถ้าใครติ่งวิทยาศาสตร์จะขัดใจมาก
คะแนนส่วนตัว ให้ 6/10 สำหรับความสนุกดูมันส์ไม่คิดมาก ถึงจะหลุดโลกไปหน่อยแต่ก็ถือว่าเป็นการพักหัวสมองหลังสัปดาห์ที่เครียดดีครับ
จบรีวิวแบบสปอย Geostorm เมฆาถล่มโลก ใครเคยดูมาคอมเมนต์แลกเปลี่ยนกันได้ครับว่ารู้สึกเหมือนกันไหม หรือใครมีหนังแนวนี้แนะนำเพิ่มเติมก็มาแชร์กันได้จ้า
[CR] สปอยหนัง Geostorm เมฆาถล่มโลก
วันนี้ผมอยากจะมาเม้าท์มอยรีวิวหนัง Geostorm หรือชื่อไทยว่า “เมฆาถล่มโลก” กันแบบสะใจชนิดที่สปอยกันเต็มๆ ใครยังไม่ได้ดูแล้วกลัวโดนสปอยแนะนำให้รีบไปหาดูก่อนนะครับแล้วค่อยกลับมาอ่าน แต่ถ้าใครดูแล้วหรือสะดวกที่จะโดนสปอยก็ลุยกันเถอะ
หนัง Geostorm เป็นหนังแนวไซไฟเวอร์ชั่นพินาศโลกที่เข้าโรงในปี 2017 ผลงานของผู้กำกับ Dean Devlin ที่ปกติแล้วเขาเป็นโปรดิวเซอร์ของหนังไอ้มดแดง อินดิเพนเดนซ์ เดย์ อะไรประมาณนั้น มาคราวนี้เขาเปลี่ยนบทบาทมาลุยเองในฐานะผู้กำกับ โดย Geostorm เล่าเรื่องอนาคตอันใกล้โลกเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติแบบถี่รัวไม่เว้นวัน ก้อนเมฆลูกเห็บหิมะ มรสุม พายุหิมะ ไฟป่าเยอะจนเครื่องจักรสวรรค์ยังงงว่าทำไมมันจัดเต็มขนาดนี้ ดังนั้นมนุษยชาติก็เลยรวมตัวกันออกแบบระบบดาวเทียมอัจฉริยะที่ชื่อ “Dutch Boy” เพื่อควบคุมสภาพอากาศบนโลกป้องกันภัยพิบัติ
ฟังดูอลังการใช่ไหมครับ มีดาวเทียมมากมายล้อมรอบโลกช่วยจัดแจงสรรสร้างดินฟ้าอากาศไม่ให้โหดร้ายกับมนุษย์มากเกินไป ซึ่งพระเอกของเราก็คือ Jake Lawson (รับบทโดย Gerard Butler) เป็นหัวหน้าทีมวิศวกรที่วางแผนและสร้าง Dutch Boy ตั้งแต่ต้น พร้อมกับน้องชายชื่อ Max Lawson (รับบทโดย Jim Sturgess) ซึ่งต่อมาก็เข้ามาทำงานกับรัฐบาลสหรัฐฯ เพื่อดูแลโครงการนี้เหมือนกัน
แต่เรื่องราวมันไม่ได้เรียบง่ายอย่างนั้นครับ เพราะทันทีที่หนังเปิดฉากด้วยการให้เราเห็นเทคโนโลยีล้ำยุค ภาพจำลองดาวเทียมรอบโลกสวยๆ แล้ว ก็โยนปัญหาใส่หัวพระเอกเลยจ้ารัฐบาลเกิดไม่ไว้ใจ เจค ว่าเขาจะดูแล Dutch Boy ให้ดี อารมณ์แบบหัวหน้าที่เก่งแต่มือถึงปากไว ขวางโลกนิดๆ ก็เลยถูกปลดออกแล้วส่งน้องชาย Max ขึ้นมาเป็นหัวหน้าแทน สองพี่น้องความสัมพันธ์ก็เลยตึงๆ หน่อยเหมือนเส้นก๋วยเตี๋ยวที่ใกล้จะขาด
เวลาผ่านไปพอดาวเทียม Dutch Boy กำลังจะส่งมอบให้สหรัฐอเมริกาดูแลเพียงเจ้าเดียวจู่ๆ ก็เกิดเหตุผิดปกติขึ้น หลายประเทศเริ่มประสบภัยพิบัติแบบแปลกประหลาดจนเกือบหาคำอธิบายไม่ได้ เช่น เมืองในอัฟกานิสถานกลายเป็นน้ำแข็งหมดภายใน 10 วินาที ฮ่องกงก็โดนไฟไหม้ตึกสูงซะยิ่งกว่าเพลิงไหม้โรงเก็บแก๊ส มันดูเว่อร์วังอลังการหลุดโลกมาก เรียกว่าภาพซีจีจัดเต็มจนรู้สึกเหมือนอยู่ในเกม SimCity เวอร์ชั่นบ้าคลั่ง
Max และทีมก็เลยต้องเรียกพี่ชาย (Jake) กลับมาเข้าร่วมสืบสวน เขาต้องไต่หาความจริงขึ้นไปยังสถานีอวกาศ ร่วมทีมกับชาวโลกนานาชาติหาคำตอบว่า เกิดอะไรขึ้นกับ Dutch Boy? มีแฮคเกอร์หรือนักวางแผนร้ายกำลังใช้ดาวเทียมนี้ก่อวินาศกรรมโลกหรือเปล่า?
เนื้อเรื่องช่วงนี้จะค่อยๆ เผยให้เห็นเบื้องหลังการเมือง ความขัดแย้งระหว่างชาติ การวางอำนาจ การหักหลังกันในหมู่ผู้บริหารระดับสูง รวมทั้งการซ่อนตัวของวายร้ายคนหนึ่งที่หวังใช้ภาวะอากาศเป็น “อาวุธ” เพื่อเติมเต็มแผนการหรือผลประโยชน์อะไรบางอย่างที่ใหญ่โตมาก
สิ่งที่ผมต้องยอมรับอย่างแรกเลยคือ ความสเกลของหนัง เรื่อง “ความโกลาหลของโลก” เขาทำได้อลังแบบจัดเต็มจริงๆ ฉากที่ดูแล้วติดตาคือ ซีนมหาสมุทรลุกเป็นไฟ ทะเลทรายกลายเป็นน้ำแข็ง ตึกถล่มเป็นโดมิโน่หรือฉากที่ลูกเห็บหิมะก้อนโตพอๆ กับลูกฟุตบอลตกใส่เมือง คือนั่งดูไปก็ไม่ต้องคิดถึงหลักฟิสิกส์ใดๆ ทั้งสิ้นประมาณว่าขอให้มันระเบิดตาแตกวิ่งหนีตายให้สุดทางไว้ก่อน ส่วนตรรกะ-หลักวิทย์ ไม่มีจ้าลืมไปได้เลย
จุดเด่นของหนังอีกอย่างคือฉากแอ็คชั่นและความเว่อร์ของซีจี นี่คือหนังที่แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจ “คิดอะไรได้ใส่มาหมด” ระดับหนังวันโลกาวินาศ (Disaster Movie) ตัวละครหลายตัวก็จะมีเสน่ห์เฉพาะตัว หล่อ สวย เกรียน ฉลาดเฉพาะทาง แม้จะเป็นสูตรสำเร็จก็ตาม บวกกับความตึงเครียดความสัมพันธ์ระหว่างสองพี่น้องที่ถูกคลี่คลายไปพร้อมๆ กับปริศนาบนสถานีอวกาศ ก็ทำให้หนังไม่ถึงกับน่าเบื่อเสียทีเดียว
แต่ในทางกลับกัน เนื้อเรื่องมันค่อนข้างเบาบาง มีช่องโหว่เยอะ Logic หรือความสมจริงในการใช้งานเทคโนโลยี (อย่างที่เราบอกไปด้านบน) คือมันหลุดโลกสุดๆ การแฮก ระบบ ความซับซ้อนของดาวเทียมที่ควบคุมโลกทั้งใบ อยู่ดีๆ ก็มีคนแฮกเข้ามาแก้ได้ภายใน 3 นาที แล้วพระเอกจะเก่งไปไหน เดินชมวิวในสถานีอวกาศเหมือนไม่รู้จักความกลัวใดๆ นี่จริงๆ ควรจะตายไปเป็นรอบๆ ตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วด้วยซ้ำ
พอเข้าช่วงไคลแมกซ์ ความระทึกยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก บนสถานีอวกาศมีระเบิด มีคนเดินไปเดินมาอยู่ ๆ ระบบจะแถมสั่งให้ Auto-Destruct อีกต่างหาก (ขอชื่นชมความคิดถึงในหนังยุค 80/90 ที่สถานีอวกาศต้องมีปุ่มทำลายตัวเองเสมอ ฮา) ในขณะที่ภาคพื้นโลก สองพี่น้องก็ต้องแข่งกับเวลา คลี่คลายแผนสมคบคิดและหาจุดหยุดยั้งมหันตภัย ก่อนที่ “Geostorm” หรือ “พายุแห่งสรรพสิ่ง” จะกวาดล้างโลกแบบรีเซ็ตคอมทุกอย่างทิ้ง
ตอนจบก็แน่นอนครับ พระเอกอย่างเจคกับแม็กซ์สามารถช่วยกันหยุดมหันตภัยได้สำเร็จ โลกปลอดภัยอีกครั้ง แม้ว่าพี่ชายจะเกือบต้องสละชีพอยู่บนสถานีอวกาศแต่สุดท้ายก็หนีรอดมาได้อย่างฉิวเฉียดสไตล์แฮปปี้เอนดิ้ง
สรุปแล้วนะครับ Geostorm เป็นหนังดูเพลินๆ ที่เหมือนเอา “หนังพินาศโลก” หลายเรื่องมายำรวมกัน ทั้งความเวอร์ของ CG เรื่องราวสายลับแบบ Political Thriller ความขัดแย้งในครอบครัว และซีนน้ำท่วม ไฟไหม้ ลูกเห็บลงเมืองรวมๆ กัน เหมาะกับคนที่ชอบหนังดูง่าย ไม่ต้องคิดมาก เน้นระเบิดภูเขาเผากระท่อมกับ CG ยุคใหม่ อารมณ์ประมาณนั่งดู Popcorn Movie วันหยุดกับครอบครัวหรือเพื่อนฝูง พวกสายหาเหตุผลลึกๆ หรือคนที่อยากดูไซไฟแบบสมจริง แนะนำผ่านไปเลยครับ เพราะ Logic หลุดเพียบ
ข้อดีหลักๆ คือ CG ฉากแอ็คชั่น และการเดินเรื่องรวดเร็วไม่อืดอาด รวมถึงอาจจะได้ข้อคิดเรื่อง “คนเราก็ต้องสามัคคีกันดูแลโลก” แบบไม่ต้องซีเรียสมากมาย
ข้อเสียคือ เนื้อเรื่องธรรมดา ตัวละครไม่มีมิติเท่าไหร่ หลายอย่างดูเข้าทำนองบังเอิญเกิ๊น แล้วก็ Logic หลายส่วนถ้าใครติ่งวิทยาศาสตร์จะขัดใจมาก
คะแนนส่วนตัว ให้ 6/10 สำหรับความสนุกดูมันส์ไม่คิดมาก ถึงจะหลุดโลกไปหน่อยแต่ก็ถือว่าเป็นการพักหัวสมองหลังสัปดาห์ที่เครียดดีครับ
จบรีวิวแบบสปอย Geostorm เมฆาถล่มโลก ใครเคยดูมาคอมเมนต์แลกเปลี่ยนกันได้ครับว่ารู้สึกเหมือนกันไหม หรือใครมีหนังแนวนี้แนะนำเพิ่มเติมก็มาแชร์กันได้จ้า
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้