มี 2 เรื่อง ปี 2568 ลงทุนแยกขั้ว หุ้นไทยดิ่ง–ทองคำพุ่งแรง และ ปีใหม่แต่ละธนาคารหยุดวันไหนบ้าง

กระทู้ข่าว
KEY POINTS
ลงทุนปี 2568 แยกขั้วชัดเจน ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนติดลบกว่า 10% ต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่อง ขณะที่ทองคำพุ่งแรงกว่า 50% ทำหน้าที่สินทรัพย์ปลอดภัยเด่น 

SET ผันผวนหนัก เงินในประเทศพยุงตลาดเพียงฝ่ายเดียว IPO หดตัว มูลค่าไม่แพงแต่ยังไม่ดึงดูด หากกำไรบริษัทและเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นชัด แนวโน้มระยะยาวยังอ่อนแรง

ทิศทางลงทุนปี 2569 ทองคำยังมีอัพไซด์ ลุ้นบวกอย่างน้อย 10% ปัจจัยหนุนจากดอกเบี้ยโลกขาลง ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ และแรงซื้อธนาคารกลาง 
ปี 2568 กลายเป็นปีที่ภาพการลงทุน “แยกขั้ว” ชัดเจนที่สุดปีหนึ่ง โดยตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนแย่ที่สุดเมื่อเทียบกับสินทรัพย์หลัก ดัชนี SET Index ติดลบกว่า 10% จากต้นปี

ในทางตรงกันข้าม ราคาทองคำกลับทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่องตลอดปี 2568 ปรับตัวขึ้นแรงกว่า 50% จากต้นปี แตะระดับเกือบ 67,000 บาทต่อบาททองคำ ในฐานะที่ทองคำทำหน้าที่ “สินทรัพย์ปลอดภัย” ได้อย่างเด่นชัด 

ภาพรวมการลงทุนในปี 2568 จึงสะท้อนการเปลี่ยนพฤติกรรมของนักลงทุนจากการแสวงหาผลตอบแทนในสินทรัพย์เสี่ยง ไปสู่การปกป้องความมั่งคั่งและกระจายความเสี่ยงมากขึ้น โดยทองคำกลายเป็นผู้ชนะของปี ขณะที่ตลาดหุ้นไทยยังคงอยู่ในช่วงตั้งรับและรอจังหวะฟื้นตัวที่ชัดเจนกว่าเดิม

หุ้นไทย ปีแห่งความผันผวนและตั้งรับ 
ตลอดปี 2568 ตลาดหุ้นไทยเผชิญความผันผวนสูงและให้ภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงภาวะเศรษฐกิจในประเทศซึ่งยังไม่ฟื้นตัวอย่างแท้จริง ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET Index) เคลื่อนไหวในกรอบกว้างตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 19 ธันวาคม รวมระยะเวลา 235 วันทำการ
โดยสามารถขึ้นไปทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1,390.88 จุด ในช่วงต้นปี ก่อนจะไหลลงทำจุดต่ำสุดที่ 1,062.78 จุด ในวันที่ 26 มิถุนายน ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยดัชนีตลาดหุ้นไทยในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา
แม้ช่วงครึ่งหลังของปีดัชนีจะมีแรงรีบาวด์ระยะสั้น แต่หากพิจารณาผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปี SET Index ยังคงติดลบที่ระดับ 10.57% สะท้อนแรงกดดันเชิงโครงสร้างที่ยังไม่คลี่คลาย โดยเฉพาะความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติและนักลงทุนสถาบันที่ยังไม่กลับมาอย่างชัดเจน

เมื่อเปรียบเทียบในกรอบเวลาที่กว้างขึ้น ภาพของตลาดหุ้นไทยยังคงอ่อนแรง โดยผลตอบแทนย้อนหลัง 1 ปีติดลบ 9.10% ขณะที่ช่วง 3 ปี และ 5 ปีติดลบลึกถึง 22.62% และ 15.53% ตามลำดับ แม้ระยะ 6 เดือนล่าสุดจะให้ผลตอบแทนบวกกว่า 17% แต่ยังไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนแนวโน้มหลักของตลาดได้
ด้านสภาพคล่อง แม้ตลาดจะมีมูลค่าการซื้อขายรวมกว่า 9.62 ล้านล้านบาทในช่วง 235 วันทำการ หรือเฉลี่ยราว 4.09 หมื่นล้านบาทต่อวัน แต่โครงสร้างของแรงซื้อสะท้อนความเปราะบางอย่างชัดเจน

นักลงทุนภายในประเทศเป็นเพียงกลุ่มเดียวที่มีสถานะซื้อสุทธิรวมกว่า 1.56 แสนล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิกว่า 1.08 แสนล้านบาท สถาบันขายสุทธิราว 3.6 หมื่นล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิราว 1.23 หมื่นล้านบาท
ภาพดังกล่าวชี้ให้เห็นว่าตลาดหุ้นไทยในปี 2568 ยังต้องพึ่งพา “เงินในประเทศ” เป็นหลักในการพยุงดัชนี ท่ามกลางการไหลออกของเงินทุนต่างชาติที่ยังไม่หยุด

ในเชิงมูลค่า ตลาดหุ้นไทยไม่ได้อยู่ในระดับที่แพงเมื่อเทียบกับอดีต โดยค่า P/E อยู่ที่ราว 15.35 เท่า และ P/BV ที่ 1.18 เท่า ขณะที่อัตราเงินปันผลตอบแทนเฉลี่ยอยู่ที่ 3.73% 

อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้ยังไม่เพียงพอจะดึงดูดเม็ดเงินใหม่ หากปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจและการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียนยังไม่ส่งสัญญาณฟื้นตัวชัดเจน สะท้อนจากกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ที่อยู่ที่เพียง 81.58 บาท และอัตราหมุนเวียนการซื้อขายที่ยังต่ำกว่าช่วงตลาดคึกคักในอดีต 

อีกหนึ่งสัญญาณที่สะท้อนภาวะซบเซาของตลาดทุนไทย คือการชะลอตัวของตลาดหุ้นไอพีโอ ในปี 2568 มีบริษัทเข้าระดมทุนทั้งในตลาด SET และ mai รวมเพียง 18 หลักทรัพย์ ลดลงอย่างมีนัยสำคัญจากปีก่อนที่มีถึง 32 หลักทรัพย์

การหดตัวของจำนวน IPO ไม่ได้ส่งผลเพียงต่อรายได้ค่าธรรมเนียมของผู้จัดจำหน่ายหุ้นเท่านั้น แต่ยังสะท้อนความลังเลของภาคธุรกิจในการเข้าตลาดทุน ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ยังไม่เอื้อต่อการประเมินมูลค่าในระดับที่เหมาะสม 

ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในปี 2568 จึงเป็นปีแห่งการ “ตั้งรับ” มากกว่าการเติบโต แม้จะมีแรงซื้อในประเทศเข้ามาพยุงดัชนี แต่การขาดแรงหนุนจากเงินทุนต่างชาติ การชะลอตัวของ IPO และผลตอบแทนระยะยาวที่ยังติดลบ ล้วนสะท้อนความท้าทายเชิงโครงสร้างของตลาดทุนไทยที่ยังรอปัจจัยใหม่เข้ามาปลดล็อก ทั้งในด้านเศรษฐกิจ การลงทุน และความเชื่อมั่นในอนาคต

ทองคำยังไม่จบขาขึ้น ปี 69 มีลุ้นบวก 10% 
ขณะที่ตลาดทองคำยังคงถูกจับตาอย่างใกล้ชิด หลังราคาทองคำในปี 2568 ปรับตัวร้อนแรงทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ก่อนเผชิญแรงขายทำกำไรช่วงสั้นในเดือนตุลาคม ล่าสุด “วรชัย ตั้งสิทธิภักดี” รองเลขาธิการสมาคมค้าทองคำ ประเมินว่าแนวโน้มปี 2569 ราคาทองคำยังมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นขั้นต่ำราว 10%
โดยคาดว่าราคาทองคำในประเทศอาจขยับขึ้นสู่ระดับ 69,000–71,000 บาทต่อบาททองคำ ภายใต้เงื่อนไขค่าเงินบาทและทิศทางดอกเบี้ยโลก 

นายวรชัย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปี 2568 ราคาทองคำเคลื่อนไหวในระดับสูงตลอดทั้งปี โดยทำจุดสูงสุดที่ 67,400 บาทต่อบาททองคำ เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม ก่อนจะปรับฐานลงมาอยู่ที่ระดับ 59,750–60,000 บาท หรือลดลงราว 11% ภายในระยะเวลาเพียง 10 วัน จากแรงขายทำกำไร หลังประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าการลดดอกเบี้ยไม่ได้หมายความว่าจะเกิดขึ้นต่อเนื่อง 

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นราคาทองคำเริ่มฟื้นตัวและไต่ระดับกลับขึ้นมาอยู่ที่ราว 64,400 บาท ซึ่งหากคำนวณตั้งแต่ต้นปี 2568 ราคาทองคำยังปรับเพิ่มขึ้นถึง 51% สะท้อนว่าทองคำยังคงอยู่ใน “โซนสูง” เมื่อเทียบกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ประเมินว่าปกติทองคำจะเพิ่มขึ้นเพียง 8–10% ต่อปี 
ข้อมูลจากสมาคมค้าทองคำระบุว่า ต้นปี 2568 ราคาทองคำแท่งในประเทศอยู่ที่ 42,650 บาทต่อบาททองคำ โดยมี Spot Gold อยู่ที่ 2,624.50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และค่าเงินบาทเฉลี่ย 34.34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ

ขณะที่ช่วงทำจุดสูงสุดในเดือนตุลาคม Spot Gold พุ่งขึ้นไปที่ 4,372 ดอลลาร์ต่อออนซ์ และค่าเงินบาทแข็งค่ามาที่ระดับ 32.55 บาทต่อดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศเพิ่มขึ้นถึง 24,750 บาท หรือคิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น 58% ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งปี 
นายวรชัยมองว่า การปรับฐานของราคาทองคำในช่วงเดือนตุลาคมเป็นเพียงการพักฐานหลังราคาปรับขึ้นแรง ประกอบกับแรงขายจากกองทุนและสถาบันบางส่วน แต่ในระยะยาวนักลงทุนสถาบันและธนาคารขนาดใหญ่ยังเชื่อว่าเฟดมีโอกาสกลับมาลดดอกเบี้ยอีก โดยเฉพาะหากปัจจัยการเมืองสหรัฐเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญ 

สำหรับช่วงที่เหลือของปี 2568 มองว่าราคาทองคำมีโอกาสอ่อนตัวลงเล็กน้อยจากแรงขายปิดงบหรือทำกำไร แต่ไม่น่าหลุดระดับ 63,000 บาท เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ยังไม่คลี่คลาย ขณะที่ทิศทางดอกเบี้ยเฟดยังอยู่ในช่วงขาลง ซึ่งตามกลไกแล้วจะเป็นปัจจัยหนุนราคาทองคำ 

ในมุมมองปี 2569 นายวรชัย ระบุว่า ทองคำยังเป็นสินทรัพย์ที่น่าสนใจสำหรับการกระจายความเสี่ยง แต่ควรเป็นการลงทุนด้วย “เงินเย็น” โดยนักวิเคราะห์จำนวนมากประเมินว่าทองคำยังมีโอกาสทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ได้อีก จากความคาดหวังว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม 1–2 ครั้ง หลังอัตราดอกเบี้ยและเงินเฟ้อเริ่มเข้าใกล้กันมากขึ้น 

ขณะเดียวกัน สถาบันการเงินขนาดใหญ่ เช่น Goldman Sachs และ Bank of America คาดการณ์ว่าราคาทองคำโลก ณ สิ้นปี 2569 อาจอยู่ในกรอบ 4,900–5,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ จากแรงซื้อของธนาคารกลางทั่วโลก ซึ่งในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ธนาคารกลางถือครองทองคำเฉลี่ยกว่า 1,000 ตันต่อปี โดยเฉพาะจีน 

ทั้งนี้ หากค่าเงินบาทแข็งค่ามาที่ระดับราว 30 บาทต่อดอลลาร์ ราคาทองคำในประเทศมีโอกาสขยับขึ้นสู่ช่วง 69,000–71,000 บาทต่อบาททองคำ
สอดคล้องกับมุมมองตลาดที่คาดว่าราคาทองคำปี 2569 จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 10% แต่หากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ขยายวง เช่น ความตึงเครียดจีน–ไต้หวัน ราคาทองคำอาจปรับขึ้นได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้ 


ปีใหม่ 2569 เช็กวันเปิด-ปิดทำการสาขาธนาคาร หยุดวันไหนบ้าง...

อ่านข่าวต้นฉบับได้ที่ : https://www.prachachat.net/finance/news-1943347














แก้ไขข้อความเมื่อ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่