สรุป 5 เทรนด์ธุรกิจปี 2026 คู่มืออยู่รอดของคนทำมาค้าขาย และ ’10 ตัวเลขสถิติ’ สะท้อนความเป็นไปของไทย

กระทู้ข่าว
ปี 2026 โลกธุรกิจเข้าสู่โหมดคัดคนอยู่ ใครวางเกมพลาดอาจหายจากตลาด "ปลาเล็กมีเขี้ยวเล็บ" ท้าทายรายใหญ่ สินค้าที่อยู่ตรงกลางระหว่างถูกและดี อาจขายไม่ได้? ต่อไปขายสินค้าได้ทั่วโลกโดยไม่ต้องตั้งบริษัทต่างประเทศ

Krungsri SME สรุปแนวโน้มเศรษฐกิจและโลกธุรกิจปี 2026 ระบุว่า ภาพการแข่งขันกำลังเปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ จากเดิมที่เน้นความเร็ว ราคา และการตลาดเชิงรุก สู่ยุคของ “การแข่งขันเชิงสถาปัตยกรรมธุรกิจ” (Business Architecture) ที่วัดกันว่าใครออกแบบโครงสร้างรายได้ ระบบการทำงาน และโมเดลการเติบโตได้เหนือกว่า
 

รายงานระบุว่า พฤติกรรมผู้บริโภคปี 2026 จะ “ระมัดระวังมากขึ้น” แต่พร้อมจ่ายอย่างไม่อั้น หากสินค้าหรือบริการ “คุ้มค่าทางความรู้สึก” ขณะเดียวกัน เทคโนโลยี AI จะกลายเป็นต้นทุนพื้นฐานของการทำธุรกิจ ไม่ใช่ของใหม่ที่สร้างความได้เปรียบเฉพาะตัวอีกต่อไป
 

นอกจากนี้ สนามแข่งขันธุรกิจจะเปิดกว้างมากขึ้น จากบทบาทของแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ทำให้ผู้เล่นรายเล็กสามารถเข้าถึงตลาดโลกได้อย่างเท่าเทียม ส่งผลให้ “ปลาเล็กมีเขี้ยวเล็บ” และสามารถท้าทายผู้เล่นรายใหญ่ได้มากขึ้น
 

ทั้งนี้ Krungsri SME สรุป 5 การเปลี่ยนแปลงทางธุรกิจ (5 Business Shifts) ที่จะพลิกโฉมการแข่งขันในปี 2026 ดังนี้
 

1.Subscription Everywhere 
เลิกหาลูกค้าใหม่ทุกวัน แต่รักษาลูกค้าเก่าให้จ่ายทุกเดือน ธุรกิจจะขยับจากการขายขาด (One-time Sale) ไปสู่รายได้ประจำ (Recurring Revenue) มากขึ้น
 

ในยุคที่ค่าโฆษณา (Ad Costs) แพงขึ้นมหาศาล การหาลูกค้าใหม่ยากและแพงกว่าการรักษาลูกค้าเก่าถึง 5-10 เท่า โมเดล "ขายขาด" คือความเสี่ยง เพราะต้องเริ่มนับศูนย์ใหม่ทุกเดือน แต่โมเดล Subscription ช่วยให้มีกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ (Predictable Cash Flow) ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนและธนาคารต้องการที่สุด
 

คำว่า Subscription ไม่ได้จำกัดแค่ Software หรือ Content แต่สามารถประยุกต์ได้ทุกวงการ เช่น 
 

สินค้าสิ้นเปลือง (Consumables): แทนที่จะรอให้ลูกค้าสบู่หมดแล้วค่อยมาซื้อ (ซึ่งเขาอาจเปลี่ยนใจไปซื้อยี่ห้ออื่น) ให้เปลี่ยนเป็นระบบ "ส่งอัตโนมัติทุกเดือน" พร้อมส่วนลด
ธุรกิจบริการ (Services) : ร้านตัดผม หรือ คาร์แคร์ สามารถทำ "Unlimited Pass" จ่ายรายเดือนตัดผมได้ไม่จำกัด หรือล้างรถได้ตลอด เพื่อล็อกลูกค้าไม่ให้ไปร้านคู่แข่ง และเพิ่มโอกาสในการขายบริการเสริม (Upsell)
B2B เปลี่ยนจากขายเครื่องจักรราคาแพง เป็น "ให้เช่าใช้ พร้อมดูแลตลอดอายุสัญญา" ลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้นเพราะไม่ต้องลงทุนก้อนใหญ่ (CAPEX) ส่วนผู้ประกอบการได้รายได้ยาว
 

2. AI Workflow 
ต่อไปนี้ AI จะไม่ใช่เพียงเครื่องมือ แต่กลายเป็น “พนักงานดิจิทัล” ที่ทำงานแทนคนได้ทั้งกระบวนการ ตั้งแต่บริการลูกค้า การขาย ไปจนถึงการบริหารจัดการ ส่งผลให้ SME ทีมเล็กสามารถสร้างผลลัพธ์ได้ใกล้เคียงองค์กรขนาดใหญ่
 

จะเห็นว่าปี 2024-2025 เราตื่นเต้นกับการใช้ ChatGPT เขียนอีเมลหรือคิดคอนเทนต์ แต่ปี 2026 คือยุคของ "Agentic AI" หรือ AI ที่ทำงานแทนคนได้เป็นกระบวนการโดยไม่ต้องรอคำสั่งทีละขั้น ธุรกิจที่ใช้ AI เป็นแค่เครื่องมือ จะมีความเร็วเท่าเดิม แต่ธุรกิจที่ฝัง AI ลงใน Workflow จะลดต้นทุนดำเนินงานได้มหาศาล เช่น 
 

Customer Service : ไม่ใช่แค่ Chatbot ตอบคำถามง่าย ๆ แต่เป็น AI Agent ที่สามารถ "รับเรื่องร้องเรียน > ตรวจสอบสถานะในระบบ > อนุมัติการคืนเงิน > และส่งอีเมลขอโทษลูกค้า" ได้จบในลูปเดียวตลอด 24 ชม.
Sales & Lead Gen: AI สามารถมอนิเตอร์โซเชียลมีเดีย หาคนที่บ่นเรื่องสินค้าคู่แข่ง แล้วทักไปนำเสนอสินค้าของธุรกิจ พร้อมนัดเวลา Demo ให้เซลล์ที่เป็นมนุษย์ปิดการขาย
SME ทีมงาน 5 คนที่มี AI Workflow ที่ดี สามารถสร้างผลลัพธ์เท่ากับบริษัทที่มีพนักงาน 50 คนได้สบายๆ
 

3. Business Without Borders 
SME ไทยขายทั่วโลกได้ โดยไม่ต้องเปิดบริษัทต่างประเทศ The Shift จาก Local Player (เก่งแค่ในบ้าน) ไปสู่ Micro-Multinational (บริษัทจิ๋วแต่แจ๋วระดับโลก)
 

เศรษฐกิจในประเทศอาจเติบโตช้าหรือถดถอย (Stagnation) แต่เครื่องมือยุคใหม่ทำให้ "พรมแดน" ทางธุรกิจหายไปเกือบ 100% การยึดติดกับรายได้สกุลเงินบาทเพียงอย่างเดียวคือความเสี่ยง การมีรายได้หลายสกุลเงิน (Dollar, Euro, Yen) คือการกระจายความเสี่ยงที่ดีที่สุด เช่น 
 

AI Translation: กำแพงภาษาทลายลงแล้ว ธุรกิจสามารถทำคอนเทนต์ขายของ หรือคุยซัพพอร์ตลูกค้าต่างชาติได้แบบ Real-time
Global Payment & Logistics: ระบบอย่าง Stripe, PayPal หรือ Fulfillment Center ทำให้การรับเงินและการส่งของไปอเมริกา ง่ายเหมือนส่งของไปเชียงใหม่
Opportunity: สินค้าไทยที่เป็น Niche Market (เช่น งานฝีมือ, อาหารเฉพาะกลุ่ม, บริการออกแบบ) เป็นที่ต้องการในตลาดโลกเสมอ และมักได้ราคาดีกว่าขายในไทย 3-4 เท่า
 

4. Premiumization  
ลูกค้ายอมจ่ายแพงขึ้นถ้า ‘คุ้มจริง’ The Shift จาก Mass Market (เน้นปริมาณ/ราคาถูก) สู่ Value & Experience (เน้นคุณค่า/ประสบการณ์)
 

เศรษฐกิจแบบ K-Shape ทำให้ตลาดระดับกลาง หดตัว คนรวยรวยขึ้น คนจนจนลง ผู้บริโภคจะ "ประหยัดสุดขีด" กับสินค้าทั่วไป (เช่น ทิชชู่, น้ำยาล้างจาน) เพื่อเก็บเงินมา "จ่ายไม่อั้น" กับสิ่งที่ให้คุณค่าทางใจหรือประสบการณ์พิเศษ ถ้าสินค้าอยู่ตรงกลาง (ไม่ถูกที่สุด และไม่ดีที่สุด) อาจจะตายก่อนเพื่อน
 

สินค้า Commodity: ถ้าสู้ราคาจีนไม่ได้ ต้องรีบหนีจากการขายสินค้าพื้นฐาน ไปสู่การสร้างแบรนด์ที่เน้น Storytelling
Trust & Speed: ความพรีเมียมยุคใหม่ไม่ใช่แค่หรูหรา แต่คือ "ความไว้วางใจ" และ "ความเร็ว" ลูกค้ายอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อซื้อความสบายใจ เพื่อซื้อบริการหลังการขายที่ไม่ต้องรอสาย และเพื่อซื้อสินค้าที่แก้ปัญหาได้ชะงัด
Action: ถามตัวเองว่าสินค้าตนเองคือ "Budget Choice (ถูกคุ้ม)" หรือ "Premium Choice (ดีใจหาย)" ถ้าคำตอบคือกำกวม ให้รีบเลือกข้างทันที
 

5. Health & Longevity Economy
แนวทางสุขภาพอาจเป็นโอกาสสู่ความเติบโตใหม่ The Shift จาก Wellness Products (สินค้าสุขภาพ)  สู่ Longevity Integration (บูรณาการความยั่งยืนของชีวิต)
 

สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ไม่ใช่เรื่องไกลตัว แต่คือความจริงของโลกปี 2026 คนไม่ได้แค่อยาก "ไม่ป่วย" แต่อยาก "แก่ช้าลง" และ "มีคุณภาพชีวิตที่ดีนานขึ้น" (Healthspan vs Lifespan) เทรนด์นี้จะกลืนกินทุกอุตสาหกรรม ไม่ใช่แค่ยาหรือโรงพยาบาล เช่น 
 

อสังหาริมทรัพย์ คอนโดหรือบ้านต้องออกแบบระบบระบายอากาศ แสงสว่างที่ปรับตามนาฬิกาชีวิต (Circadian Rhythm) และวัสดุที่ไม่ปล่อยสารพิษ
อาหารและเครื่องดื่ม ไม่ใช่แค่ Low Sugar แต่ต้องเจาะลึกระดับ DNA, เสริมภูมิคุ้มกัน, หรือช่วยเรื่องการนอนหลับ
เฟอร์นิเจอร์/Office เก้าอี้ที่แก้ Office Syndrome, โต๊ะทำงานปรับระดับ จะกลายเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน ไม่ใช่ของฟุ่มเฟือย
โอกาส ธุรกิจใดที่เคลมได้ว่า "ช่วยให้ชีวิตลูกค้าดีขึ้น/ยืนยาวขึ้น" จะสามารถตั้งราคาได้สูงกว่าคู่แข่งทันที
 

อย่างไรก็ตาม โดยสรุปแล้ว ผู้ชนะในปี 2026 จะไม่ใช่ธุรกิจที่ “ขยันกว่า” หรือ “ยิงแอดเก่งกว่า” แต่คือผู้ที่วางหมากเชิงกลยุทธ์ได้ฉลาดกว่า และเริ่มปรับโครงสร้างธุรกิจล่วงหน้า
 

การมองธุรกิจผ่านเลนส์ของ 5 Business Shifts จะช่วยให้ผู้ประกอบการเห็นโอกาสใหม่ และเตรียมพร้อมรับเกมการแข่งขันรูปแบบใหม่ที่กำลังมาถึงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
 

Source : Krumgsri SME , KrungsriBusinessEmpowerment




’10 ตัวเลขสถิติ’ สะท้อนความเป็นไปของไทย กับทางแพร่งเศรษฐกิจในปี 2568

1. GDP 2.0% : “การเติบโตแบบประคองตัว”
ตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของปี 2568 ถูกปรับประมาณการจากสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ มาอยู่ที่ระดับ ร้อยละ 2.0 (จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ร้อยละ 1.8 ในช่วงต้นปี) ปัจจัยบวกสำคัญมาจากภาคการส่งออกและการลงทุนภาคเอกชนที่เริ่มฟื้นตัวจากความชัดเจนของนโยบายการค้าโลก อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้ยังสะท้อนความจริงที่เจ็บปวดว่าไทยยังติดอยู่ใน “กับดักรายได้ปานกลาง” และขยายตัวได้ต่ำกว่าศักยภาพที่ควรจะเป็น

2. หนี้ครัวเรือน 86.8% : “ระเบิดเวลาที่รอการปลดชนวน”
จากข้อมูลรายงานภาวะสังคมไทยไตรมาส 3/2568 ของสภาพัฒน์และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ ร้อยละ 86.8 แม้ตัวเลขจะดูเหมือนทรงตัว แต่ไส้ในกลับน่ากังวล เมื่อหนี้นอกระบบพุ่งสูงขึ้นเป็นร้อยละ 35 ของมูลค่าหนี้รวม สะท้อนถึง “ภาวะเข้าไม่ถึงสินเชื่อ” (Credit Crunch) ในระบบสถาบันการเงินที่เข้มงวดการปล่อยกู้ ส่งผลให้ลูกหนี้รายย่อยต้องหันไปพึ่งพาแหล่งเงินกู้ที่ดอกเบี้ยโหด

3. จดทะเบียนธุรกิจใหม่ 74,510 ราย : “ทุนต่างชาติรุกคืบ”
กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ รายงานตัวเลขการจดทะเบียนธุรกิจใหม่สะสม 10 เดือน (ม.ค.-ต.ค. 2568) รวม 74,510 ราย แม้จำนวนการจัดตั้งธุรกิจจะลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อน แต่สิ่งที่น่าจับตาคือ “มูลค่าทุนจดทะเบียน” และเม็ดเงินลงทุนจากต่างชาติ (FDI) ที่พุ่งสูงถึง 2.76 แสนล้านบาท เติบโตร้อยละ 72 โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ที่กลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและพลังงานสะอาดกลายเป็นแม่เหล็กสำคัญ

4. เด็กเกิดใหม่ 309,644 คน : “วิกฤตประชากรขั้นสุด”
นี่คือตัวเลขที่น่าตกใจที่สุดของปี ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขและกรมการปกครองระบุว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มีเด็กเกิดใหม่เพียง 309,644 คน ลดลงจากปีก่อนถึงร้อยละ 10 และคาดการณ์ว่าทั้งปีอาจไม่ถึง 4 แสนคน สวนทางกับจำนวนผู้เสียชีวิตที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ประชากรไทยเสี่ยงที่จะลดลงต่ำกว่า 66 ล้านคนในอนาคตอันใกล้ และเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-Aged Society) เร็วกว่าที่คาด

5. ส่งออกพุ่ง 12.6% : “เครื่องยนต์หลักที่ยังทำงาน”
ท่ามกลางเมฆหมอกทางเศรษฐกิจ ภาคการส่งออกคือ “พระเอก” ของปีนี้ กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยตัวเลขส่งออก 11 เดือนแรก ขยายตัวถึง ร้อยละ 12.6 มูลค่าสะสมกว่า 3.1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ สินค้าเกษตรแปรรูปและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ยังคงเป็นที่ต้องการของตลาดโลก แม้ไทยจะเผชิญกับการขาดดุลการค้าบางเดือนจากการนำเข้าวัตถุดิบและพลังงานก็ตาม

6. นักท่องเที่ยว 26.7 ล้านคน : “ปริมาณมา แต่คุณภาพยังท้าทาย”

7. จดทะเบียนรถอีวี 13,935 คันในเดือนเดียว : “พายุหมุนอุตสาหกรรมยานยนต์”

8. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค 53.2 : “ฟื้นตัวบนความกังวล”

9. โอนกรรมสิทธิ์อสังหาฯ ไตรมาส 4 คาดบวก 13.1%

10. อัตราการว่างงาน 0.76% : “ตัวเลขสวยหรูที่ซ่อนปัญหา”

อ่านรายละเอียดที่ https://www.prachachat.net/hilight-prachachat/news-1943400
[img]http
แก้ไขข้อความเมื่อ
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่