สติสัมพันธ์กับสมาธิ

กระทู้คำถาม
27 ธ.ค. 68 เรียนถามปัญหาธรรมเรื่อง สติสัมพันธ์กับสมาธิ
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต

ผม : ขอโอกาสเรียนถามพระอาจารย์ครับวันนี้ผมก็มาถึงที่หน้ากุฎิประมาณบ่ายโมงครับ ตั้งใจมานั่งภาวนาก่อนที่จะมาฟังธรรมประมาณชั่วโมงนึงก่อนที่พระอาจารย์จะบรรยายธรรม ผมก็ภาวนาไปเรื่อยๆ โดยการดูลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ก่อนที่จะภาวนาผมก็อธิฐาน อยากจะรู้ว่าการทำทานกับการปฏิบัติภาวนาอันไหนได้บุญมากกว่ากัน อานิสงส์ต่างกันอย่างไรไม่รู้ทำไมบังเอิญว่าพระอาจารย์ เทศน์เรื่องนี้พอดี
พระอาจารย์สุชาติ ยิ้ม  : จ๊ะเอ๋ จ๊ะเอ๋เลยใช่ไหม เข้าใจไหมล่ะ
ผม : พอจิตมันเข้าสมาธิมันก็ได้ยินบ้างไม่ได้ยินบ้าง
อาจารย์สุชาติ : ไม่เป็นไรไม่เป็นไรเดี๋ยวฟังย้อนหลังได้นั่งสมาธิบางทีเราก็ไม่ต้องสนใจกับธรรมก็ได้ให้ใจสงบก็พอ แต่ถ้าเราต้องการธรรม ก็ต้องคิดตาม อันนั้นเราไม่ได้คิดตามเราอยู่กับลมหายใจก็ภาวนาเพื่อสมาธิไปก่อนส่วนเรื่องปัญญา ความเข้าใจต้องมาฟังทีหลังใหม่ก็ได้ ดี

ผม : ข้อสองครับ ผมสังเกตตัวเองครับ คือ ผมปฏิบัติ 2 แบบ
แบบแรก คือ การภาวนาพุธโท โดยไม่ดูลมหายใจ โดยการพยายามภาวนาพุธโท ไปเรื่อยๆ ผมสังเกตตัวเอง พอภาวนาไปประมาณ 20 นาทีมันจะเกิดอาการ คือ ขนลุกขนพอง น้ำตาไหลเป็นทุกครั้งเลยครับ น้ำตาไหลเหมือนคนร้องไห้ร้องไห้
แต่พอผมเปลี่ยนมาดูลมหายใจเข้า ลมหายออกโดยไม่สนใจคำภาวนาพุทโธ อาการน้ำตาใหลขนลุกขนพองมันไม่เกิด แต่เกิดอาการเหมือนคลื่นกระทบเหมือนตัวเราโยกก็เลยสงสัยว่าทำไมอาการปีติตัวนี้มันต่างกันครับ

อาจารย์สุชาติ : เพราะกรรมฐานมันต่างกันไงก็ไม่ต้องไปกังวลอะไร ปีติเป็นเพียงทางผ่าน เราต้องการไปสู่อุเบกขา ความนิ่งสงบถ้าไปถึงจุดนั้นก็เหมือนกัน พุธโทก็รวมดิ่งเหมือนตกจากที่สูงลงมา ถ้าดูลมบางทีก็ตกเป็นขั้นบันไดค่อยๆ สงบทีละขั้นทีละขั้นในที่สุดก็จะถึงอุเบกขา เหมือนกันเป้าหมายของการปฎิบัติ ก็คือให้ถึงจุดที่นิ่งสงบที่สุดที่เรียกว่าอุเบกขาจิตสักแต่ว่ารู้ความคิดปรุงแต่งหายไปหมด ปีติสุขที่ผ่านมาก็หายไปหมดเหลือแต่ความว่าง

ผม : ข้อสามครับ ผมเคยบวชเป็นพระตอนปี 53 กับปี 59 ตอนที่เป็นพระการปฎิบัติสามารถข้ามปีติ ไปได้ เกิดอาการกายดับลมหายใจดับเหลือแต่จิตตัวรู้สว่างไสวอย่างเดียว
แต่พอสึกมาแล้ว ตอนนี้ผ่านมาจะ 10 ปีแล้ว ยิ่งเวลาผ่านไปเหมือนเราปฏิบัติได้น้อยลงหมายถึงความสงบน้อยลง คือ มันจะติดอยู่แค่ปีติ สุขอย่างเดียว มันไม่ถึงขั้นที่ลมหายใจดับและกายดับ คือ มันเกิดน้อยมากตอนสึกใหม่ๆ จะเกิดปีละ 10 ครั้ง แต่พอผ่านไป 10 ปีเนี่ยปีนึงเกิดไม่ถึง 1-2 ครั้งหมายความว่าจิตเรามันเสื่อมแล้วใช่ไหมครับ

พระอาจารย์สุชาติ  : ใช่สติเราเสื่อม เวลาที่เจริญสติมันน้อยเพราะเราต้องใช้จิตไปคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้เรื่องงาน เรื่องการ ถ้าอยากจะได้สติคืนมาก็ต้องไปบวชพระใหม่ ไปอยู่แบบไม่มีงานทำไม่มีเรื่องที่ต้องคิด เพราะไม่มีเรื่องคิดจิตเราก็จะได้สติกลับคืนมา แล้วเราก็จะรวมแยกกายแยกใจได้
ผม : แต่ถ้าเราไปติดอยู่ตรงที่ปีติกับสุข ที่มันเกิด อาการขนลุกขนพองน้ำตาใหลพวกนี้ก็เป็นสมาธิขั้นต้นใช่ไหมครับ

พระอาจารย์สุชาติ  : ใช่ ยังไม่ถึงขั้นที่สี่ (ฌาน 4) ยังอยู่ขั้นที่สอง (ฌาน 2) ขั้นที่หนึ่งขั้นที่สองได้ปีติสุขถ้าเรา เพ่งต่อไป ดูลมหายใจต่อไปหรือพุธโทต่อไป เดี๋ยวก็เข้าสู่ขั้นที่สี่ (ฌาน 4) จิตก็จะสงบสามารถแยกกาย แยกใจได้ สักแต่ว่ารู้
ผม : ตอนนี้นั่งสมาธิทีไรก็ติดอยู่ที่ขั้นที่สอง ขั้นที่สาม (ฌาน 2-3) ไปไม่ถึงขั้นที่สี่เลยครับ

พระอาจารย์สุชาติ :  สติไม่พอไงเหมือนเติมน้ำมันครึ่งถังเท่านั้นเองจะวิ่งไกลเกินครึ่งถังก็ไม่ได้ น้ำมัน มันหมดซะก่อน ถ้าไปเป็นนักบวชเรามีเวลาเจริญสติ ได้ทั้งวันเราก็สามารถเติมสติได้เต็มถัง พอเต็มถังมันก็สามารถเข้าไปสู่ขั้นที่สี่ได้
ผม : ข้อสุดท้ายครับตอนที่ผมบวชเมื่อปี 53 สาเหตุเกิดจากแม่ผมป่วยหนักมาก หมอบอกว่าต้องเสียชีวิตแน่นอน ผมก็เลยลาออกจากงานมาบวชให้แม่ ตอนที่ไปบวช แม่เค้าก็นิมิต เห็นมียมบาล 3 ตน มารับแม่ลงไปเที่ยวนรก อยู่ในนรก 7 วัน เห็นในนรกมันน่ากลัวมาก วันสุดท้ายวันที่เจ็ด แม่เห็นมีฤาษีมาหาแม่แล้วบอกว่าให้โอกาสกลับไปเพราะลูกบวชให้
ตอนที่ผมบวชก็ตั้งใจปฏิบัติพยายามนั่งสมาธิเดินจงกรม 8-12 ชั่วโมงทุกวันประมาณสองสามเดือนแล้วแม่ก็นิมิตเห็นเหมือนมีแสงสว่างในนิมิตขึ้นมาแล้วแม่ก็หายเป็นปกติ จากที่หมอบอกว่าต้องเสียชีวิตแน่ๆ ก็หายเป็นปกติจนปัจจุบัน 15 ปีแล้ว แต่แม่ผมดื้อไม่ยอมกินยาโรคประจำตัวหยุดยาไปเอง 3 ปี พอเดือนนี้แม่ก็เพิ่งมาป่วยหนักอีกรอบ ป่วยหนักเหมือนปี 53 เลยครับ แต่ว่าครั้งก่อนที่ผม ไปบวชได้เพราะว่ามีญาติคอยดูแล แต่ครั้งนี้ผมบวชให้ไม่ได้เพราะว่าเหลือผมคนเดียวต้องคอยดูแลแม่ ก็เลยต้องลางานมาคอยดูแลแต่ผมก็ตั้งใจจะบวช ล่ะครับ แต่ว่าบวชไม่ได้ก็เลยทำการนั่งสมาธิเองพยายามนั่งให้ได้วันละ 2-3 ชั่วโมงแล้วก็อุทิศบุญให้แม่ ไม่ทราบว่าทำอย่างนี้เราสามารถช่วยแม่ได้เหมือนตอนบวชพระไหมครับ

พระอาจารย์สุชาติ  : ก็ลองทำดูไง จะรู้ไม่รู้ก็ต้องดูผลที่จะตามมา
ผม : แต่รอบนี้แม่อาการหนักเหมือนปี 53 เลยครับ
พระอาจารย์สุชาติ :  ในที่สุดมันก็ต้องไปอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามแม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังต้องไป เราก็ทำเต็มที่ของเราก็แล้วกันส่วนผลจะเกิดหรือไม่เกิดก็เป็นเรื่องของวิบากของแม่เขาไปก็แล้วกัน
ผม : สาธุครับ

โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่