ตามหัวกระทู้เช่นเคยค่ะ กระทู้ก่อนหน้าเราถามเรื่องคสพ.ไป ครั้งนี้ก็เหมือนจะเป็นคำถาม แต่ก็อยากชวนสนทนามากกว่า เพราะมันน่าสนใจสำหรับเรามาก ๆ ค่ะ
เรามีแฟนที่คบกันมาไม่ถึงปี แล้วก็เป็น LDR แต่เจอกันค่อนข้างบ่อยค่ะ เพราะตัวเค้าเองมีครอบครัวอยู่ในจังหวัดเดียวกับเรา ก็คือแฟนไปเรียนมหาลัยหนะค่ะ ระหว่างที่คบกัน มีทะเลาะหรือไม่เข้าใจกันบ้างตามประสาแฟน และโดยเฉพาะคสพ.แบบ ผู้หญิง กับ ผู้หญิง
คือบางครั้งมันหนักจนจากที่เราคุย เคลียร์แค่ปัญหาหน้างาน กลายเป็นเริ่มนึกไปถึงเรื่อง ปัญหาทางใจว้ยเด็ก หรือเรื่องที่บ้านค่ะ เพราะว่าตั้งแต่ตัดสินใจคบกัน รู้จักกันมากขึ้นแล้วเค้าเเล่าเรื่องที่บ้านให้ฟัง เราก็เริ่มได้กลิ่นของเรื่องความเป็นแม่ต่อลูกคนเล็ก และ ลูกคนโตค่ะ
ขอท้าวความสัมพันธ์ก่อนเลยค่ะ เราคบกันกำลังจะปีแต่รู้จักกันมาก่อนหน้านี้ 2 ปีค่ะ คือเราเจอกันผ่านแอพ แต่ไม่ได้มีการคุยกันต่อจริงจัง สำหรับเราเองคือเพราะชอบเค้ามาก ๆ เพราะตรงสเปค สวยสูงขาวแว่นจัดฟัน เรียนดี ใช่เลยหล่ะ จุดพลิกคสพ.ที่ไม่มีอะไรนี้คือ จู่ ๆ เราก็แท็กสตอรี่ที่ลงดนตรีสดไปหาเค้าค่ะ ก่อนหน้านี้คือเราทักไปหาเค้า(เพราะเริ่มหากจากคนที่ศึกษากันอยู่ตอนแรก) มีการคุยกัน แต่เค้าหายไม่ตอบไปสองสามวัน เราเลยเลือกวิธี แท็กไปให้งงเลยค่ะ คือมั่นมาก แต่ได้ผลหนะสิ กลายเป็นว่าเราคุยกันทุกวันหลังจากนั้น แล้วก็ได้มารู้ทีหลังว่าที่เค้าเองก็ไม่เคยรุกเราจริง ๆ หรืออ่านไม่ตอบไปบ้างคือเค้าเขินแล้วก็คิดว่าเราเจ้าชู้ ไม่อยากจะหลวมตัวมาค่ะ แต่เราดันคุยกันถูกคอจริง ๆ ด้วยที่เราทั้งคู่ ไม่ได้รู้สึกว่าเจอกันจากแอพค่ะ รู้สึกเหมือนเป็นคนรู้จักกันไปแล้ว เพราะเห็นกันผ่านโซเชียลมีเดียตลอด และเรามี mutual friends กันค่อนข้างเยอะค่ะ
คบกัน 2-3 เดือนแรก เราถึงรู้ว่าเค้ามีน้องสาวค่ะ แล้วก็แปลกใจมาก ๆ ที่ไม่เห็นเคยเล่า พอเรสถาม เค้าจึงให้เหตุผลว่า เอ้า ก็เราไม่ถามเค้าหนิ เอ่อ ก็อาจจะใช่ แต่ก็ยังแปลกใจ แล้วก็มาหายสงสัยตอนได้ฟังได้เก็บเรื่องครอบครัวเค้ามากขึ้นไปอีกค่ะ คือเราทราบดีว่าพ่อกับแม่แฟนแยกทางกันค่ะ แล้วก็เลยได้ทราบว่าน้องสาวของเค้าที่ยังเรียนอยู่นี่ มักจะอยู่กับพ่อบ้าง แม่บ้าง ประมาณว่าผลัดกันเลี้ยง
แฟนชอบบ่นให้ฟังเรื่องความเหนื่อยของการเดินทางไปเรียนในตอนที่ยังเรียนมัธยมอยู่บ่อย ๆ ค่ะ หลังจากนั้นแฟนเราก็เริ่มเล่าความรู้สึกและสัมพันธ์ระหว่างเค้าต่อแม่ค่ะ เค้าเริ่มด้วยการเล่าว่าตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าจะเข้าเรียนที่ไหน เค้าต้องใช้ความสามารถและพยายามล้วน ๆ ซึ่งต่างจากน้องสาวเค้า ที่ไม่ว่าจะครั้งไหน แม่ก็เลือกที่จะจ่ายเงินจบตลอดค่ะ ช่วงมัธยมแฟนเราเรียนอยู่โรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ซึ่งเป็นที่ทราบดีของเด็กในจังหวัด ว่าสอบเข้ายากพอตัว เค้าเล่าว่าเค้าพยายามมาก ๆ ตั้งใจมากไม่ว่าจะที่ไหน ในขณะที่เค้าเองต้องต่อรถหลายสิบกิโล นั่งรถโดยสารเป็นชั่วโมง แต่น้องสาวเค้า พอขึ้นมัธยมมา แม่ก็ส่งเรียนอินเตอร์และมีรถรับส่งตั้งแต่ไหนแต่ไร (ส่งเรียน 2-3 ปีแล้วเอามาเข้ารร.ปกติ) แต่ถึงจะไม่ได้ส่งเรียนอินเตอร์ต่อ แต่การเอาเข้ามาเรียนรร.ไทยครั้งนี้ ก็ใช้เงินเหมือนเดิมค่ะ(รร.จังหวัดเหมือนกันแต่คนละที่กับแฟน) กลายเป็นว่าน้องได้รับความสบายทุกอย่าง ส่วนทุกความพยายามของเค้า มันก็มีแต่เค้าจริง ๆ แฟนเราเค้าไม่สนิทกับแม่ด้วยหนะค่ะ เค้าบอกเราว่ารู้สึกเสียใจลึก ๆ ทุกครั้งที่เหมือนพ่อกับแม่จะผลักเค้าไปทางนั้นทีทางนี้ทีคือเหมือนไม่อยากเลี้ยง ทั้งตัวเค้าที่เล่า และตัวเราที่ฟังก็รู้ดีค่ะ ว่าแม่กับพ่อ รักอยู่แล้วแต่ความที่แม่มักไม่ค่อยใช้คำพูดดี ๆ กับเค้า หรือเป็นห่วงใจเค้าเท่ากับน้อง มันอดไม่ได้หรอกค่ะ อีกอย่างคือ เวลากลับบ้าน แล้วแฟนขอให้แม่พาไปร้านที่อยากกิน แม่จะพูดเรื่องปัญหาการเงิน ทั้ง ๆ ที่พาน้องสาวไปกินตลอด แต่ต้องมาประหยัดตอนเค้ากลับบ้านที่ไม่ใช่ทุกเดือนด้วยซ้ำ เหตุการนึงที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเราอยู่ด้วยไหม คือแฟนกลับมานี่ในวันเกิดแล้วขอให้แม่พาไปร้านที่อยากกิน แต่แม่ก็อิดออดเหมือนจะไม่ไป แต่พอน้องสาวบอกว่าอยากกินร้านนี้ แม่ก็ตบปากรับคำจะพาไปเลยค่ะ ดิชั้นช็อคค คือวันนั้นเรานัดกินมื้อเย็นกับแฟนยวึเสรบว่าเสร็จจากแม่ก็ไปร้านอาหารต่อกับเราค่ะ ระหว่างที่เราอยู่กับแฟน ก็มีสายโทรจิกจากแม่ตลอด คือแม่โกรธมาก ๆ ที่ทุกอย่างมันไม่เสร็จภายในครึ่งขั่มันดึกคืออนุญาตให้มากินข้าวกับเราได้ครึ่งชั่วโมงหนะค่ะ แฟนเราตอบแม่ในปลายสายไปว่า ตัวเค้าเองบอกตั้งแต่ยังไม่มืด ว่าจะขอไปกินข้าวกับเราวันนี้ แต่แม่ออกเลทไปสองสามชั่วโมง คือแค่เสร็จจากแม่ก็ดึกแล้วค่ะ เลยจะให้เรากินข้าววันเกิดแฟนครึ่งชั่วโมงกลับ เริ่ดมั้ยคะ ปล.อายุแฟนบรรลุนิติภาวะ ทำธุรกรรมทุกอย่างเองได้แล้ว คืนวันเกิดนั้น แฟนเราเลยเลือกที่จะอยู่กับเราแทนทำตามคำสั่งแล้วเงียบรอจนแม่วางสายไปค่ะ เราเป็นห่วงเค้ามาก ๆ บอกเราว่าไม่เป็นอะไร แต่ก็ซบไหล่เราน้ำตาคลอค่ะ พูดยากจริง ๆ
ทีนี้แหละค่ะ ที่เราเริ่มเข้าใจว่า นอกจากความเป็นแฟน เราคือคนเดียวที่เค้าสามารถปล่อยความเป็นเด็ก ปล่อยความเอาแต่ใจ ปล่อยมุมอ่อนไหวด้วยได้ เพราะไม่เคยมีใครมารับฟังใจเค้าจริง ๆ แม้กระทั่งครอบครัว
จขกท.เป็นลูกสาวคนเดียวค่ะ ถ้าเทียบฐานะทางบ้านกับแฟน ก็ใกล้เคียงกัน แต่เราไม่ต้องแบ่งอะไรกับใคร คือที่บ้านไม่ได้ถึงขั้นตามใจ เป็นอารมณ์ว่าห้ามไม่ได้มากกว่า แรก ๆ การเถียงกันกับแฟน มันเลยยิ่งเห็นได้ชัดค่ะว่าเค้าอ่อนไหวมาก ในขณะที่เราไมได้มีอารมณ์ง่าย ๆ กับเรื่องที่แค่ไม่เข้าใจกัน สำหรับเค้ามันเหมือนไปสะกิดต่อมอะไรอยู่ตลอด
ในตอนที่คุยและคบกันแรก ๆ เราบอกเค้าว่าหนึ่งในประเภทคนที่เราจะ say no เลยคือคนมีปัญาด้านจิตใจหนัก ๆ หรือมีปัญหากับครอบครัวแรง ๆ ค่ะ เพราะเรามีความเชื่อแบบแรงกล้าเลยว่า คนที่มีปัญหาครอบครัวหนักจะตามมาด้วย issue ในใจที่ส่งผลต่อพฤติกรรมในคสพ.ไม่น้อย ก็มากไปเลย แล้วมันก็ไม่ผิดจริง ๆ
แต่คือเราเองก็เพิ่งมาทราบ ในตอนที่คบกันระยะหนึ่งแล้ว พอรักกันมันจึงไม่ใช่เรื่องต้น ๆ ที่เราจะนึกถึงอีกแล้ว รักกันก็คือยอมรับความเป็นกันได้
อีกเรื่องคือช่วงที่เลิกกันล่าสุดแล้วกลับมาคบกัน เรายิ่งรู้สึกว่า ผู้หญิงคนนี้อ่อนโยนและลึกซึ้งจริง ๆ เราไปเที่ยวด้วยกันแล้วเราดันป่วยหนักตอนเข้าวันที่สองค่ะ ไม่มีอาการอะไรมาก่อนหน้าเลย แต่ด้วยความที่ต่อรถ นั่งเรือ เดินตากแดด ภูมิก็ตก เป็นไข้หนัก เราฝืนจนพาเค้าไปเที่ยวคลับจนเที่ยงคืนตีหนึ่งแล้วอาการก็ออก คือเราไม่ได้บอกแฟนค่ะ ถึงห้องก็สลบเลย สิ่งที่เค้าทำคือ อยู่ดูเรา เช็ดหน้าให้ก่อนนอน ตื่นตีห้ามาเช็ดตัวเราหลาย ๆ รอบ จนเราดีขึ้นทันที และยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่เค้าคอยยื่นมือมาช่วย คอยอยู่ในวันที่ต้องการเสมอ คือเรื่องพวกนี้อาจจะเป็นเรื่องทั่วไปสำหรับบางคู่สำหรับบางคน แต่การดูแลกันในมุมนี้ สำหรับเราที่เป็นวัยรุ่น ก็กล้าพูดว่ามันหาได้ยากในยุคนี้ค่ะ
ปีใหม่นี้เราเลือกที่จะสยบปัญหาห้ามตีกัน โดยการพาเค้าไปงานฉลองปีใหม่ของครอบครัวกับญาติ ๆ เราค่ะ เพราะว่าเจ้าตัวเค้าไม่สบายใจที่จะกลับบ้านฉลองอะไรทั้งนั้น และแม่ก็ไม่ได้นัดแฟนให้กลับบ้านค่ะ
สำหรับทุกคน คิดว่าการเลือกมองข้ามสิ่งที่เราปฏิเสธมาตลอด ถือว่าคุ้มไหมคะ กับการได้รักเค้าคนนั้นต่อไป โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ อีก
จากปัญหาแฟนงี่เง่า สู่เรื่องปมในใจต่อครอบครัวแฟน
เรามีแฟนที่คบกันมาไม่ถึงปี แล้วก็เป็น LDR แต่เจอกันค่อนข้างบ่อยค่ะ เพราะตัวเค้าเองมีครอบครัวอยู่ในจังหวัดเดียวกับเรา ก็คือแฟนไปเรียนมหาลัยหนะค่ะ ระหว่างที่คบกัน มีทะเลาะหรือไม่เข้าใจกันบ้างตามประสาแฟน และโดยเฉพาะคสพ.แบบ ผู้หญิง กับ ผู้หญิง
คือบางครั้งมันหนักจนจากที่เราคุย เคลียร์แค่ปัญหาหน้างาน กลายเป็นเริ่มนึกไปถึงเรื่อง ปัญหาทางใจว้ยเด็ก หรือเรื่องที่บ้านค่ะ เพราะว่าตั้งแต่ตัดสินใจคบกัน รู้จักกันมากขึ้นแล้วเค้าเเล่าเรื่องที่บ้านให้ฟัง เราก็เริ่มได้กลิ่นของเรื่องความเป็นแม่ต่อลูกคนเล็ก และ ลูกคนโตค่ะ
ขอท้าวความสัมพันธ์ก่อนเลยค่ะ เราคบกันกำลังจะปีแต่รู้จักกันมาก่อนหน้านี้ 2 ปีค่ะ คือเราเจอกันผ่านแอพ แต่ไม่ได้มีการคุยกันต่อจริงจัง สำหรับเราเองคือเพราะชอบเค้ามาก ๆ เพราะตรงสเปค สวยสูงขาวแว่นจัดฟัน เรียนดี ใช่เลยหล่ะ จุดพลิกคสพ.ที่ไม่มีอะไรนี้คือ จู่ ๆ เราก็แท็กสตอรี่ที่ลงดนตรีสดไปหาเค้าค่ะ ก่อนหน้านี้คือเราทักไปหาเค้า(เพราะเริ่มหากจากคนที่ศึกษากันอยู่ตอนแรก) มีการคุยกัน แต่เค้าหายไม่ตอบไปสองสามวัน เราเลยเลือกวิธี แท็กไปให้งงเลยค่ะ คือมั่นมาก แต่ได้ผลหนะสิ กลายเป็นว่าเราคุยกันทุกวันหลังจากนั้น แล้วก็ได้มารู้ทีหลังว่าที่เค้าเองก็ไม่เคยรุกเราจริง ๆ หรืออ่านไม่ตอบไปบ้างคือเค้าเขินแล้วก็คิดว่าเราเจ้าชู้ ไม่อยากจะหลวมตัวมาค่ะ แต่เราดันคุยกันถูกคอจริง ๆ ด้วยที่เราทั้งคู่ ไม่ได้รู้สึกว่าเจอกันจากแอพค่ะ รู้สึกเหมือนเป็นคนรู้จักกันไปแล้ว เพราะเห็นกันผ่านโซเชียลมีเดียตลอด และเรามี mutual friends กันค่อนข้างเยอะค่ะ
คบกัน 2-3 เดือนแรก เราถึงรู้ว่าเค้ามีน้องสาวค่ะ แล้วก็แปลกใจมาก ๆ ที่ไม่เห็นเคยเล่า พอเรสถาม เค้าจึงให้เหตุผลว่า เอ้า ก็เราไม่ถามเค้าหนิ เอ่อ ก็อาจจะใช่ แต่ก็ยังแปลกใจ แล้วก็มาหายสงสัยตอนได้ฟังได้เก็บเรื่องครอบครัวเค้ามากขึ้นไปอีกค่ะ คือเราทราบดีว่าพ่อกับแม่แฟนแยกทางกันค่ะ แล้วก็เลยได้ทราบว่าน้องสาวของเค้าที่ยังเรียนอยู่นี่ มักจะอยู่กับพ่อบ้าง แม่บ้าง ประมาณว่าผลัดกันเลี้ยง
แฟนชอบบ่นให้ฟังเรื่องความเหนื่อยของการเดินทางไปเรียนในตอนที่ยังเรียนมัธยมอยู่บ่อย ๆ ค่ะ หลังจากนั้นแฟนเราก็เริ่มเล่าความรู้สึกและสัมพันธ์ระหว่างเค้าต่อแม่ค่ะ เค้าเริ่มด้วยการเล่าว่าตั้งแต่เด็กจนโต ไม่ว่าจะเข้าเรียนที่ไหน เค้าต้องใช้ความสามารถและพยายามล้วน ๆ ซึ่งต่างจากน้องสาวเค้า ที่ไม่ว่าจะครั้งไหน แม่ก็เลือกที่จะจ่ายเงินจบตลอดค่ะ ช่วงมัธยมแฟนเราเรียนอยู่โรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ซึ่งเป็นที่ทราบดีของเด็กในจังหวัด ว่าสอบเข้ายากพอตัว เค้าเล่าว่าเค้าพยายามมาก ๆ ตั้งใจมากไม่ว่าจะที่ไหน ในขณะที่เค้าเองต้องต่อรถหลายสิบกิโล นั่งรถโดยสารเป็นชั่วโมง แต่น้องสาวเค้า พอขึ้นมัธยมมา แม่ก็ส่งเรียนอินเตอร์และมีรถรับส่งตั้งแต่ไหนแต่ไร (ส่งเรียน 2-3 ปีแล้วเอามาเข้ารร.ปกติ) แต่ถึงจะไม่ได้ส่งเรียนอินเตอร์ต่อ แต่การเอาเข้ามาเรียนรร.ไทยครั้งนี้ ก็ใช้เงินเหมือนเดิมค่ะ(รร.จังหวัดเหมือนกันแต่คนละที่กับแฟน) กลายเป็นว่าน้องได้รับความสบายทุกอย่าง ส่วนทุกความพยายามของเค้า มันก็มีแต่เค้าจริง ๆ แฟนเราเค้าไม่สนิทกับแม่ด้วยหนะค่ะ เค้าบอกเราว่ารู้สึกเสียใจลึก ๆ ทุกครั้งที่เหมือนพ่อกับแม่จะผลักเค้าไปทางนั้นทีทางนี้ทีคือเหมือนไม่อยากเลี้ยง ทั้งตัวเค้าที่เล่า และตัวเราที่ฟังก็รู้ดีค่ะ ว่าแม่กับพ่อ รักอยู่แล้วแต่ความที่แม่มักไม่ค่อยใช้คำพูดดี ๆ กับเค้า หรือเป็นห่วงใจเค้าเท่ากับน้อง มันอดไม่ได้หรอกค่ะ อีกอย่างคือ เวลากลับบ้าน แล้วแฟนขอให้แม่พาไปร้านที่อยากกิน แม่จะพูดเรื่องปัญหาการเงิน ทั้ง ๆ ที่พาน้องสาวไปกินตลอด แต่ต้องมาประหยัดตอนเค้ากลับบ้านที่ไม่ใช่ทุกเดือนด้วยซ้ำ เหตุการนึงที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าเราอยู่ด้วยไหม คือแฟนกลับมานี่ในวันเกิดแล้วขอให้แม่พาไปร้านที่อยากกิน แต่แม่ก็อิดออดเหมือนจะไม่ไป แต่พอน้องสาวบอกว่าอยากกินร้านนี้ แม่ก็ตบปากรับคำจะพาไปเลยค่ะ ดิชั้นช็อคค คือวันนั้นเรานัดกินมื้อเย็นกับแฟนยวึเสรบว่าเสร็จจากแม่ก็ไปร้านอาหารต่อกับเราค่ะ ระหว่างที่เราอยู่กับแฟน ก็มีสายโทรจิกจากแม่ตลอด คือแม่โกรธมาก ๆ ที่ทุกอย่างมันไม่เสร็จภายในครึ่งขั่มันดึกคืออนุญาตให้มากินข้าวกับเราได้ครึ่งชั่วโมงหนะค่ะ แฟนเราตอบแม่ในปลายสายไปว่า ตัวเค้าเองบอกตั้งแต่ยังไม่มืด ว่าจะขอไปกินข้าวกับเราวันนี้ แต่แม่ออกเลทไปสองสามชั่วโมง คือแค่เสร็จจากแม่ก็ดึกแล้วค่ะ เลยจะให้เรากินข้าววันเกิดแฟนครึ่งชั่วโมงกลับ เริ่ดมั้ยคะ ปล.อายุแฟนบรรลุนิติภาวะ ทำธุรกรรมทุกอย่างเองได้แล้ว คืนวันเกิดนั้น แฟนเราเลยเลือกที่จะอยู่กับเราแทนทำตามคำสั่งแล้วเงียบรอจนแม่วางสายไปค่ะ เราเป็นห่วงเค้ามาก ๆ บอกเราว่าไม่เป็นอะไร แต่ก็ซบไหล่เราน้ำตาคลอค่ะ พูดยากจริง ๆ
ทีนี้แหละค่ะ ที่เราเริ่มเข้าใจว่า นอกจากความเป็นแฟน เราคือคนเดียวที่เค้าสามารถปล่อยความเป็นเด็ก ปล่อยความเอาแต่ใจ ปล่อยมุมอ่อนไหวด้วยได้ เพราะไม่เคยมีใครมารับฟังใจเค้าจริง ๆ แม้กระทั่งครอบครัว
จขกท.เป็นลูกสาวคนเดียวค่ะ ถ้าเทียบฐานะทางบ้านกับแฟน ก็ใกล้เคียงกัน แต่เราไม่ต้องแบ่งอะไรกับใคร คือที่บ้านไม่ได้ถึงขั้นตามใจ เป็นอารมณ์ว่าห้ามไม่ได้มากกว่า แรก ๆ การเถียงกันกับแฟน มันเลยยิ่งเห็นได้ชัดค่ะว่าเค้าอ่อนไหวมาก ในขณะที่เราไมได้มีอารมณ์ง่าย ๆ กับเรื่องที่แค่ไม่เข้าใจกัน สำหรับเค้ามันเหมือนไปสะกิดต่อมอะไรอยู่ตลอด
ในตอนที่คุยและคบกันแรก ๆ เราบอกเค้าว่าหนึ่งในประเภทคนที่เราจะ say no เลยคือคนมีปัญาด้านจิตใจหนัก ๆ หรือมีปัญหากับครอบครัวแรง ๆ ค่ะ เพราะเรามีความเชื่อแบบแรงกล้าเลยว่า คนที่มีปัญหาครอบครัวหนักจะตามมาด้วย issue ในใจที่ส่งผลต่อพฤติกรรมในคสพ.ไม่น้อย ก็มากไปเลย แล้วมันก็ไม่ผิดจริง ๆ
แต่คือเราเองก็เพิ่งมาทราบ ในตอนที่คบกันระยะหนึ่งแล้ว พอรักกันมันจึงไม่ใช่เรื่องต้น ๆ ที่เราจะนึกถึงอีกแล้ว รักกันก็คือยอมรับความเป็นกันได้
อีกเรื่องคือช่วงที่เลิกกันล่าสุดแล้วกลับมาคบกัน เรายิ่งรู้สึกว่า ผู้หญิงคนนี้อ่อนโยนและลึกซึ้งจริง ๆ เราไปเที่ยวด้วยกันแล้วเราดันป่วยหนักตอนเข้าวันที่สองค่ะ ไม่มีอาการอะไรมาก่อนหน้าเลย แต่ด้วยความที่ต่อรถ นั่งเรือ เดินตากแดด ภูมิก็ตก เป็นไข้หนัก เราฝืนจนพาเค้าไปเที่ยวคลับจนเที่ยงคืนตีหนึ่งแล้วอาการก็ออก คือเราไม่ได้บอกแฟนค่ะ ถึงห้องก็สลบเลย สิ่งที่เค้าทำคือ อยู่ดูเรา เช็ดหน้าให้ก่อนนอน ตื่นตีห้ามาเช็ดตัวเราหลาย ๆ รอบ จนเราดีขึ้นทันที และยังมีอีกหลายเหตุการณ์ที่เค้าคอยยื่นมือมาช่วย คอยอยู่ในวันที่ต้องการเสมอ คือเรื่องพวกนี้อาจจะเป็นเรื่องทั่วไปสำหรับบางคู่สำหรับบางคน แต่การดูแลกันในมุมนี้ สำหรับเราที่เป็นวัยรุ่น ก็กล้าพูดว่ามันหาได้ยากในยุคนี้ค่ะ
ปีใหม่นี้เราเลือกที่จะสยบปัญหาห้ามตีกัน โดยการพาเค้าไปงานฉลองปีใหม่ของครอบครัวกับญาติ ๆ เราค่ะ เพราะว่าเจ้าตัวเค้าไม่สบายใจที่จะกลับบ้านฉลองอะไรทั้งนั้น และแม่ก็ไม่ได้นัดแฟนให้กลับบ้านค่ะ
สำหรับทุกคน คิดว่าการเลือกมองข้ามสิ่งที่เราปฏิเสธมาตลอด ถือว่าคุ้มไหมคะ กับการได้รักเค้าคนนั้นต่อไป โดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ อีก