
: สรุปว่าหนังเรื่องนี้มันบ้าบอคอแตกขนาดไหน? Burn After Reading (2008) รีวิวฉบับคนดูจริง
สวัสดีครับ ชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมจะมารีวิวหนังที่ผมดูแล้วรู้สึกว่า "เออ... นี่มันอะไรกันวะเนี่ย?" หนังเรื่อง Burn After Reading ของพี่น้อง Coen ที่ออกฉายไปตั้งแต่ปี 2008 แต่ผมเพิ่งมีโอกาสได้หยิบมาดูแบบจริงจังครับ แล้วบอกเลยว่ามันเป็นประสบการณ์ที่... เอ่อ... แปลกประหลาดดีครับ
เริ่มแรกเลยนะครับ หนังเรื่องนี้มันเป็นแนวคอมเมดี้อาชญากรรมที่เต็มไปด้วยความวายป่วง ตัวละครแต่ละตัวคือหลุดโลกไปเลยครับ ไม่มีใครปกติสักคน เริ่มต้นเรื่องราวจากอะไรที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่กลับบานปลายไปสู่ความโกลาหลขั้นสุด ยิ่งดูไปยิ่งรู้สึกว่า "อะไรจะซวยซ้ำซวยซ้อนได้ขนาดนี้"
พล็อตเรื่องคร่าวๆ นะครับ มันเกี่ยวกับสองพนักงานฟิตเนสที่ไปเจอไดอารี่ของอดีตเจ้าหน้าที่ CIA ที่ถูกไล่ออก แล้วคิดว่าไดอารี่เล่มนั้นคงมีข้อมูลลับอะไรบางอย่างที่เอาไปขายได้เงิน แต่ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ กลายเป็นการไปพัวพันกับเรื่องราวของสายลับที่กำลังจะเปิดเผยความลับของตัวเอง กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่พยายามจะปกปิดเรื่องราวต่างๆ แล้วทุกคนก็เหมือนจะพยายามทำอะไรสักอย่าง แต่ผลลัพธ์ที่ออกมามันกลับตรงกันข้ามไปหมด
ตัวละครนี่แหละครับคือเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้เลย เจนนิเฟอร์ อนิสตัน รับบทเป็น ลินดา พนักงานฟิตเนสที่เห่อศัลยกรรม อยากสวย อยากดูดีตลอดเวลา แล้วก็อยากจะหาเงินไปทำหน้าใหม่ให้ได้ แต่ดันไปมีปัญหากับสามีที่เพิ่งหย่าไป แล้วสามีก็ดันเป็นคนเพี้ยนๆ ที่ชอบสร้างความเดือดร้อนอยู่เรื่อย สองคนนี้คือตัวป่วนของเรื่องเลยครับ เล่นใหญ่มาก แล้วก็ดูเหมือนจะซื่อบื้อยังไงก็ไม่รู้
อีกคนก็คือ แบรด พิตต์ รับบทเป็น แชด พนักงานฟิตเนสอีกคนที่ไม่เต็มบาทเท่าไหร่ เป็นคนหัวช้า พูดจาประหลาดๆ แล้วก็ชอบทำอะไรตามอารมณ์ตัวเองสุดๆ บทของแชดนี่แหละครับที่ทำให้ผมรู้สึกว่า "นี่มันตัวอะไรกันแน่?" เป็นตัวละครที่ทั้งน่ารำคาญ ทั้งน่าขำในเวลาเดียวกัน
แล้วก็มี จอห์น มัลโควิช รับบทเป็น ออสบอร์น เจ้าหน้าที่ CIA ที่กำลังตกอับ ที่เขียนไดอารี่ออกมา แล้วดันไปตกอยู่ในมือของสองคนนั้น เขาดูเป็นคนเครียดๆ ขี้โมโห แล้วก็มีปัญหาส่วนตัวเยอะแยะไปหมด
ทีมนักแสดงชุดนี้คือรวมดาวดาราที่แต่ละคนก็มีคาแรคเตอร์จัดจ้านมากๆ ครับ มาเจอกันแล้วมันก็เลยเกิดเป็นความฮาแบบหน้าตาย หรือเป็นความวายป่วงแบบไม่รู้ตัว
สไตล์การกำกับของพี่น้อง Coen นี่ก็ยังคงเอกลักษณ์เดิมๆ ครับ คือการสร้างสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะตลก แต่ก็มีความน่ากลัวแฝงอยู่ ฉากบางฉากนี่คือผมไม่รู้จะหัวเราะ หรือจะอึ้งดี คือมันเป็นความตลกแบบประชดประชัน เสียดสีสังคม แล้วก็เต็มไปด้วยตัวละครที่ทำอะไรโง่ๆ แต่กลับมีผลกระทบใหญ่หลวง
หนังเรื่องนี้มันไม่ได้มีพล็อตที่ซับซ้อนอะไรมากนะครับ แต่ความสนุกมันอยู่ที่การดูตัวละครแต่ละตัวพยายามจะแก้ไขปัญหาที่ตัวเองก่อขึ้น แต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งทำให้เรื่องมันแย่ลงไปอีก เป็นวงจรแห่งความซวยที่ไม่มีวันจบสิ้น
ผมชอบความเรียลของบทสนทนาในเรื่องนะครับ มันดูเหมือนคนจริงๆ คุยกัน แต่บางทีก็ออกแนวไร้สาระจนผมต้องถามตัวเองว่า "นี่เขาตั้งใจให้เป็นแบบนี้ใช่ไหม?" แล้วก็ฉากแอ็คชั่น หรือฉากที่ต้องมีการเผชิญหน้ากันในเรื่อง มันก็ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่ หรือหวือหวาอะไรมากมาย แต่กลับดูสมจริง แล้วก็มีความตึงเครียดในแบบของมัน
สิ่งที่ผมชอบมากๆ ในหนังเรื่องนี้คือมันท้าทายการตีความของผู้ชมครับ คือดูไปแล้วก็ต้องคิดตามว่า "จริงๆ แล้วใครเป็นคนผิด?" หรือ "ใครคือตัวละครที่น่าสงสารที่สุด?" คือทุกคนดูเหมือนจะทำอะไรผิดๆ พลาดๆ ไปหมด แล้วก็โทษคนอื่นไปเรื่อย
สำหรับผมนะ Burn After Reading เป็นหนังที่เหมาะกับคนที่ชอบหนังแนวแปลกๆ ไม่เหมือนใคร ชอบดูอะไรที่มันบ้าบอคอแตก แล้วก็ชอบดูการแสดงของนักแสดงเก่งๆ ที่มาเล่นบทบาทที่คาดไม่ถึง คือถ้าใครคาดหวังว่าจะได้ดูหนังแอ็คชั่นระเบิดภูเขาเผากระท่อม หรือหนังที่พล็อตซับซ้อนหักมุมตลอดเวลา อาจจะผิดหวังนิดหน่อยครับ
แต่ถ้าใครเปิดใจรับความเพี้ยน ความวายป่วง แล้วก็ความตลกแบบหน้าตายของหนังเรื่องนี้ ผมว่าคุณจะเอ็นจอยกับมันแน่นอนครับ เป็นหนังที่ดูแล้วทำให้เราได้คิดถึงความเปิ่น ความซื่อบื้อของมนุษย์ แล้วก็ความบังเอิญที่มันสามารถพลิกผันชีวิตคนเราได้
สรุปแล้ว Burn After Reading เป็นหนังที่ผมดูแล้วรู้สึกว่า "เออ... มันก็ดีนะ" มันอาจจะไม่ได้เป็นหนังที่ทำให้ผมอ้าปากค้างด้วยความตื่นเต้น แต่ก็เป็นหนังที่ทำให้ผมยิ้มมุมปากด้วยความขบขัน แล้วก็ทึ่งในความสามารถของพี่น้อง Coen ที่สามารถสร้างสรรค์หนังที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวขนาดนี้ออกมาได้ครับ
ใครยังไม่เคยดู ลองหามาดูกันนะครับ แล้วมาคุยกันว่าคุณรู้สึกยังไงกับหนังเรื่องนี้บ้าง เผื่อจะได้มุมมองใหม่ๆ ครับ ผมเชื่อว่าทุกคนที่ดูเรื่องนี้ น่าจะมีประโยคเด็ด หรือฉากที่ติดหูติดตาไปไม่มากก็น้อยแหละครับ
ขอบคุณที่อ่านรีวิวจนจบนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจว่าจะดูหรือไม่ดูครับ.
สรุปว่าหนังเรื่องนี้มันบ้าบอคอแตกขนาดไหน? Burn After Reading (2008) รีวิวฉบับคนดูจริง
: สรุปว่าหนังเรื่องนี้มันบ้าบอคอแตกขนาดไหน? Burn After Reading (2008) รีวิวฉบับคนดูจริง
สวัสดีครับ ชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมจะมารีวิวหนังที่ผมดูแล้วรู้สึกว่า "เออ... นี่มันอะไรกันวะเนี่ย?" หนังเรื่อง Burn After Reading ของพี่น้อง Coen ที่ออกฉายไปตั้งแต่ปี 2008 แต่ผมเพิ่งมีโอกาสได้หยิบมาดูแบบจริงจังครับ แล้วบอกเลยว่ามันเป็นประสบการณ์ที่... เอ่อ... แปลกประหลาดดีครับ
เริ่มแรกเลยนะครับ หนังเรื่องนี้มันเป็นแนวคอมเมดี้อาชญากรรมที่เต็มไปด้วยความวายป่วง ตัวละครแต่ละตัวคือหลุดโลกไปเลยครับ ไม่มีใครปกติสักคน เริ่มต้นเรื่องราวจากอะไรที่ดูเหมือนจะธรรมดา แต่กลับบานปลายไปสู่ความโกลาหลขั้นสุด ยิ่งดูไปยิ่งรู้สึกว่า "อะไรจะซวยซ้ำซวยซ้อนได้ขนาดนี้"
พล็อตเรื่องคร่าวๆ นะครับ มันเกี่ยวกับสองพนักงานฟิตเนสที่ไปเจอไดอารี่ของอดีตเจ้าหน้าที่ CIA ที่ถูกไล่ออก แล้วคิดว่าไดอารี่เล่มนั้นคงมีข้อมูลลับอะไรบางอย่างที่เอาไปขายได้เงิน แต่ความจริงมันไม่ใช่แบบนั้นเลยครับ กลายเป็นการไปพัวพันกับเรื่องราวของสายลับที่กำลังจะเปิดเผยความลับของตัวเอง กับเจ้าหน้าที่รัฐบาลที่พยายามจะปกปิดเรื่องราวต่างๆ แล้วทุกคนก็เหมือนจะพยายามทำอะไรสักอย่าง แต่ผลลัพธ์ที่ออกมามันกลับตรงกันข้ามไปหมด
ตัวละครนี่แหละครับคือเสน่ห์ของหนังเรื่องนี้เลย เจนนิเฟอร์ อนิสตัน รับบทเป็น ลินดา พนักงานฟิตเนสที่เห่อศัลยกรรม อยากสวย อยากดูดีตลอดเวลา แล้วก็อยากจะหาเงินไปทำหน้าใหม่ให้ได้ แต่ดันไปมีปัญหากับสามีที่เพิ่งหย่าไป แล้วสามีก็ดันเป็นคนเพี้ยนๆ ที่ชอบสร้างความเดือดร้อนอยู่เรื่อย สองคนนี้คือตัวป่วนของเรื่องเลยครับ เล่นใหญ่มาก แล้วก็ดูเหมือนจะซื่อบื้อยังไงก็ไม่รู้
อีกคนก็คือ แบรด พิตต์ รับบทเป็น แชด พนักงานฟิตเนสอีกคนที่ไม่เต็มบาทเท่าไหร่ เป็นคนหัวช้า พูดจาประหลาดๆ แล้วก็ชอบทำอะไรตามอารมณ์ตัวเองสุดๆ บทของแชดนี่แหละครับที่ทำให้ผมรู้สึกว่า "นี่มันตัวอะไรกันแน่?" เป็นตัวละครที่ทั้งน่ารำคาญ ทั้งน่าขำในเวลาเดียวกัน
แล้วก็มี จอห์น มัลโควิช รับบทเป็น ออสบอร์น เจ้าหน้าที่ CIA ที่กำลังตกอับ ที่เขียนไดอารี่ออกมา แล้วดันไปตกอยู่ในมือของสองคนนั้น เขาดูเป็นคนเครียดๆ ขี้โมโห แล้วก็มีปัญหาส่วนตัวเยอะแยะไปหมด
ทีมนักแสดงชุดนี้คือรวมดาวดาราที่แต่ละคนก็มีคาแรคเตอร์จัดจ้านมากๆ ครับ มาเจอกันแล้วมันก็เลยเกิดเป็นความฮาแบบหน้าตาย หรือเป็นความวายป่วงแบบไม่รู้ตัว
สไตล์การกำกับของพี่น้อง Coen นี่ก็ยังคงเอกลักษณ์เดิมๆ ครับ คือการสร้างสถานการณ์ที่ดูเหมือนจะตลก แต่ก็มีความน่ากลัวแฝงอยู่ ฉากบางฉากนี่คือผมไม่รู้จะหัวเราะ หรือจะอึ้งดี คือมันเป็นความตลกแบบประชดประชัน เสียดสีสังคม แล้วก็เต็มไปด้วยตัวละครที่ทำอะไรโง่ๆ แต่กลับมีผลกระทบใหญ่หลวง
หนังเรื่องนี้มันไม่ได้มีพล็อตที่ซับซ้อนอะไรมากนะครับ แต่ความสนุกมันอยู่ที่การดูตัวละครแต่ละตัวพยายามจะแก้ไขปัญหาที่ตัวเองก่อขึ้น แต่ยิ่งพยายามก็ยิ่งทำให้เรื่องมันแย่ลงไปอีก เป็นวงจรแห่งความซวยที่ไม่มีวันจบสิ้น
ผมชอบความเรียลของบทสนทนาในเรื่องนะครับ มันดูเหมือนคนจริงๆ คุยกัน แต่บางทีก็ออกแนวไร้สาระจนผมต้องถามตัวเองว่า "นี่เขาตั้งใจให้เป็นแบบนี้ใช่ไหม?" แล้วก็ฉากแอ็คชั่น หรือฉากที่ต้องมีการเผชิญหน้ากันในเรื่อง มันก็ไม่ได้ดูยิ่งใหญ่ หรือหวือหวาอะไรมากมาย แต่กลับดูสมจริง แล้วก็มีความตึงเครียดในแบบของมัน
สิ่งที่ผมชอบมากๆ ในหนังเรื่องนี้คือมันท้าทายการตีความของผู้ชมครับ คือดูไปแล้วก็ต้องคิดตามว่า "จริงๆ แล้วใครเป็นคนผิด?" หรือ "ใครคือตัวละครที่น่าสงสารที่สุด?" คือทุกคนดูเหมือนจะทำอะไรผิดๆ พลาดๆ ไปหมด แล้วก็โทษคนอื่นไปเรื่อย
สำหรับผมนะ Burn After Reading เป็นหนังที่เหมาะกับคนที่ชอบหนังแนวแปลกๆ ไม่เหมือนใคร ชอบดูอะไรที่มันบ้าบอคอแตก แล้วก็ชอบดูการแสดงของนักแสดงเก่งๆ ที่มาเล่นบทบาทที่คาดไม่ถึง คือถ้าใครคาดหวังว่าจะได้ดูหนังแอ็คชั่นระเบิดภูเขาเผากระท่อม หรือหนังที่พล็อตซับซ้อนหักมุมตลอดเวลา อาจจะผิดหวังนิดหน่อยครับ
แต่ถ้าใครเปิดใจรับความเพี้ยน ความวายป่วง แล้วก็ความตลกแบบหน้าตายของหนังเรื่องนี้ ผมว่าคุณจะเอ็นจอยกับมันแน่นอนครับ เป็นหนังที่ดูแล้วทำให้เราได้คิดถึงความเปิ่น ความซื่อบื้อของมนุษย์ แล้วก็ความบังเอิญที่มันสามารถพลิกผันชีวิตคนเราได้
สรุปแล้ว Burn After Reading เป็นหนังที่ผมดูแล้วรู้สึกว่า "เออ... มันก็ดีนะ" มันอาจจะไม่ได้เป็นหนังที่ทำให้ผมอ้าปากค้างด้วยความตื่นเต้น แต่ก็เป็นหนังที่ทำให้ผมยิ้มมุมปากด้วยความขบขัน แล้วก็ทึ่งในความสามารถของพี่น้อง Coen ที่สามารถสร้างสรรค์หนังที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวขนาดนี้ออกมาได้ครับ
ใครยังไม่เคยดู ลองหามาดูกันนะครับ แล้วมาคุยกันว่าคุณรู้สึกยังไงกับหนังเรื่องนี้บ้าง เผื่อจะได้มุมมองใหม่ๆ ครับ ผมเชื่อว่าทุกคนที่ดูเรื่องนี้ น่าจะมีประโยคเด็ด หรือฉากที่ติดหูติดตาไปไม่มากก็น้อยแหละครับ
ขอบคุณที่อ่านรีวิวจนจบนะครับ หวังว่าจะเป็นประโยชน์ในการตัดสินใจว่าจะดูหรือไม่ดูครับ.