Michael Saylor ระบุว่าปี 2026 จะเป็น "ปีที่บ้าคลั่ง" สำหรับ Bitcoin เนื่องจากสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่ใน Wall Street จะเปลี่ยนบทบาทจากผู้สังเกตการณ์มาเป็นผู้เล่นเต็มตัว โดยมีปัจจัยสนับสนุนดังนี้

1. การยอมรับที่รวดเร็วเกินคาด
Saylor กล่าวในงาน Binance Blockchain Week (ธ.ค. 2025) ว่าธนาคารอย่าง BNY Mellon, Citi, JPMorgan, Wells Fargo, และ Bank of America กำลังเร่งนำเสนอผลิตภัณฑ์ เช่น การรับฝาก (Custody), การให้กู้ยืม และการใช้ Bitcoin เป็นหลักประกันสินเชื่อ ซึ่งเร็วกว่าที่คาดไว้เดิมถึง 4-8 ปี

2. กฎระเบียบที่ชัดเจน
การประกาศใช้ Basel III และนโยบายจากรัฐบาลสหรัฐฯ (ยุค Trump) ในปี 2025 ช่วยปลดล็อกให้ธนาคารสามารถถือครอง Bitcoin เป็นสินทรัพย์ระดับ Tier-1 ได้อย่างเป็นทางการ

3. Bitcoin ในฐานะหลักประกัน
ในปี 2026 ธนาคารจะเริ่มออกผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ใช้ Bitcoin ค้ำประกัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องมหาศาลให้กับตลาดโดยที่เจ้าของสินทรัพย์ไม่ต้องขายเหรียญออกมา

4. จุดจบของวัฏจักร 4 ปี
Saylor มองว่าวัฏจักรการขึ้นลงตามรอบ Halving แบบเดิมเริ่มหมดความสำคัญ เนื่องจากแรงขับเคลื่อนหลักเปลี่ยนไปอยู่ที่การเข้าซื้อของสถาบันการเงินและคลังสำรองของบริษัท/รัฐบาลแทน


ความเคลื่อนไหวของธนาคาร

1. ​ Charles Schwab เตรียมเปิดบริการ Bitcoin Custody เต็มรูปแบบในไตรมาส 1 ปี 2026

2. Citi มีแผนจะเปิดตัวบริการด้าน Bitcoin ในปี 2026 เช่นกัน

3 JPMorgan เริ่มมีการออกวงเงินสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับ Bitcoin ไปบ้างแล้วในช่วงปลายปี 2025


สรุปประเด็นสำคัญจากการวิเคราะห์ของ Michael Saylor คือการที่ Bitcoin กำลังเปลี่ยนผ่านจากสินทรัพย์ทางเลือกไปสู่ "แกนกลางของระบบการเงินโลก" อย่างเต็มตัวในปี 2026 โดยมีกลไกขับเคลื่อนหลักคือสถาบันการเงินระดับโลก (Wall Street) ที่พร้อมเข้าสู่ตลาดอย่างเป็นระบบ

การเปลี่ยนแปลงนี้เกิดจากความชัดเจนของกฎหมายและมาตรฐานบัญชีใหม่ ทำให้ธนาคารยักษ์ใหญ่สามารถนำ Bitcoin มาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย เช่น การใช้เป็นหลักประกันเงินกู้ หรือการเก็บรักษาทรัพย์สิน (Custody) ซึ่งจะส่งผลให้แรงซื้อจากสถาบันการเงินกลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดทิศทางราคา แทนที่วัฏจักรการ Halving แบบเดิม

สถานะของ Bitcoin ในปี 2026 จึงไม่ได้เป็นเพียงการเก็งกำไร แต่คือ "สินทรัพย์ทุนสำรองมาตรฐาน" ที่ได้รับการสนับสนุนโดยโครงสร้างพื้นฐานของธนาคารพาณิชย์ทั่วโลก