
- คงเป็นอันทราบกันอย่างแน่นอนแล้วว่าไม่เอามาฉายในบ้านเราเลยไปดูในช่องทางพิเศษปรากฎว่าชอบในสารที่นำเสนอมาอย่างปล่อย Joint ด้วยระยะเวลากว่า 2 ชั่วโมง 28 นาทีที่ให้ความยาวอย่างบ้าพลังที่เป็นรองแค่เรื่อง Beau is Afraid (2023) ที่ล่อความยาวไปถึง 3 ชั่วโมงเทียบเท่ากับเรื่อง Oppenheimer (2023) ของ Sir. Nolan ที่ฉายร่วมชั้นในปีเดียวกันนี้ตรงที่มันฉีก Concept ไปจากผลงานเรื่องก่อนของผู้กำกับ Ari Aster อย่างสิ้นเชิงจนไม่เหลือภาพจำเดิมที่ติดใจว่ากูเคยกำกับหนังครอบครัวนรกชิงมาเกิดอย่าง Hereditary (2018) กับ หนังเทศกาลป่าช้าเฮี้ยนอย่าง Midsommar (2019) ที่เอนไปทางมืดมนมาก่อน

- พอมา wayนี้รู้สึกว่ามันเล่นกับความบิดเบี้ยวในใจคนได้อย่างเปิดเผยแถมอีกมุมก็เหมือนดู Beau ภาค Multiverse ที่ตัดความเหนือจริงออกไปแล้วใส่ความสมจริงที่ปูฉากหลังเป็นช่วงระหว่างการเกิดโรคระบาดอย่างโควิด-19 มาเป็น Main หลักแล้วย่อสเกลลงไปส่องในเมือง Eddington ที่ตั้งอยู่ชายแดนระหว่างอเมริกากับเม็กซิโกในช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2020 ได้สามารถเข้าถึงสารที่ไหลผ่านคำพูดหรือ Activity ของตัวละครแต่ละคนในสเกลที่ Set ไว้ขนาดนี้ได้สะดวกว่าขณะนั้นเกิดอะไรขึ้น ? เพราะทุกคนก็เคยประสบกับช่วงเวลามาแม้ไม่เข้าใจทั้งหมดด้วยเพราะมันสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศอเมริกาเชิงโครงสร้างทางการเมืองโดยมีโควิดเป็นชนวนให้เรื่องที่ยังเวียนว่ายและเพิ่มเข้ามาใหม่ค่อย ๆ ปะทุออกมาแล้วการมีอิทธิพลของสื่อ Socials บนโลกออนไลน์นี่แหล่ะที่ทำให้คนได้เห็นอะไรหลายอย่างทั้งเรื่องที่เคยได้ยินและเรื่องที่ไม่เคยได้ยินก็ไม่แปลกอะไรในเมื่อมันเป็นเรื่องในบ้านของเขา เอาแค่ปัญหาในบ้านตัวเองก็ปวดกบาลจะตายห่าอยู่แล้ว

- ด้วยความที่หนังยาวเหยียดแน่นอนว่าระหว่างดูเกิดอาการกรึ่ม ๆ จะวูบหลับเริ่มสะสมหลังจากที่ตัวนายอำเภอ Joe เลือกปฏิบัติด้วยการไม่สวม Mask ต่อหน้าตำรวจขณะตรวจเวรแถมยังท้าทายนโยบายต่อหน้า Ted นายเทศมนตรีของรัฐ Eddington ถึงมาตรการการจัดการควบคุมโควิดที่เต็มไปด้วยข้อสงสัยต่อการเลือกปฏิบัติจนกลายเป็นไม้เบื่อที่นำไปสู่ความแตกแยกทางอุดมการณ์โดยไม่แคร์สายตาประชาชีที่พร้อมใจกันชักมือถือออกมา Live สดให้โลกรู้เพราะมีสิทธิ์ที่จะไม่เลือกทำในฐานะพลเมืองของประเทศทั้งที่บางอย่างมันก็ไปลิดรอนสิทธิ์ต่อส่วนรวมที่ทำให้ผมดึงสติเก็บสารที่อัดมวลด้วยความปั่นป่วนไม่ไหวติงเหล่านี้ต่อไป

- อีกอย่างคือได้พลังของนักแสดงนำอย่างเฮีย Joaquin ก็ดี , เฮีย Pedro ก็ดี , เจ๊ Emma ก็ดี หรือ พรี่ Austin ที่แต่ละคนมี Character น่าสนใจที่สามารถช่วยประคองให้ Story มีอะไรให้ติดตามผ่านการทำงานของ Joe ที่เป็นกระจกสะท้อนถึงสภาพบ้านเมืองที่เริ่มเข้าสู่กลียุคจากการออกมาประท้วงชุมนุมกลางถนนก็ดี , การออกมาใช้ชีวิตในช่วงเวลา Lockdown ก็ดี หรือ การปรากฎตัวของเหล่า Influencer ที่เริ่มหิวแสงตามยอด Engagement ที่แพร่ระบาดไม่ต่างจากเชื้อโรคแล้วไหนจะเรื่องปัญหาการเหยียดชนชาติที่เรื้อรังมานานสำทับจนเกิดความวุ่นวายที่ยากจะ ควบคุม ไม่ต่างจาก Beau ที่เฮีย Joaquin เล่นตรงที่ไม่ว่าจะเจออะไรสุดท้ายก็กลับมาซบอก ผู้หญิง อยู่ดี แค่เปลี่ยนจาก แม่บังเกิดเกล้า มาเป็น Louis ภรรเมียและแม่ของ Louise ซึ่งก็คือ แม่ยายของเขา

- พอรู้ตัวแล้วว่ารับสารที่ประเคนมาไม่ไหวเพราะมันเยอะต่อการโยง Timeline ที่ต้องใช้เวลามานั่งไล่ตามรอยทางประวัติศาสตร์ย้อนหลังที่ผ่านมาแล้วไม่รู้กี่ร้อยปีจนตาเริ่มจะปิด จู่ ๆ ตัวหนังมันดัน Twist มา way นี้ได้ไงไม่รู้จนผมสะดุ้งในใจไป 1 อึกแลกกับความอยากรู้ที่เริ่มทำงานในตอนที่ Joe แถลงการณ์ต่อหน้าสื่อมวลชนปุ๊ปเท่านั้นแหล่ะเหมือนหนังได้ Standbyเชื้อเพลิงไว้เพียงแต่รอเวลาจุดอยู่ว่าจะมากี่โมง ? ในเมื่อหน้างาน Enjoy อยู่กับการสาวไส้ให้กากินที่บางเรื่องก็ขำในความหาแซะและบางเรื่องก็ขำไม่ออกเพราะมันสะเทือนเกินจะรับได้ถ้าไม่เจอกับตัวมันเลยทำให้ไม่กี่นาทีต่อมาจึงพลิกไปอีก way อย่างไม่ทันเตรียมใจว่ามันจะดุเดือดสันตะโรจนอุทานร้อง เอ้า ออกมาด้วยความเจ็บหัวกับหวยที่พยายามต่อเวลาออกมาเลขนี้ที่ดูเวอร์วังแต่ไม่ไกลเกินมโนว่าอะไรก็เกิดได้ ตราบใดที่ Events ไม่สงบเพราะมีคนขยันหาสร้าง สถานการณ์ แล้วจับมือใครดมไม่ได้ก็จะเกิดความวุ่นวายตามที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ต่อไปไม่รู้ว่าจะหาทางยุติกันยังไงดี ?

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique
[CR] No.179 Eddington (2025) : จลาจลคนพร้อมชนนโยบายวิปลาสสันตะโร(ค)โควิด
- คงเป็นอันทราบกันอย่างแน่นอนแล้วว่าไม่เอามาฉายในบ้านเราเลยไปดูในช่องทางพิเศษปรากฎว่าชอบในสารที่นำเสนอมาอย่างปล่อย Joint ด้วยระยะเวลากว่า 2 ชั่วโมง 28 นาทีที่ให้ความยาวอย่างบ้าพลังที่เป็นรองแค่เรื่อง Beau is Afraid (2023) ที่ล่อความยาวไปถึง 3 ชั่วโมงเทียบเท่ากับเรื่อง Oppenheimer (2023) ของ Sir. Nolan ที่ฉายร่วมชั้นในปีเดียวกันนี้ตรงที่มันฉีก Concept ไปจากผลงานเรื่องก่อนของผู้กำกับ Ari Aster อย่างสิ้นเชิงจนไม่เหลือภาพจำเดิมที่ติดใจว่ากูเคยกำกับหนังครอบครัวนรกชิงมาเกิดอย่าง Hereditary (2018) กับ หนังเทศกาลป่าช้าเฮี้ยนอย่าง Midsommar (2019) ที่เอนไปทางมืดมนมาก่อน
- พอมา wayนี้รู้สึกว่ามันเล่นกับความบิดเบี้ยวในใจคนได้อย่างเปิดเผยแถมอีกมุมก็เหมือนดู Beau ภาค Multiverse ที่ตัดความเหนือจริงออกไปแล้วใส่ความสมจริงที่ปูฉากหลังเป็นช่วงระหว่างการเกิดโรคระบาดอย่างโควิด-19 มาเป็น Main หลักแล้วย่อสเกลลงไปส่องในเมือง Eddington ที่ตั้งอยู่ชายแดนระหว่างอเมริกากับเม็กซิโกในช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2020 ได้สามารถเข้าถึงสารที่ไหลผ่านคำพูดหรือ Activity ของตัวละครแต่ละคนในสเกลที่ Set ไว้ขนาดนี้ได้สะดวกว่าขณะนั้นเกิดอะไรขึ้น ? เพราะทุกคนก็เคยประสบกับช่วงเวลามาแม้ไม่เข้าใจทั้งหมดด้วยเพราะมันสะท้อนปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศอเมริกาเชิงโครงสร้างทางการเมืองโดยมีโควิดเป็นชนวนให้เรื่องที่ยังเวียนว่ายและเพิ่มเข้ามาใหม่ค่อย ๆ ปะทุออกมาแล้วการมีอิทธิพลของสื่อ Socials บนโลกออนไลน์นี่แหล่ะที่ทำให้คนได้เห็นอะไรหลายอย่างทั้งเรื่องที่เคยได้ยินและเรื่องที่ไม่เคยได้ยินก็ไม่แปลกอะไรในเมื่อมันเป็นเรื่องในบ้านของเขา เอาแค่ปัญหาในบ้านตัวเองก็ปวดกบาลจะตายห่าอยู่แล้ว
- ด้วยความที่หนังยาวเหยียดแน่นอนว่าระหว่างดูเกิดอาการกรึ่ม ๆ จะวูบหลับเริ่มสะสมหลังจากที่ตัวนายอำเภอ Joe เลือกปฏิบัติด้วยการไม่สวม Mask ต่อหน้าตำรวจขณะตรวจเวรแถมยังท้าทายนโยบายต่อหน้า Ted นายเทศมนตรีของรัฐ Eddington ถึงมาตรการการจัดการควบคุมโควิดที่เต็มไปด้วยข้อสงสัยต่อการเลือกปฏิบัติจนกลายเป็นไม้เบื่อที่นำไปสู่ความแตกแยกทางอุดมการณ์โดยไม่แคร์สายตาประชาชีที่พร้อมใจกันชักมือถือออกมา Live สดให้โลกรู้เพราะมีสิทธิ์ที่จะไม่เลือกทำในฐานะพลเมืองของประเทศทั้งที่บางอย่างมันก็ไปลิดรอนสิทธิ์ต่อส่วนรวมที่ทำให้ผมดึงสติเก็บสารที่อัดมวลด้วยความปั่นป่วนไม่ไหวติงเหล่านี้ต่อไป
- อีกอย่างคือได้พลังของนักแสดงนำอย่างเฮีย Joaquin ก็ดี , เฮีย Pedro ก็ดี , เจ๊ Emma ก็ดี หรือ พรี่ Austin ที่แต่ละคนมี Character น่าสนใจที่สามารถช่วยประคองให้ Story มีอะไรให้ติดตามผ่านการทำงานของ Joe ที่เป็นกระจกสะท้อนถึงสภาพบ้านเมืองที่เริ่มเข้าสู่กลียุคจากการออกมาประท้วงชุมนุมกลางถนนก็ดี , การออกมาใช้ชีวิตในช่วงเวลา Lockdown ก็ดี หรือ การปรากฎตัวของเหล่า Influencer ที่เริ่มหิวแสงตามยอด Engagement ที่แพร่ระบาดไม่ต่างจากเชื้อโรคแล้วไหนจะเรื่องปัญหาการเหยียดชนชาติที่เรื้อรังมานานสำทับจนเกิดความวุ่นวายที่ยากจะ ควบคุม ไม่ต่างจาก Beau ที่เฮีย Joaquin เล่นตรงที่ไม่ว่าจะเจออะไรสุดท้ายก็กลับมาซบอก ผู้หญิง อยู่ดี แค่เปลี่ยนจาก แม่บังเกิดเกล้า มาเป็น Louis ภรรเมียและแม่ของ Louise ซึ่งก็คือ แม่ยายของเขา
- พอรู้ตัวแล้วว่ารับสารที่ประเคนมาไม่ไหวเพราะมันเยอะต่อการโยง Timeline ที่ต้องใช้เวลามานั่งไล่ตามรอยทางประวัติศาสตร์ย้อนหลังที่ผ่านมาแล้วไม่รู้กี่ร้อยปีจนตาเริ่มจะปิด จู่ ๆ ตัวหนังมันดัน Twist มา way นี้ได้ไงไม่รู้จนผมสะดุ้งในใจไป 1 อึกแลกกับความอยากรู้ที่เริ่มทำงานในตอนที่ Joe แถลงการณ์ต่อหน้าสื่อมวลชนปุ๊ปเท่านั้นแหล่ะเหมือนหนังได้ Standbyเชื้อเพลิงไว้เพียงแต่รอเวลาจุดอยู่ว่าจะมากี่โมง ? ในเมื่อหน้างาน Enjoy อยู่กับการสาวไส้ให้กากินที่บางเรื่องก็ขำในความหาแซะและบางเรื่องก็ขำไม่ออกเพราะมันสะเทือนเกินจะรับได้ถ้าไม่เจอกับตัวมันเลยทำให้ไม่กี่นาทีต่อมาจึงพลิกไปอีก way อย่างไม่ทันเตรียมใจว่ามันจะดุเดือดสันตะโรจนอุทานร้อง เอ้า ออกมาด้วยความเจ็บหัวกับหวยที่พยายามต่อเวลาออกมาเลขนี้ที่ดูเวอร์วังแต่ไม่ไกลเกินมโนว่าอะไรก็เกิดได้ ตราบใดที่ Events ไม่สงบเพราะมีคนขยันหาสร้าง สถานการณ์ แล้วจับมือใครดมไม่ได้ก็จะเกิดความวุ่นวายตามที่เห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ต่อไปไม่รู้ว่าจะหาทางยุติกันยังไงดี ?
ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านครับ : EMistique
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้