หาก
"นุสรา" (Nusara) เปรียบเสมือนตัวแทนของ
"คุณยาย" ผู้เคร่งครัดที่คอยพร่ำสอนรสชาติไทยแท้แบบดั้งเดิมให้ลูกหลานจดจำ
"หลานยาย" (Lahnyai) ก็คือตัวแทนของ
"หลานต้น" เชฟต้น-ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร เด็กหนุ่มหัวสมัยใหม่ที่เติบโตมากับรสมือยาย แต่อยากจะลุกขึ้นมา
"ตามใจตัวเอง" ลองทำอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง เขาจึงหยิบจับความทรงจำเหล่านั้นมาปั้นแต่งใหม่ ใส่จินตนาการและความสนุกซนแบบ "เด็กนอก" ลงไป จนเกิดเป็นอาหารไทยที่เราคุ้นเคยแต่ถูกนำเสนอในแบบตะวันตก
หากใครไม่รู้จัก
เชฟต้น เป็นเชฟไทยคนเดียวในโลกที่เป็นเจ้าของร้านอาหารระดับรางวัลมิชลิน (Michelin Star) ถึง 2 แห่ง คือ Le Du และ Nusara เขาจบการศึกษาระดับเกียรตินิยมสูงสุดจาก Culinary Institute of America (CIA) สถาบันสอนทำอาหารระดับโลกที่นิวยอร์ก และผ่านการฝึกปรือฝีมือในร้านอาหารระดับ 3 ดาวมิชลินอย่าง Eleven Madison Park และ Jean-Georges มาแล้ว
ครั้งนี้เชฟต้นได้จับมือกับ
Chef Marcelo Baruch เฮดเชฟคนปัจจุบันจากบราซิล ร่วมกันเปลี่ยน
"ครัวเปิด" (Open Kitchen) ภายในโครงการ
Baàn Turtle (บ้านเต่า) คฤหาสน์สไตล์โมเดิร์นคลาสสิกอันเงียบสงบในซอยสวนพลู ให้กลายเป็นเวทีทดลองอาหารไทยขนาดน่ารักที่อบอุ่นและเป็นกันเอง
คอนเซปต์หลักของที่นี่คือการนำ
"ตำราอาหารเก่า" มาตีความใหม่ผ่านมุมมองชาวตะวันตก เพื่อให้อาหารไทยดังเดิมมีความร่วมสมัยมากขึ้น ได้มุมมองที่น่าสนใจ เเละพัฒนาอาหารไทยขึ้นไปอีกระดับ โดยเชฟ
Marcelo นำเทคนิค
Fermentation (การหมักดอง) แบบตะวันตกและนอร์ดิก มายกระดับเครื่องปรุงไทยบ้านๆ อย่าง
"กะปิ" และ
"น้ำปลา" ให้มีรสชาติที่นุ่มนวล ผู้ดี และมีความเป็นสากลมากขึ้น
หากใครอยากหาอาหารตำรับโบราณที่เคร่งครัดที่นี้อาจจะไม่ใช่คำตอบ แต่สำหรับใครที่อยากหาการตีความตำราอาหารโบราณให้ร่วมสมัยและใส่มุมมองใหม่ๆ ที่น่าสนุก ร้านนี้ถือว่าน่าสนใจเอามากๆ โดยเฉพาะจานเมี่ยงคำที่ผมว่าชอบเอาเสียมากๆ กับการทำให้เมี่ยงทานง่ายขึ้นและมีรสความเป็นสากล และใช้เป็นจานสลัดในการเบรครสชาติที่จัดจ้านของอาหารไทยได้อย่างลงตัว

เริ่มเปิดต่อมรับรสด้วย
Mocktail Rose Apple ที่มีความซับซ้อนด้วยรสเปรี้ยวของมะนาวนำ แทรกด้วยเลม่อนหวานน้อย แทรกด้วยความฝาดปลายลิ้นที่เป็นเอกลักษณ์ของชมพู่ ผสานกลิ่นหอมของเลมอนและกระเจี๊ยบ เป็นความสดชื่นที่ปลุกเร้าประสาทสัมผัสให้ตื่นตัว
Kapi Wan (กะปิหวาน)
คำแรกก็ทำเอาว้าวกับแครกเกอร์กะปิที่ท็อปด้วยมะม่วง ผลไม้แช่อิ่ม และกุ้งหวาน ตัวแครกเกอร์หอมกลิ่นเนยแทรกด้วยกลิ่นอายทะเลจากกะปิ รสหวานเค็มตัดกับความเขียวของสมุนไพรอ่อนๆ เป็นกะปิหวานเวอร์ชันตะวันตก ที่รสชาตินวลเนียนและยกระดับของทานเล่นของไทย
Gaeng Plaa Thepo (แกงปลาเทโพ)
จากบทพระราชนิพนธ์ใน รัชกาลที่ 2 (King Rama II) ที่พรรณนาถึงความมันของท้องปลา 3 สู่จานที่โมเดิร์นสุดๆ เชฟใช้เทคนิคตะวันตกทำ Cold Curry Emulsion (แกงเย็น) รสเปรี้ยวหวานทานง่าย เสิร์ฟพร้อมปลา Ikejime เนื้อเด้งหนุบหนับคล้ายเยลลี่ และแฮมหมูรมควันทำเองที่ให้กลิ่นสโมคจางๆ ทานคู่กับ Rice Roti แล้วเข้ากันดีมาก
Goong Saawn Glin (กุ้งซ่อนกลิ่น)
อ้างอิงจากตำรา "อาหารว่าง" (Tamra Aahaan Waang) ที่พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพของ หม่อมเจ้าหญิงเม้า ทองแถม (Princess Mao Thongthaem) เมื่อปี 1936 เสิร์ฟมาเป็นสลัดทาร์ตในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เนื้อกุ้งนุ่มเด้งหั่นมาเป็นเต๋า ผสานรสเปรี้ยวหอมของส้มซ่าและกลิ่นใบมะกรูด ทีเด็ดคือหอมเจียวที่โรยมาช่วยชูรสให้คำนี้ "หอม" อบอวลสมชื่อซ่อนกลิ่นจริงๆ
Satay Lue (สะเต๊ะลือ)
ตำนาน "สะเต๊ะขี้เม้าท์" จากห้องเครื่องของ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ (Princess Sai Ladawan) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากชวา 5 เชฟนำมายกระดับด้วยการเลือกใช้ เนื้อแกะสันใน (Lamb Tenderloin) คุณภาพดีนุ่มละลายไร้กลิ่นสาบแทรกด้วยกลิ่นยี่หร่าอ่อนๆ แนะนำให้ชิมสะเต๊ะเปล่าๆก่อนชินนึงจะได้กลิ่นเครื่องเทศแบบเบาๆรสไม่หวานรสเค็มเกลืออ่อนๆ ก่อนทานคู่กับแตงกวาดองและซอสสะเต๊ะรสครีมมี่ที่ไม่หวานเลี่ยน เป็นจานที่อร่อยมากครับ
Miang Kham (เมี่ยงคำ)
ของว่างล้านนาที่ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี (Queen Dara Rasamee) นำเผยแพร่สู่ราชสำนักสยาม 6 มาในรูปแบบผักรวมห่อใบเมี่ยงพอดีคำ ท็อปด้วยซอสเมี่ยงและ Finger Lime (มะนาวนิ้วมือ) ที่รสเปรี้ยวโดดช่วยระเบิดความสดชื่น ตัดกับรสหวานและกลิ่นหอมเฉพาะตัวของใบเมี่ยงดองที่ใช้ห่อด้านนอก รสผักที่หลากหลาย สัมผัสที่มีมิติยุบยับ ความสดชื่นและไม่รู้สึกหนักหวานมากจนเกนไปของคำนี้ เป็นคำที่ผมเรียกได้เต็มปากว่าเมี่ยงแต่มีการยกระดับในแบบตะวันตก และสร้างมิติรสชาติที่สนุกสนานได้อย่างยอดเยี่ยม
Yam Chompu (ยำชมพู่)
จานนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากตำราของ ท่านผู้หญิงกลีบ มหิธร (Thanphuying Gleep Mahidhorn) ปี 1949 ที่ได้รับอิทธิพลจากพ่อครัวฝรั่งเศสในวัง ที่เริ่มนำทฤษฎีของEscoffierมาใช้ หอยเชลล์เนื้อนุ่มทานคู่กับชมพู่สดและเรดิชกรอบ น้ำยำมีกลิ่นพริกเผานำ เผ็ดร้อนเบาๆไม่เผ็ดจัด มีกลิ่น Earthy บางๆ จากเรดิช ปิดท้ายด้วยความหวานฉ่ำของชมพู่ที่ช่วยดับร้อน เป็นจานที่ Texture ดีมาก แต่กลิ่นของ Radish นั้นอาจจะ overhelm กลิ่นที่ค่อนข้างอ่อนของชมพูไปสักนิด

Tom Kha (ต้มข่า)
อ้างอิงจากตำรา แม่ครัวหัวป่าก์ (Maae Khruaa Huaa Bpaa) ตำราอาหารเล่นแรกของหลายๆคน โดยเชฟเลือกดัดแปลงมันมาเป็นซุปข้นสไตล์ครีมตะวันตกที่รสไม่หนักเพราะขึ้นตัวซุปด้วยกะทิ รสเปรี้ยวนำครีมมี่มะพร้าว หอมกลิ่นข่าชัดเจน ในชามมีเกี๊ยวไส้เห็ดแป้งนุ่มคล้ายราวิโอลี (Ravioli) ท็อปด้วยคาเวียร์และน้ำมันข่า ทานคู่กับเห็ดนางรมหลวงย่าง ปิดท้ายมื้อเรียกน้ำย่อยได้อย่างงดงาม
Massaman Duck (แกงมัสมั่นเป็ด)
ไฮไลท์จากสูตร ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ (Lady Plean Passakornrawong) ในหนังสือ "ประติทินบัตรแลจดหมายเหตุ" ปี 1889 9999 เชฟเสิร์ฟแยกส่วนระหว่างเนื้อเป็ด Dry-aged 14 วัน ที่หนังไม่เหนียวและเนื้อนุ่มไร้กลิ่นสาบ กับน้ำแกงมัสมั่นรสเข้มข้น หอมกลิ่นเครื่องเทศแขกและอบเชย (Cinnamon) ชัดเจน รสชาติ "ร้อนลึก" แต่ไม่เผ็ดฉุนเหมือนแกงแดงทั่วไป เป็นรสชาติโบราณที่หาทานยาก โดยเราจะทานคู่กับโรตีครับ
Sumrub (สำรับ)

จัดเสิร์ฟแบบสำรับไทยเพื่อให้รสชาติเกื้อกูลกัน:
Gaeng Ho (แกงโฮะ): แกงเนื้อซี่โครง (Short Rib) รสครีมมี่ เนื้อวัวเด้งกรอบมีมันละลาย ตัวเเกงออกครีมมี่หวานนำรสเผ็ดร้อน มีลูกโดดเป็นพริกไทยเขียวและลำไยรสหวาน
Tom Hed (ต้มเห็ด): ซุปใสรสเค็มนำอูมามิ สำหรับตัดรส หอมกลิ่นน้ำปลาดี ช่วยคล่องคอ
Plaa Goong (พล่ากุ้ง): จานนี้พิเศษด้วยการใช้
กุ้งสับชิ้นเล็กๆ รสเปรี้ยวมะนาวนำ ผสานความหวานขององุ่นเขียวและความหวานกรุบกรอบของข้าวเกรียบงา เป็นจานยำรสเปรี้ยวของสำรับนี้
Naam Phrik Magruut (น้ำพริกมะกรูด): รสหวานนำ ครีมมี่หน่อยๆ หอมกลิ่นมะกรูด เสิร์ฟพร้อมผักย่างที่จัดจานมาอย่างเท่ ถ้าเรียกมันว่านำพริกมะกรูดตามตำรับแล้วรสอาจจะหวานกว่าที่คุ้นชินไปสักนิด
Dok Kajorn Phad Kai (ดอกขจรผัดไข่): ผัดมาแบบแห้งๆ หอมกลิ่นกระทะ (Wok Hei) ผักสุกกำลังดี รสหวานธรรมชาติ ทานกับน่องเป็ด confit เป็นจานที่ผมชอบมากครับ

ก่อนเข้าของหวาน มี
Granita ทำจากเมล่อน ฝรั่ง และกระเจี๊ยบแช่อิ่ม (Roselle Candy) มาล้างปากให้สดชื่น
Khao Niew Mor Kaeng (ข้าวเหนียวหม้อแกง)
ปิดท้ายด้วยขนมหวานที่ดัดแปลงจากตำรับ ท้าวทองกีบม้า (Maria Guyomar de Pinha) สมัยพระนารายณ์มหาราช จานซิกเนเจอร์ของร้านและอยู่มาตั้งแต่เปิดร้านโดยไม่เคยเปลี่ยน เค้กหม้อแกงเนื้อแน่นท็อปด้วยน้ำตาลไหม้กรอบบางๆ (Brûlée) เสิร์ฟคู่กับไอศกรีมรสหอมเจียวที่เกิดจากความบังเอิญ และข้าวเหนียวมูนกะทิ อร่อยเข้าใจง่าย หวานมันกลมกล่อม
#Score:AD
Visit: DEC-2025
🗺เเผนที่:
https://maps.app.goo.gl/ER8oLjeUJ7gHiBgU8
⏰เวลาเปิดปิด: 6–11 PM เสาร์,อาทิตย์ มีมื้อกลางวัน, ปิด พุธ,พฤหัส
💵ค่าเสียหาย: 3,890++
⌨️เว็บไซต์ร้าน:
https://www.lahnyai.com/
เราเป็นเพจรีวิวร้านอาหาร Fine dining แบบจริงใจและเจาะลึกทั้งในไทยทั่วโลก
ชอบช่วยกดไลค์ ใช่ช่วยกดเเชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้เรา #บอสพาชิม #eatliketheboss
[SR] บอสพาชิม : Lahnyai Nusara เมื่อ 'หลานต้น'ตีความรสมือยายใหม่ผ่านมุมมองตะวันตก (Bangkok, Thailand)
หาก "นุสรา" (Nusara) เปรียบเสมือนตัวแทนของ "คุณยาย" ผู้เคร่งครัดที่คอยพร่ำสอนรสชาติไทยแท้แบบดั้งเดิมให้ลูกหลานจดจำ "หลานยาย" (Lahnyai) ก็คือตัวแทนของ "หลานต้น" เชฟต้น-ธิติฏฐ์ ทัศนาขจร เด็กหนุ่มหัวสมัยใหม่ที่เติบโตมากับรสมือยาย แต่อยากจะลุกขึ้นมา "ตามใจตัวเอง" ลองทำอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง เขาจึงหยิบจับความทรงจำเหล่านั้นมาปั้นแต่งใหม่ ใส่จินตนาการและความสนุกซนแบบ "เด็กนอก" ลงไป จนเกิดเป็นอาหารไทยที่เราคุ้นเคยแต่ถูกนำเสนอในแบบตะวันตก
หากใครไม่รู้จัก เชฟต้น เป็นเชฟไทยคนเดียวในโลกที่เป็นเจ้าของร้านอาหารระดับรางวัลมิชลิน (Michelin Star) ถึง 2 แห่ง คือ Le Du และ Nusara เขาจบการศึกษาระดับเกียรตินิยมสูงสุดจาก Culinary Institute of America (CIA) สถาบันสอนทำอาหารระดับโลกที่นิวยอร์ก และผ่านการฝึกปรือฝีมือในร้านอาหารระดับ 3 ดาวมิชลินอย่าง Eleven Madison Park และ Jean-Georges มาแล้ว
ครั้งนี้เชฟต้นได้จับมือกับ Chef Marcelo Baruch เฮดเชฟคนปัจจุบันจากบราซิล ร่วมกันเปลี่ยน "ครัวเปิด" (Open Kitchen) ภายในโครงการ Baàn Turtle (บ้านเต่า) คฤหาสน์สไตล์โมเดิร์นคลาสสิกอันเงียบสงบในซอยสวนพลู ให้กลายเป็นเวทีทดลองอาหารไทยขนาดน่ารักที่อบอุ่นและเป็นกันเอง
คอนเซปต์หลักของที่นี่คือการนำ "ตำราอาหารเก่า" มาตีความใหม่ผ่านมุมมองชาวตะวันตก เพื่อให้อาหารไทยดังเดิมมีความร่วมสมัยมากขึ้น ได้มุมมองที่น่าสนใจ เเละพัฒนาอาหารไทยขึ้นไปอีกระดับ โดยเชฟMarcelo นำเทคนิค Fermentation (การหมักดอง) แบบตะวันตกและนอร์ดิก มายกระดับเครื่องปรุงไทยบ้านๆ อย่าง "กะปิ" และ "น้ำปลา" ให้มีรสชาติที่นุ่มนวล ผู้ดี และมีความเป็นสากลมากขึ้น
หากใครอยากหาอาหารตำรับโบราณที่เคร่งครัดที่นี้อาจจะไม่ใช่คำตอบ แต่สำหรับใครที่อยากหาการตีความตำราอาหารโบราณให้ร่วมสมัยและใส่มุมมองใหม่ๆ ที่น่าสนุก ร้านนี้ถือว่าน่าสนใจเอามากๆ โดยเฉพาะจานเมี่ยงคำที่ผมว่าชอบเอาเสียมากๆ กับการทำให้เมี่ยงทานง่ายขึ้นและมีรสความเป็นสากล และใช้เป็นจานสลัดในการเบรครสชาติที่จัดจ้านของอาหารไทยได้อย่างลงตัว
เริ่มเปิดต่อมรับรสด้วย Mocktail Rose Apple ที่มีความซับซ้อนด้วยรสเปรี้ยวของมะนาวนำ แทรกด้วยเลม่อนหวานน้อย แทรกด้วยความฝาดปลายลิ้นที่เป็นเอกลักษณ์ของชมพู่ ผสานกลิ่นหอมของเลมอนและกระเจี๊ยบ เป็นความสดชื่นที่ปลุกเร้าประสาทสัมผัสให้ตื่นตัว
Kapi Wan (กะปิหวาน)
คำแรกก็ทำเอาว้าวกับแครกเกอร์กะปิที่ท็อปด้วยมะม่วง ผลไม้แช่อิ่ม และกุ้งหวาน ตัวแครกเกอร์หอมกลิ่นเนยแทรกด้วยกลิ่นอายทะเลจากกะปิ รสหวานเค็มตัดกับความเขียวของสมุนไพรอ่อนๆ เป็นกะปิหวานเวอร์ชันตะวันตก ที่รสชาตินวลเนียนและยกระดับของทานเล่นของไทย
Gaeng Plaa Thepo (แกงปลาเทโพ)
จากบทพระราชนิพนธ์ใน รัชกาลที่ 2 (King Rama II) ที่พรรณนาถึงความมันของท้องปลา 3 สู่จานที่โมเดิร์นสุดๆ เชฟใช้เทคนิคตะวันตกทำ Cold Curry Emulsion (แกงเย็น) รสเปรี้ยวหวานทานง่าย เสิร์ฟพร้อมปลา Ikejime เนื้อเด้งหนุบหนับคล้ายเยลลี่ และแฮมหมูรมควันทำเองที่ให้กลิ่นสโมคจางๆ ทานคู่กับ Rice Roti แล้วเข้ากันดีมาก
Goong Saawn Glin (กุ้งซ่อนกลิ่น)
อ้างอิงจากตำรา "อาหารว่าง" (Tamra Aahaan Waang) ที่พิมพ์แจกในงานพระราชทานเพลิงศพของ หม่อมเจ้าหญิงเม้า ทองแถม (Princess Mao Thongthaem) เมื่อปี 1936 เสิร์ฟมาเป็นสลัดทาร์ตในรูปแบบที่เข้าใจง่าย เนื้อกุ้งนุ่มเด้งหั่นมาเป็นเต๋า ผสานรสเปรี้ยวหอมของส้มซ่าและกลิ่นใบมะกรูด ทีเด็ดคือหอมเจียวที่โรยมาช่วยชูรสให้คำนี้ "หอม" อบอวลสมชื่อซ่อนกลิ่นจริงๆ
Satay Lue (สะเต๊ะลือ)
ตำนาน "สะเต๊ะขี้เม้าท์" จากห้องเครื่องของ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ (Princess Sai Ladawan) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากชวา 5 เชฟนำมายกระดับด้วยการเลือกใช้ เนื้อแกะสันใน (Lamb Tenderloin) คุณภาพดีนุ่มละลายไร้กลิ่นสาบแทรกด้วยกลิ่นยี่หร่าอ่อนๆ แนะนำให้ชิมสะเต๊ะเปล่าๆก่อนชินนึงจะได้กลิ่นเครื่องเทศแบบเบาๆรสไม่หวานรสเค็มเกลืออ่อนๆ ก่อนทานคู่กับแตงกวาดองและซอสสะเต๊ะรสครีมมี่ที่ไม่หวานเลี่ยน เป็นจานที่อร่อยมากครับ
Miang Kham (เมี่ยงคำ)
ของว่างล้านนาที่ พระราชชายา เจ้าดารารัศมี (Queen Dara Rasamee) นำเผยแพร่สู่ราชสำนักสยาม 6 มาในรูปแบบผักรวมห่อใบเมี่ยงพอดีคำ ท็อปด้วยซอสเมี่ยงและ Finger Lime (มะนาวนิ้วมือ) ที่รสเปรี้ยวโดดช่วยระเบิดความสดชื่น ตัดกับรสหวานและกลิ่นหอมเฉพาะตัวของใบเมี่ยงดองที่ใช้ห่อด้านนอก รสผักที่หลากหลาย สัมผัสที่มีมิติยุบยับ ความสดชื่นและไม่รู้สึกหนักหวานมากจนเกนไปของคำนี้ เป็นคำที่ผมเรียกได้เต็มปากว่าเมี่ยงแต่มีการยกระดับในแบบตะวันตก และสร้างมิติรสชาติที่สนุกสนานได้อย่างยอดเยี่ยม
Yam Chompu (ยำชมพู่)
จานนี้ได้รับแรงบันดาลใจจากตำราของ ท่านผู้หญิงกลีบ มหิธร (Thanphuying Gleep Mahidhorn) ปี 1949 ที่ได้รับอิทธิพลจากพ่อครัวฝรั่งเศสในวัง ที่เริ่มนำทฤษฎีของEscoffierมาใช้ หอยเชลล์เนื้อนุ่มทานคู่กับชมพู่สดและเรดิชกรอบ น้ำยำมีกลิ่นพริกเผานำ เผ็ดร้อนเบาๆไม่เผ็ดจัด มีกลิ่น Earthy บางๆ จากเรดิช ปิดท้ายด้วยความหวานฉ่ำของชมพู่ที่ช่วยดับร้อน เป็นจานที่ Texture ดีมาก แต่กลิ่นของ Radish นั้นอาจจะ overhelm กลิ่นที่ค่อนข้างอ่อนของชมพูไปสักนิด
Tom Kha (ต้มข่า)
อ้างอิงจากตำรา แม่ครัวหัวป่าก์ (Maae Khruaa Huaa Bpaa) ตำราอาหารเล่นแรกของหลายๆคน โดยเชฟเลือกดัดแปลงมันมาเป็นซุปข้นสไตล์ครีมตะวันตกที่รสไม่หนักเพราะขึ้นตัวซุปด้วยกะทิ รสเปรี้ยวนำครีมมี่มะพร้าว หอมกลิ่นข่าชัดเจน ในชามมีเกี๊ยวไส้เห็ดแป้งนุ่มคล้ายราวิโอลี (Ravioli) ท็อปด้วยคาเวียร์และน้ำมันข่า ทานคู่กับเห็ดนางรมหลวงย่าง ปิดท้ายมื้อเรียกน้ำย่อยได้อย่างงดงาม
Massaman Duck (แกงมัสมั่นเป็ด)
ไฮไลท์จากสูตร ท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ (Lady Plean Passakornrawong) ในหนังสือ "ประติทินบัตรแลจดหมายเหตุ" ปี 1889 9999 เชฟเสิร์ฟแยกส่วนระหว่างเนื้อเป็ด Dry-aged 14 วัน ที่หนังไม่เหนียวและเนื้อนุ่มไร้กลิ่นสาบ กับน้ำแกงมัสมั่นรสเข้มข้น หอมกลิ่นเครื่องเทศแขกและอบเชย (Cinnamon) ชัดเจน รสชาติ "ร้อนลึก" แต่ไม่เผ็ดฉุนเหมือนแกงแดงทั่วไป เป็นรสชาติโบราณที่หาทานยาก โดยเราจะทานคู่กับโรตีครับ
Sumrub (สำรับ)
จัดเสิร์ฟแบบสำรับไทยเพื่อให้รสชาติเกื้อกูลกัน:
Gaeng Ho (แกงโฮะ): แกงเนื้อซี่โครง (Short Rib) รสครีมมี่ เนื้อวัวเด้งกรอบมีมันละลาย ตัวเเกงออกครีมมี่หวานนำรสเผ็ดร้อน มีลูกโดดเป็นพริกไทยเขียวและลำไยรสหวาน
Tom Hed (ต้มเห็ด): ซุปใสรสเค็มนำอูมามิ สำหรับตัดรส หอมกลิ่นน้ำปลาดี ช่วยคล่องคอ
Plaa Goong (พล่ากุ้ง): จานนี้พิเศษด้วยการใช้ กุ้งสับชิ้นเล็กๆ รสเปรี้ยวมะนาวนำ ผสานความหวานขององุ่นเขียวและความหวานกรุบกรอบของข้าวเกรียบงา เป็นจานยำรสเปรี้ยวของสำรับนี้
Naam Phrik Magruut (น้ำพริกมะกรูด): รสหวานนำ ครีมมี่หน่อยๆ หอมกลิ่นมะกรูด เสิร์ฟพร้อมผักย่างที่จัดจานมาอย่างเท่ ถ้าเรียกมันว่านำพริกมะกรูดตามตำรับแล้วรสอาจจะหวานกว่าที่คุ้นชินไปสักนิด
Dok Kajorn Phad Kai (ดอกขจรผัดไข่): ผัดมาแบบแห้งๆ หอมกลิ่นกระทะ (Wok Hei) ผักสุกกำลังดี รสหวานธรรมชาติ ทานกับน่องเป็ด confit เป็นจานที่ผมชอบมากครับ
ก่อนเข้าของหวาน มี Granita ทำจากเมล่อน ฝรั่ง และกระเจี๊ยบแช่อิ่ม (Roselle Candy) มาล้างปากให้สดชื่น
Khao Niew Mor Kaeng (ข้าวเหนียวหม้อแกง)
ปิดท้ายด้วยขนมหวานที่ดัดแปลงจากตำรับ ท้าวทองกีบม้า (Maria Guyomar de Pinha) สมัยพระนารายณ์มหาราช จานซิกเนเจอร์ของร้านและอยู่มาตั้งแต่เปิดร้านโดยไม่เคยเปลี่ยน เค้กหม้อแกงเนื้อแน่นท็อปด้วยน้ำตาลไหม้กรอบบางๆ (Brûlée) เสิร์ฟคู่กับไอศกรีมรสหอมเจียวที่เกิดจากความบังเอิญ และข้าวเหนียวมูนกะทิ อร่อยเข้าใจง่าย หวานมันกลมกล่อม
#Score:AD
Visit: DEC-2025
🗺เเผนที่: https://maps.app.goo.gl/ER8oLjeUJ7gHiBgU8
⏰เวลาเปิดปิด: 6–11 PM เสาร์,อาทิตย์ มีมื้อกลางวัน, ปิด พุธ,พฤหัส
💵ค่าเสียหาย: 3,890++
⌨️เว็บไซต์ร้าน: https://www.lahnyai.com/
เราเป็นเพจรีวิวร้านอาหาร Fine dining แบบจริงใจและเจาะลึกทั้งในไทยทั่วโลก
ชอบช่วยกดไลค์ ใช่ช่วยกดเเชร์ เพื่อเป็นกำลังใจให้เรา #บอสพาชิม #eatliketheboss
SR - Sponsored Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ SR โดยที่เจ้าของกระทู้
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น