เวลาพูดถึงการลงทุนระยะยาว หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า DCA (Dollar-Cost Averaging) และอาจได้ยินคำใหม่อย่าง VA (Value Averaging) ด้วย แต่ทั้งสองแบบต่างกันยังไง? และแบบไหนเหมาะกับสไตล์การลงทุนของคุณมากกว่ากัน?
DCA คืออะไร?
DCA (การถัวเฉลี่ยต้นทุน) คือการลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่าเดิมเป็นประจำ เช่น ทุกเดือน เราจะซื้อกองทุน/หุ้นด้วยเงินจำนวนเท่า ๆ กันไม่ว่าราคาจะขึ้นหรือลง
ข้อดีของ DCA
✔ ไม่ต้องเดาตลาดว่าขึ้นหรือจะลง
✔ ลดความเสี่ยงจากการเล่นจังหวะผิด
✔ สร้างวินัยการลงทุนระยะยาว
✔ เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาเฝ้าตลาด
ข้อจำกัดของ DCA
❌ ถ้าตลาดขึ้นต่อเนื่อง นักลงทุนอาจซื้อได้น้อยเมื่อตลาดแพง
❌ ไม่ได้ให้ผลลัพธ์สูงที่สุดในทุกสภาพตลาด
สรุปสั้น ๆ ว่า DCA เหมาะกับคนที่อยากลงทุนยาว ๆ มีวินัย และไม่อยากเครียดเรื่องจับจังหวะตลาดครับ
VA คืออะไร?
VA (การถัวเฉลี่ยมูลค่า) ต่างจาก DCA ตรงที่มันไม่ลงเงินเท่ากันทุกครั้ง แต่ ตั้งเป้าหมายมูลค่าพอร์ตที่เราต้องการในแต่ละช่วง แล้วลงทุนเพิ่มเมื่อราคาลง หรืออาจลงทุนน้อยลงเมื่อราคาขึ้น
พูดง่าย ๆ คือเรา “ปรับเงินลงทุนตามสภาพตลาด เพื่อให้มูลค่าพอร์ตเดินตามเป้าหมายที่ตั้งไว้”
ข้อดีของ VA
✔ มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงกว่า DCA ในบางสภาวะ
✔ เน้นช้อนซื้อเมื่อราคาต่ำ
✔ เป้าหมายชัดว่าอยากให้พอร์ตไปถึงตรงไหน
ข้อจำกัดของ VA
❌ ต้องติดตามพอร์ตบ่อยกว่า DCA
❌ ความเสี่ยงสูงกว่า ถ้าควบคุมไม่ดี
❌ ต้องมีวินัยและแบบแผนที่ชัดเจน
VA เหมาะกับคนที่มีเวลา เฝ้าตลาด และอยากเพิ่มโอกาสทำผลตอบแทนสูงขึ้นคครับ
สำหรับข้อมูลเนื้อหาอื่นๆ ผมจะปักไว้ให้ที่คอมเม้นนะครับ
การลงทุนแบบ VA vs DCA ต่างกันอย่างไร เลือกแบบไหนเหมาะกับคุณ?
DCA คืออะไร?
DCA (การถัวเฉลี่ยต้นทุน) คือการลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่าเดิมเป็นประจำ เช่น ทุกเดือน เราจะซื้อกองทุน/หุ้นด้วยเงินจำนวนเท่า ๆ กันไม่ว่าราคาจะขึ้นหรือลง
ข้อดีของ DCA
✔ ไม่ต้องเดาตลาดว่าขึ้นหรือจะลง
✔ ลดความเสี่ยงจากการเล่นจังหวะผิด
✔ สร้างวินัยการลงทุนระยะยาว
✔ เหมาะกับคนที่ไม่มีเวลาเฝ้าตลาด
ข้อจำกัดของ DCA
❌ ถ้าตลาดขึ้นต่อเนื่อง นักลงทุนอาจซื้อได้น้อยเมื่อตลาดแพง
❌ ไม่ได้ให้ผลลัพธ์สูงที่สุดในทุกสภาพตลาด
สรุปสั้น ๆ ว่า DCA เหมาะกับคนที่อยากลงทุนยาว ๆ มีวินัย และไม่อยากเครียดเรื่องจับจังหวะตลาดครับ
VA คืออะไร?
VA (การถัวเฉลี่ยมูลค่า) ต่างจาก DCA ตรงที่มันไม่ลงเงินเท่ากันทุกครั้ง แต่ ตั้งเป้าหมายมูลค่าพอร์ตที่เราต้องการในแต่ละช่วง แล้วลงทุนเพิ่มเมื่อราคาลง หรืออาจลงทุนน้อยลงเมื่อราคาขึ้น
พูดง่าย ๆ คือเรา “ปรับเงินลงทุนตามสภาพตลาด เพื่อให้มูลค่าพอร์ตเดินตามเป้าหมายที่ตั้งไว้”
ข้อดีของ VA
✔ มีโอกาสได้ผลตอบแทนสูงกว่า DCA ในบางสภาวะ
✔ เน้นช้อนซื้อเมื่อราคาต่ำ
✔ เป้าหมายชัดว่าอยากให้พอร์ตไปถึงตรงไหน
ข้อจำกัดของ VA
❌ ต้องติดตามพอร์ตบ่อยกว่า DCA
❌ ความเสี่ยงสูงกว่า ถ้าควบคุมไม่ดี
❌ ต้องมีวินัยและแบบแผนที่ชัดเจน
VA เหมาะกับคนที่มีเวลา เฝ้าตลาด และอยากเพิ่มโอกาสทำผลตอบแทนสูงขึ้นคครับ
สำหรับข้อมูลเนื้อหาอื่นๆ ผมจะปักไว้ให้ที่คอมเม้นนะครับ