คนต่างจังหวัดที่เพิ่งเข้ามากรุงเทพใหม่ๆ หลายคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า กรุงเทพคือเมืองที่สับสนวุ่นวายมากกว่าต่างจังหวัดหลายเท่า แต่กลับหาคนจริงใจยากมาก ยิ่งหาแฟนยิ่งยากไปอีก ยากมากจนแทบไม่มี ทุกคนอยู่อย่างโดดเดี่ยวในทุกวัน ในฐานะที่ผมเป็นคนกรุงเทพแท้โดยกำเนิด อยู่และทำงาน กทม มาค่อนชีวิต เห็นการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างใน กทม ในช่วง 10 ปีหลัง คือ กรุงเทพไม่ได้มีความสับสนวุ่นวายน้อยลงแต่อย่างใด แต่กลับมีความวุ่นวายปนความหลากหลายเพิ่มขึ้นไปอีก จนเรียกได้ว่า คนกรุงเทพแยกกันอยู่ตามสังคมตัวเอง พูดแบบนี้ก็ไม่ผิดนัก
คนกลางใจเมืองกรุงเทพ มีพฤติกรรมการแยกตัวโดดเดี่ยวในสังคมขนาดใหญ่ คุณจะเห็นคนนั่งคนเดียวมากขึ้นจนเป็นเรื่องปกติ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคมเมืองจนกลายเป็นเมืองที่คนจำนวนมากกลายเป็นคนสูงวัย จนเห็นภาพคนแก่เดินใช้ไม้เท้าช่วยเดินเต็มถนน แต่ก็ต้องเดินคนเดียวช่วยตัวเองอย่างโดดเดี่ยวลำพัง ภาพนี้จะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นไปอีกหากคุณไปเดินตาม รพ ขนาดใหญ่ในกรุงเทพ ที่เต็มไปด้วยภาพที่ผมบอก
คนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำมาหากินในกรุงเทพก็โดนสังคมขนาดใหญ่กลืนไปหมด ทุกคนเริ่มมีนิสัยคล้ายกันแบบหุ่นยนต์ สนใจแค่เรื่องตัวเอง และไม่สนใจคนรอบข้าง พฤติกรรมนี้ทำให้ทุกคนมีกรอบกำบังรอบตัวที่กันคนภายนอกเข้ามาหา หากมีเหตุการณ์อะไรไม่ดีเกิดขึ้น ก็คงไม่มีใครช่วยเหลือกัน หรือแค่มองดูอยู่ห่างๆ คนในวันนี้ยังคงเดินเงียบๆ ตามเป้าหมายตัวเองอย่างโดดเดี่ยว ถ้าคุณเดินเล่นในวันทำงานปกติตามห้าง ภาพความโดดเดี่ยวแบบตัวใครตัวมัน มันจะปรากฏชัดมากขึ้นไปอีก ภาพนี้หากไปเทียบกับเมืองโตเกียวในญี่ปุ่น จะถือได้ว่า กรุงเทพเดินตามญี่ปุ่นไม่ผิดเพี้ยนเลย แค่เหตุการณ์เกิดขึ้นช้ากว่าญี่ปุ่นราวสิบถึงยี่สิบปีเท่านั้นเอง ปัจจุบันต้องยอมรับว่ากรุงเทพคือเมืองโดดเดี่ยวที่สุดที่หนึ่งในอาเซี่ยน และอีกราวสิบปีข้างหน้า ภาพจะเหมือนญี่ปุ่นที่ความโดดเดี่ยวจะเพิ่มทวีคูณอย่างแน่นอน
กรุงเทพ เมืองที่แสนโดดเดี่ยว
คนกลางใจเมืองกรุงเทพ มีพฤติกรรมการแยกตัวโดดเดี่ยวในสังคมขนาดใหญ่ คุณจะเห็นคนนั่งคนเดียวมากขึ้นจนเป็นเรื่องปกติ ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของสังคมเมืองจนกลายเป็นเมืองที่คนจำนวนมากกลายเป็นคนสูงวัย จนเห็นภาพคนแก่เดินใช้ไม้เท้าช่วยเดินเต็มถนน แต่ก็ต้องเดินคนเดียวช่วยตัวเองอย่างโดดเดี่ยวลำพัง ภาพนี้จะเห็นได้ชัดเจนมากขึ้นไปอีกหากคุณไปเดินตาม รพ ขนาดใหญ่ในกรุงเทพ ที่เต็มไปด้วยภาพที่ผมบอก
คนต่างจังหวัดที่เข้ามาทำมาหากินในกรุงเทพก็โดนสังคมขนาดใหญ่กลืนไปหมด ทุกคนเริ่มมีนิสัยคล้ายกันแบบหุ่นยนต์ สนใจแค่เรื่องตัวเอง และไม่สนใจคนรอบข้าง พฤติกรรมนี้ทำให้ทุกคนมีกรอบกำบังรอบตัวที่กันคนภายนอกเข้ามาหา หากมีเหตุการณ์อะไรไม่ดีเกิดขึ้น ก็คงไม่มีใครช่วยเหลือกัน หรือแค่มองดูอยู่ห่างๆ คนในวันนี้ยังคงเดินเงียบๆ ตามเป้าหมายตัวเองอย่างโดดเดี่ยว ถ้าคุณเดินเล่นในวันทำงานปกติตามห้าง ภาพความโดดเดี่ยวแบบตัวใครตัวมัน มันจะปรากฏชัดมากขึ้นไปอีก ภาพนี้หากไปเทียบกับเมืองโตเกียวในญี่ปุ่น จะถือได้ว่า กรุงเทพเดินตามญี่ปุ่นไม่ผิดเพี้ยนเลย แค่เหตุการณ์เกิดขึ้นช้ากว่าญี่ปุ่นราวสิบถึงยี่สิบปีเท่านั้นเอง ปัจจุบันต้องยอมรับว่ากรุงเทพคือเมืองโดดเดี่ยวที่สุดที่หนึ่งในอาเซี่ยน และอีกราวสิบปีข้างหน้า ภาพจะเหมือนญี่ปุ่นที่ความโดดเดี่ยวจะเพิ่มทวีคูณอย่างแน่นอน